ภาค-1-จ้วงหยวนแห่งหนานฉู่-บทนำ ตอนที่ 40 ปล้นชิงตามไฟ (1)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ในตอนที่ข้าได้ยินว่าสู่จงและเซียงหยางถูกโจมตีพร้อมกันก็มิได้แปลกใจอันใด จากความคิดของข้า หากต้องการโจมตีหนานฉู่ กลยุทธ์ลงมือสองทางเช่นนี้ย่อมมิอาจขาดไปได้ แม้จะเสียเวลานาน แต่ขอเพียงยึดเจียงไหวมาได้ ยังจะกลัวสยบแดนใต้ไม่ได้อีกหรือ

ดังนั้นตอนที่ข้าได้ยินว่ายงอ๋องนำทหารม้าเกราะเบาจำนวนสองหมื่นบึ่งตรงมายังเจี้ยนเย่ก็พลันต้องตะลึงพรึงเพริดไปเสียเดี๋ยวนั้น รีบพลิกแผนที่ดูอยู่พักใหญ่ ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกเลอะเลือน ยงอ๋องแกร่งกล้ามากสามารถปานนั้น เหตุใดจึงมีความคิดเช่นนี้เล่า แม้จะยึดครองเจี้ยนเย่ได้ในเวลาไม่นาน แต่ก็ต้องเสียไปในเวลาไม่นานเช่นกัน ต่อให้เจ้าแคว้นและขุนนางของหนานฉู่ตกอยู่ในมือเขา ก็จะมีคนสถาปนาเจ้าแคว้นขึ้นมาใหม่ หรือกระทั่งถือโอกาสตั้งราชวงศ์ขึ้นแทนที่เสียเลยก็ยังเป็นไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้หนานฉู่จะต้องจมลงสู่สถานการณ์คิดแบ่งแยกดินแดน หากจะสยบก็ต้องทำไปทีละเมืองทีละด่าน หากไม่ใช้เวลาถึงยี่สิบปี เจียงหนานย่อมมิอาจถูกสยบโดยง่าย สิ้นเปลืองความคิดอยู่พักใหญ่ ข้าก็ยังไม่เข้าใจเจตนาของหลี่จื้อ

หากเปลี่ยนมุมมองดูเล่า ข้าพลันคิดขึ้นมาได้ว่าการศึกเป็นเพียงผลต่อเนื่องของการเมือง เช่นนั้นแล้วหลี่จื้อจะได้รับผลประโยชน์อันใด ข้าคิดไปคิดมา แม้หนานฉู่ที่สับสนอลหม่านจะทำให้รัชทายาทหลี่อันไม่กล้าสร้างความลำบากให้หลี่จื้อตามใจ แต่ว่าหากหลี่จื้อทำลายหนานฉู่จนย่อยยับในคราวเดียวจะเกี่ยวข้องอันใดกับการเผชิญหน้าหลี่อันเล่า ข้าไม่เชื่อว่าหลี่จื้อจะสู้หลี่อันไม่ได้ คิดไปคิดมาก็ยังคิดไม่ตก

ข้าวางรายงานข่าวกรองในมือลงด้วยสีหน้าฉงนยิ่ง แม้สิ่งเหล่านี้จะอยู่นอกเหนือการคาดเดาของข้า แต่ก็ยังฉวยโอกาสนี้ทำให้แผนการของข้าสำเร็จได้ เมื่อคิดถึงตรงนี้ข้าจึงเอ่ยไปอย่างเรียบเฉย “ชื่อจี้”

ชื่อจี้ที่กำลังจัดการแผนที่แทนข้าเงยหน้าขึ้นมองมา ข้าจึงออกคำสั่งไปว่า “ส่งข่าวให้อาจารย์ของพวกเจ้า บอกว่าคืนนี้ข้าต้องการพบเขา”

ชื่อจี้กล่าว “ขอรับ” คำหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินออกไป

ยามค่ำคืน เสี่ยวซุ่นจื่อมาถึงอย่างว่องไว ข้านั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือ แปดหัวหน้าแห่งค่ายลับซึ่งก็คือพวกชื่อจี้ยืนแบ่งเป็นสองแถวซ้ายขวา โดยมีเฉินเจิ่นและหานอู๋จี้ยืนอยู่ตำแหน่งหน้าสุดของแถวทั้งสอง เมื่อเสี่ยวซุ่นจื่อเข้ามาก็เดินมาอยู่หลังข้าโดยตรง นั่นคือตำแหน่งของเขา

ตอนนี้ผู้นำของค่ายลับคือเฉินเจิ่น ผู้ดูแลหอกลไกสวรรค์คือหานอู๋จี้ ส่วนเสี่ยวซุ่นจื่อแม้จะไม่มีสถานะชัดเจนแต่ทุกคนต่างรู้ดีว่าเขาคือตัวแทนของข้า สามารถออกคำสั่งแทนข้าได้ทุกเมื่อ ยิ่งไปกว่านั้นเสี่ยวซุ่นจื่อยังเป็นอาจารย์สอนวรยุทธ์ของเหล่าศิษย์ในค่ายลับอีกด้วย เหล่าศิษย์ในค่ายลับล้วนเคารพเลื่อมใสเสี่ยวซุ่นจื่ออย่างยิ่งยวด นี่ทำให้เสี่ยวซุ่นจื่อมีตำแหน่งสูงส่งจนไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง แต่เขายังปฏิบัติต่อข้าเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ยินดีเป็นบ่าวรับใช้และผู้ติดตามของข้าเช่นเดิม

เมื่อเห็นทุกคนมาพร้อมแล้วข้าจึงพูดว่า “ทุกคน วันนี้คือวันที่ค่ายลับแห่งเจี้ยนเย่และหอกลไกสวรรค์รอคอย เวลาและโอกาสสุกงอมแล้ว วันนี้ข้าขอให้ทุกคนร่วมแรงร่วมใจเต็มกำลัง ช่วยชำระหนี้แค้นใหญ่ของข้าให้สำเร็จ”

เฉินเจิ่นรีบกล่าว “คุณชายรีบสั่งมาเถิด หากไม่ใช่เพราะคุณชายยืนกรานจะรอเวลา พวกเราคงพยายามสุดชีวิตเพื่อสังหารเหลียงหวั่นไปนานแล้ว”

คนอื่นทำเพียงรอฟังอย่างสงบ ตามกฎของข้า หากยังไม่ถึงคราวพวกเขาก็มิอาจกล่าววาจาได้ตามใจ เฉินเจิ่นเป็นผู้นำค่ายลับ นอกจากเสี่ยวซุ่นจื่อและหานอู๋จี้แล้ว ทุกคนล้วนอยู่ใต้เขา หากไม่จำเป็นเสี่ยวซุ่นจื่อจะไม่พูด ส่วนหานอู๋จี้ ด้วยฐานะและตำแหน่งของเขานับว่ายังอยู่ใต้เฉินเจิ่น ดังนั้นเขาจึงไม่อาจสอดปากตามใจ

ข้ามองไปยังหานอู๋จี้ ถามว่า “หอกลไกสวรรค์เตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้วหรือไม่”

หานอู๋จี้โค้งตัวตอบ “คุณชายโปรดวางใจ แม้พ่อค้าหลายคนจะเริ่มอพยพหนีภัยเพราะข่าวการมาถึงของทัพต้ายงแล้ว แต่ส่วนที่คุณชายสั่งไว้ล่วงหน้าอยู่ในการควบคุมแล้วขอรับ”

ข้าพยักหน้า พูดว่า “เมื่อก่อนข้ารอโอกาสนี้มาตลอด ขอเพียงหนานฉู่และต้ายงฉีกหน้ากันโดยสมบูรณ์ โอกาสของข้าจึงจะมาถึง โอกาสนั้นก็คือองค์หญิงฉางเล่อ พระมเหสีของเจ้าแคว้นแห่งหนานฉู่นั่นเอง ตั้งแต่แรก ข้าก็รู้สึกแล้วว่าจักรพรรดิแห่งต้ายงรักใคร่โปรดปรานองค์หญิงพระองค์นี้เป็นอย่างยิ่ง เจ้าดูเถิด เขาส่งนางข้าหลวงงดงามมากมายมาตบแต่งเป็นเพื่อน อีกทั้งองค์หญิงฉางเล่อก็ห่างเหินกับเจ้าแคว้นมาตลอดหลายปี เห็นได้ชัดว่าองค์หญิงฉางเล่อเพียงต้องอยู่ในหนานฉู่เท่านั้น ข้าคิดว่าจักรพรรดิต้ายงไม่อยากให้องค์หญิงมีความรักลึกซึ้งกับเจ้าแคว้นมากเกินไปเพื่อมิให้องค์หญิงพบกับความยากลำบากในวันหน้า”

เมื่อได้ยินคำพูดของข้า เสี่ยวซุ่นจื่อและคนอื่นต่างก็สับสนมึนงง จากนั้นจึงค่อยเข้าใจกระจ่าง เสี่ยวซุ่นจื่อพูดว่า “คุณชายกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ตอนอยู่ในวังข้ารู้มาว่าหากมิใช่ยามจำเป็นพระมเหสีจะมิค่อยอยู่กับเจ้าแคว้น พระมเหสีจะพยายามประทับอยู่ในพระราชนิเวศน์ หรือต่อให้ประทับอยู่ในวังหลวงก็มักไม่มีความสุขและไม่เคยแย่งชิงความโปรดปราน ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดว่าพระมเหสีมากคุณธรรมจรรยา แต่ตอนนี้เมื่อดูแล้วเป็นดั่งที่คุณชายว่าจริงๆ พระนางมิได้อยากอยู่ที่หนานฉู่เลย”

ข้าเคาะโต๊ะเบาๆ “ใช่แล้ว หากจักรพรรดิต้ายงมิได้รักใคร่โปรดปรานธิดาองค์นี้จริงๆ ย่อมไม่สนใจความรู้สึกของนางอย่างสิ้นเชิง จะต้องให้นางชนะใจเจ้าแคว้นให้ได้จึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ในเมื่อเขาโปรดปรานรักใคร่องค์หญิงฉางเล่อเพียงนี้ ยามที่ต้ายงแตกหักกับหนานฉู่จะต้องช่วยเหลือองค์หญิงออกไปแน่นอน และเหลียงหวั่นก็ต้องเป็นคนทำเรื่องนี้ด้วย แม้เหลียงหวั่นไม่กลัวตาย แต่หากองค์หญิงฉางเล่อเป็นอันตราย เกรงว่านางคงพบกับวิกฤติที่ยิ่งกว่าตายเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นขอเพียงพวกเราถือโอกาสจับตัวพวกนางยามที่พวกนางหนีออกจากวังมาให้ได้ เพื่อความปลอดภัยขององค์หญิงฉางเล่อ เหลียงหวั่นต้องสารภาพแน่นอน ขอเพียงนางยอมสารภาพ ความเป็นความตายของนางก็ไม่สำคัญอีกต่อไป ข้าชำระแค้นได้ทันที แต่ยอดฝีมือที่คอยคุ้มครององค์หญิงฉางเล่อคงไม่น้อย ดังนั้นพวกเราห้ามพลาดเป็นอันขาด ห้ามปล่อยให้พวกนางหนีไปเป็นอันขาด เสี่ยวซุ่นจื่อ คราวนี้เจ้าเป็นกำลังหลักของข้า เจ้ามั่นใจหรือไม่”

เสี่ยวซุ่นจื่อคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยตอบ “คุณชายโปรดวางใจ ด้วยวรยุทธ์ของข้าในตอนนี้ บางทีการจับพวกนางอาจเปลืองแรงบ้าง แต่หากต้องการฆ่าพวกนางกลับมิได้เปลืองแรงอันใด ขอเพียงคุณชายวางกลยุทธ์รอบคอบแน่นหนา ข้ารับประกันว่าจะไม่ปล่อยให้พวกนางหนีไปแน่”

ข้ายิ้มยินดี “ดี ดี หวาหลิว ลวี่เอ่อร์ พวกเจ้าสองคนนำกลุ่มแฝง ควบคุมทุกการกระทำของพวกนางให้ดี ไป๋อี้ อวี๋หลุน ซานจื่อ ฉวีหวง พวกเจ้าสี่คนนำกลุ่มพยัคฆ์และกลุ่มลับ เป็นกำลังหลักในการปิดล้อมพวกนาง ชื่อจี้ เต้าหลี พวกเจ้านำกลุ่มมังกร รับผิดชอบการประสานงานและระวังหลัง แผนการโดยละเอียดให้ทำตามคำสั่งของเฉินเจิ่นและหานอู๋จี้ ออกปฏิบัติการทันที เสี่ยวซุ่นจื่อ เจ้าไปลอบติดตามพระมเหสีก่อน ขอเพียงจับเชือกเส้นนี้ไว้ให้มั่น เหลียงหวั่นย่อมไม่อาจหนีได้อีก”

ในขณะที่ข้ากำลังอ่านข่าวกรองแต่ละอย่างด้วยความเคร่งเครียดเพื่อตัดสินใจว่าสมควรใช้กลยุทธ์ใด ในราชสำนักก็เกิดอลหม่านวุ่นวาย ดวงเนตรของเจ้าแคว้นจ้าวเจียเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดง ตรัสอย่างบันดาลโทสะว่า “ดูเถิด ทุกวันพวกเจ้าเอาแต่กล่าวว่าทหารของหนานฉู่เรายอดเยี่ยมเกรียงไกร แต่ต้ายงกลับฝ่าแนวป้องกันเข้ามาเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า กองทัพต้ายงจะบุกเข้าเมืองอยู่แล้ว พวกเจ้าพูดมาว่าจะทำอย่างไร จะทำอย่างไร”

อัครมหาเสนาบดีซั่งเหวยจวินพูดว่า “ฝ่าบาทมิจำเป็นต้องกังวล กองทัพม้าของต้ายงเดินทางพันลี้ กว่าจะมาถึงที่นี่คงจบชีวิตด้วยหน้าไม้ก่อนเป็นแน่ แม้เจี้ยนเย่จะว่างเปล่า แต่ยังมีทหารราชองครักษ์อีกห้าหมื่นนาย ขอเพียงพวกเรารักษาแนวป้องกันเอาไว้ได้ระยะหนึ่ง อาจารย์ของฉินอ๋องต้องมาแน่”

ตอนนี้เอง มีขุนนางผู้หนึ่งกล่าวว่า “ฝ่าบาท คำพูดนี้ของท่านอัครมหาเสนาบดีแม้จะมีเหตุผล แต่กองทัพต้ายงเก่งกาจเกรียงไกรนัก หากพวกเราปกป้องเจี้ยนเย่ไม่ได้ จะไม่ทำให้บ้านเมืองตกเข้าสู่วิกฤติอันตรายหรือ ตามความเห็นของกระหม่อม ฝ่าบาทควรเสด็จออกไปชั่วคราว ไปพำนักอยู่ในสถานที่ปลอดภัยก่อน รอให้ข้าศึกถอยทัพค่อยกลับมาที่เจี้ยนเย่ พระวรกายของฝ่าบาทมีค่านับทองพันชั่ง มิอาจปล่อยให้เกิดอันตรายง่ายๆ โดยเด็ดขาด”

เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ออกมา ขุนนางในราชสำนักจึงพากันคล้อยตาม คนเหล่านี้ ในยามปกติหากไม่ร่ำสุราเคล้าดนตรีก็ขลุกอยู่กับนางคณิกาหรือนางบำเรอ ตั้งแต่จ้าวเจียได้รับสืบทอดตำแหน่งเจ้าแคว้นก็เหินห่างขุนนางเก่งกาจมากมาย ส่วนคนถ่อยกลับยิ่งมายิ่งมาก

ครั้งก่อน เนื่องจากเรื่องสถาปนาตำแหน่งจักรพรรดิก็ยิ่งทำให้ขุนนางเก่งกล้ากลุ่มใหญ่ถูกกำจัดออกไป ดังนั้นเมื่อถึงคราวเร่งด่วนกลับหาขุนนางที่ปรึกษาเรื่องแว่นแคว้นไม่ได้ แม้ยามปกติซั่งเหวยจวินจะไม่โดดเด่นอันใด แต่คราวนี้กลับค่อนข้างชาญฉลาด ทว่ายังมิอาจสู้รบตบมือกับโทสะของทุกคนได้ สุดท้ายจึงทำได้เพียงกล่าวประนีประนอม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากฝ่าบาทไม่รังเกียจก็เสด็จไปหลินซิ่งก่อนเถิด ให้ขุนนางเก่าแก่คอยนำทัพราชองครักษ์รักษาการณ์อยู่ที่เจี้ยนเย่ และขอให้ฝ่าบาทพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้รัชทายาทดูแลแว่นแคว้นแทนด้วยเถิด”

จ้าวเจียรีบตกปากรับคำทันที “ดี เจี้ยนเย่ต้องไหว้วานท่านอัครมหาเสนาบดีแล้ว เพียงแต่รัชทายาทเพิ่งสี่ชันษา หากรั้งอยู่เกรงว่าคงไม่มีประโยชน์อันใด”

ในใจซั่งเหวยจวินคิดว่า หากไม่ทิ้งองค์ชายไว้ที่นี่สักพระองค์จะสกัดทัพต้ายงได้อย่างไร จึงทำได้เพียงขอร้องครั้งแล้วครั้งเล่า แม้จ้าวเจียจะไม่ได้มีความรักลึกซึ้งอันใดต่อรัชทายาทของตนเอง แต่ตอนนี้เขาพบว่านอกจากสตรีต้ายงแล้ว ในหมู่สนมของเขาก็มีเพียงซั่งเฟยที่มีพระโอรสให้เขา ย่อมต้องใส่ใจให้มาก แต่เมื่อเห็นว่าต้ายงแทบจะบุกมาถึงประตูอยู่รอมร่อ จ้าวเจียก็ไม่กล้าประวิงเวลา รีบพาขุนนางคนสนิท นางสนมและราชองครักษ์หลายพันนายหนีไปก่อนที่กองทัพต้ายงจะมาถึง

จ้าวเจียยังไม่ทันออกจากเมือง ซั่งเหวยจวินก็ออกคำสั่งให้ส่งทัพราชองครักษ์ไปยังหอหมิงเยว่และวังกลางของพระมเหสีแล้ว คิดกักตัวองค์หญิงฉางเล่อที่ยังอยู่ในวังหลังเอาไว้ก่อน แม้จ้าวเจียจะสวมมงกุฎแต่งตั้งตนเองเป็นจักรพรรดิแล้ว แต่เนื่องจากต้ายงและหนานฉู่กำลังจะห้ำหั่นกัน จึงยังมิได้แต่งตั้งพระมเหสีเป็น ฮองเฮา ตั้งแต่หลี่เสี่ยนโจมตีเซียงหยางครั้งแรก จ้าวเจียก็ส่งคนไปรับตัวพระมเหสีกลับวังหลวงมาแล้ว ทว่าเพราะหวั่นเกรงพลังอำนาจต้ายงจึงมิกล้ากักขังนาง กลับเป็นองค์หญิงฉางเล่อที่รู้สถานการณ์ดีจึงไม่ก้าวออกจากวังหลวงแม้เพียงก้าวเดียว การคุมขังในตอนนี้ก็เป็นเพียงเบื้องหน้าเท่านั้น

ผู้ใดจะทราบว่ากองราชองครักษ์กลับมารายงานว่าหอหมิงเยว่ว่างเปล่าไร้ร่องรอยผู้คนนานแล้ว ส่วนองค์หญิงฉางเล่อก็หายตัวไปแล้วเช่นกัน นางข้าหลวงทั้งหมดในวังถูกขังอยู่ในห้องเดียวกัน ซั่งเหวยจวินตะลึงพรึงเพริด เขารู้ว่าตนเสียยันต์คุ้มกายไปแล้วจึงไม่สนใจไถ่ถามภารกิจป้องกันเมืองอีก รีบออกคำสั่งให้เรียกตัวทหารคนสนิทของตนเข้ามา ให้พวกเขาไปยังวังหลังเพื่อพาซั่งเฟยและรัชทายาทที่แต่งกายดั่งสามัญชนหนีไปอย่างปลอดภัยให้ได้ จากนั้นซั่งเหวยจวินก็รีบไปยังกำแพงเมือง ดูแลเรื่องการปกป้องเมืองด้วยตนเอง

ตอนต่อไป