บทที่ 264 จิ่วเซียวหวงเพ่ยนั้นแปลกประหลาด

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 264 จิ่วเซียวหวงเพ่ยนั้นแปลกประหลาด

เพียงพริบตาเดียว ความโศกเศร้าของแววตาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

“ใช่แล้วจ้ะ! ที่ข้านี้มีกู่ฉินชั้นดีที่ได้เก็บรักษามาเนิ่นนาน หาได้ยากที่พวกท่านจะคุ้นเคยกับความสง่างามนี้ เดี๋ยวข้าจะสั่งให้คนไปนำมา”

ไทเฮายังคงยิ้มอย่างโอบอ้อมอารี เพียงแต่ว่ารอบยิ้มบนใบหน้านั้นมันเยอะเกินไปหน่อย

เมื่อพูดจบ

นางก็ให้แม่นมที่อยู่ด้านหลังนางไปนำกู่ฉิน ไม่ช้า กู่ฉินก็มาถึง

ทุกคนไม่มีใครเคยเห็นกู่ฉินที่ไทเฮาได้เก็บรักษาไว้ว่ามีลักษณะเป็นเช่นไร?

แต่ละคนต่างก็อยากรู้อยากเห็น!

ได้ยินมาแต่ว่ามีคนอื่นให้เป็นของขวัญ หากฮ่องเต้ไม่บอก พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าแม่ผู้ให้กำเนิดพระชายาเย่เป็นคนให้มา

ที่ยิ่งไปกว่านั้น!

หลังจากที่ไทเฮาได้รับกู่ฉินตัวนี้ ก็ไม่เคยเอาออกมาเล่นเลย

ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนไม่เคยได้เห็น

แต่เมื่อกู่ฉินได้ปรากฏต่อหน้าทุกๆคน ผู้คนก็ต่างตกตะลึง

พวกเขาไม่เคยได้เห็นกู่ฉินที่งดงามถึงเพียงนี้มาก่อน!

รูปทรงของกู่ฉิน: เป็นหัวมน ทรงด้านข้างทั้งสองโค้งเข้าด้านใน ทำออกมาได้ไร้ที่ติ

นอกจากนี้ยังทำด้านบนด้วยไม้อู่ถง มีไม้สนจีนเป็นฐาน ทาสีม่วงทั่วทั้งตัว……

มีคนจำกู่ฉินตัวนี้ได้

“มันคือพิณกู่ฉินจื่อหลิง!”

“โอ้พระเจ้า เป็นพิณกู่ฉินจื่อหลิงจริงๆด้วย”

“ได้ยินว่าพิณกู่ฉินจื่อหลิงเป็นกู่ฉินชั้นดีอันล้ำค่า ซึ่งสูญหายไปนานมากแล้ว ไม่คิดเลยว่าไทเฮาจะเป็นคนที่เก็บรักษาไว้”

ในขณะที่ทุกคนต่างฮือฮากันเรื่องนี้ ต่างพากันประหลาดใจและชื่นชม

เมื่อหลานเยาเยาได้เห็นกู่ฉินตัวนี้ ก็ตกตะลึงเล็กน้อย ราวกับว่าถูกมันดึงดูดสายตาไปในคราเดียว

อย่างไรก็ตาม!

ภายนอกของนางนั้นสงบนิ่งมิไหวติง ทั้งๆที่ในใจตุ้มๆต่อมๆเหมือนพายุโหมกระหน่ำไปตั้งนานแล้ว

พิณกู่ฉินจื่อหลิงตัวนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นจิ่วเซียวหวงเพ่ย คือกู่ฉินพันปี อีกทั้งข่าวลือของมันก็เหมือนดั่งตำนาน

เล่ากันว่ามันสามารถปลุกความทรงจำที่ซ่อนอยู่ในใจของคนอื่นได้······

ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้พูดว่า ไทเฮาได้มันมาจากแม่

เช่นนั้นแม่จะมีกู่ฉินตัวนี้ได้อย่างไรกัน? ไม่ใช่ว่านางเคยเป็นคนของยิงจวนหรอกรึ?

ไทเฮาเห็นการจ้องมองที่ตกตะลึงของทุกคน ก็ไม่ได้บอกกล่าวสิ่งใดมากมาย แต่เลื่อนสายตามองมาทางหลานเยาเยา

“กู่ฉินตัวนี้เรียกว่าพิณกู่ฉินจื่อหลิง เหมาะกับท่านเป็นอย่างยิ่งที่จะใช้บรรเลง”

หลานเยาเยาละสายตาจากจิ่วเซียวหวงเพ่ยไปยังไทเฮา จากนั้นก็คำนับเล็กน้อยแก่ไทเฮา

หลังเห็นว่านางพยักหน้า

ไทเฮาก็พูดกับแม่นมว่า: “มอบให้เทพธิดา!”

ก่อนที่จิ่วเซียวหวงเพ่ยจะมาถึงบนโต๊ะของนาง โหลวเย่วก็จัดการกับจานบนโต๊ะอย่างขะมักเขม้น ฟาดเศษขนมจนหมดเกลี้ยง

ข้าหลวงนำผ้าฝ้ายชั้นดีมาคลุมโต๊ะ จากนั้นก็วางจิ่วเซียวหวงเพ่ยลง

โหลวเย่วที่อยู่ด้านข้างก็ดวงตาเบิกกว้าง มือทั้งสองข้างอันเรียวงามถูกกันไปมาไม่หยุดหย่อน

“ว้าว······”

“ท่านดูสิ ท่านดู สายกู่ฉินนี้ สีที่แวววาวนี้ งดงามกว่านี้คงไม่มีอีกแล้วจริงๆ”

“สมกับที่ขนานนามว่าพิณกู่ฉินจื่อหลิง! มันช่างเหมาะสมกับเทพธิดาเหลือเกิน ให้ตายเถอะ! ข้าทนไม่ไหวแล้วที่จะได้เห็นท่านเล่นพิณกู่ฉินจื่อหลิง”

ด้วยเสียงหงุงหงิงอย่างกับสัตว์โหยหวนของโหลวเย่วที่อยู่ข้างๆ หลานเยาเยาก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจ

มองดูจิ่วเซียวหวงเพ่ยที่ดึงดูดนางอย่างแรงกล้า นางจึงค่อยๆยกมือขึ้น

“เตร๊ง……”

นางลองดีดเพียงหนึ่งเสียง เสียงนั้นช่างไพเราะเสนาะหู ใสราวกับหยกแก้ว เพราะพริ้งเสียเหลือเกิน

อีกทั้ง!

เสียงนี้……

มันทำให้นางรู้สึกคุ้นเคย

ทั้งยังทำให้นางอดใจต่อไปไม่ไหวที่จะเล่นจิ่วเซียวหวงเพ่ยตัวนี้

ดังนั้น นางจึงทอดสายตามองไปยังอีกสามคนที่เตรียมตัวพร้อมแล้ว พยักหน้าเบาๆให้กับพวกเขา แล้วเปิดฉากการบรรเลง

ท่วงทำนองเฉียบพลันอันดุดันที่ดังขึ้นจากนิ้วมือ ราวกับดาบอันแหลมคมทิ่มแทงเข้าส่วนที่บอบบางที่สุดในดวงใจของทุกๆคน

ทันใดนั้นก็ทำให้ผู้คนพากันกลั้นหายใจ ตั้งใจฟังด้วยใจจดจ่อ

การบรรเลงประสานกันของเครื่องดนตรีทั้งสี่กลมกล่อมอย่างไร้ที่ติขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ค่อยๆแผ่วลง เย่หลีเฉินหยุดเล่นขลุ่ยจีนอย่างไร้สาเหตุ 

ต่อมาก็เป็น เซียวจิ่นหยูที่วางฟลูตลง

ส่วนเย่แจ๋หยิ่งที่ได้ยินเสียงของพวกเขาแผ่วลงไป ก็ค่อยๆหยุดเล่นด้วยเช่นกัน

เหลือเพียงเสียงกู่ฉินอันทรงพลังของหลานเยาเยาเท่านั้น ที่เต็มไปความสง่างามอลังการโดยมิมีเสียงใดแทรกแซง

ทันทีที่แววตาอันเย็นชาของเย่แจ๋หยิ่งมองไปทางหญิงสาวฝั่งตรงข้าม

นางทำสิ่งลงไป?

เสียงของกู่ฉินมีผลต่อจิตใจของเขา

เสียงของกู่ฉินอันฮึกเหิมนั่น เข้ามาปั่นป่วนในก้นบึ้งของหัวใจอย่างไม่หยุดหย่อน ทำเอานางฟั่นเฟืองไปชั่วครู่

ในใจของเขามีแต่ความสับสนและมึนงง

เทพธิดาในชุดสีแดงสดที่น่าดึงดูดในแววตาคนนั้น เสื้อผ้าสีแดงสดบนร่างของนางจืดจางลง กลายเป็นสีขาวผ่องอันสง่างาม

ใบหน้าที่ร้ายกาจ

ดอกไม้ผลิที่ค่อยๆฟุ้งกระจาย

ทั้งหมดนั้นค่อยๆเปลี่ยนไปตามสีของเสื้อผ้า กลายเป็นโฉมหน้าอันงดงามที่เล่าขานกันไปทั้งเมือง……

และโฉมหน้าอันงดงามนั้น เป็นเหตุให้ดวงใจของเย่แจ๋หยิ่งที่อยู่ๆก็เจ็บแปลบ

ภาพบางส่วนกระทบจิตใจของเขา

เหมือนดอกไม้ที่พัดกระจายอย่างมีชีวิตชีวา·····

เสมือนเปลวไฟที่วูบวาบไปทั่วแผ่นฟ้า·····

แววตาที่สิ้นหวังของหญิงสาวผู้หนึ่ง ดูเจ็บปวดจากแผลบาดลึก ด้วยเสียงดนตรีที่เสียดแทงหัวใจของนาง:

“เย่……แจ๋หยิ่ง ท่านชนะแล้ว ตัวข้าหลานเยาเยา ชีวิตนี้อยู่ในกำมือของท่านแล้ว ต่อให้ข้าตา……บอด หากเริ่มใหม่ได้……”

“หึหึหึ······เจ้าคงจะนึกไม่ถึง! ข้ายังไม่ตาย แม้แต่พระเจ้าก็ไม่ยอมให้ข้าตาย เย่แจ๋หยิ่งผู้นี้ เจ้าทำลายล้างข้าด้วยมือของเจ้า ข้าก็จะทำลายเจ้าด้วยมือของข้าเช่นกัน ทำลายมันให้หมดทุกสิ่งที่เจ้าครอบครอง”

“เจ้าทำสิ่งใด? ข้าหาได้ต้องการกำลังภายในของเจ้าไม่ ข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้าช่วยชีวิตข้า ที่ยิ่งไปกว่านั้น ข้าไม่ต้องการเจตนาเสแสร้งของเจ้า ชั่วชีวิตนี้ข้าไม่อยากจะพบเจอเจ้าอีกต่อไป ไปซะ!”

“เย่แจ๋หยิ่ง ผลข้างเคียงของยาถอนพิษตัวนี้ มันอาจจะทำให้เจ้าลืมสิ่งที่เจ้ามิอยากลืม หากเจ้าลืมข้าแล้ว ข้าก็จะลืมเจ้าเช่นกัน เช่นนั้นเราก็ต่างคนต่างลืมกันไปเถอะ!”

ภาพเหล่านี้เป็นดั่งกริชทิ่มแทงหัวใจของเขาอย่างรุนแรง มันทำให้เขาทุกข์ทรมานมากเหลือเกิน

“เยาเยา อย่าไปนะ······”

หลังเย่แจ๋หยิ่งได้ยินเสียงเรียกของตน ก็ได้สติกลับมาในทันใด เขาอดไม่ได้ที่จะเลิกแขนเสื้อขึ้น

หลานเยาเยาคำสามคำอันดุเดือดนี้ ทันทีที่ปรากฏขึ้นในแววตาของเขา น้ำตาอุ่นๆหยดนึงก็ไหลรินลงบนนั้น………

เขาสัมผัสคราบน้ำตาบนใบหน้า ก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ

ว่าเขาเองก็ร้องไห้ได้เหมือนกัน·····

แต่ เมื่อครู่ที่หวนนึกถึงความเจ็บปวดที่เจ็บจนแทบหายใจไม่ออก หลังจากได้สติคืนกลับมา มันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

เขาอยากจะคว้ามันเอาไว้ แต่คว้ายังไงก็คว้าไว้ไม่อยู่

เช่นนั้น!

เขาจึงรีบเงยหน้าขึ้น

แต่กลับเห็นผู้คน ที่ดูเหมือนกำลังดื่มด่ำไปกับเสียงบรรเลงของกู่ฉิน ไม่สิ มันยิ่งกว่านั้น เหมือนจมดิ่งอยู่กับความทรงจำต่างหาก

ส่วนชุดสีแดงสดของเทพธิดาที่เคยจืดจาง มันก็ยังคงเป็นสีแดงสดเช่นเดิม

เป็นนิมิตรึ?

หรือว่าเป็นร่างเดิมของเทพธิดากันนะ?

หลานเยาเยา เป็นเจ้าจริงๆใช่ไหม?

ในขณะนี้หลานเยาเยานั้นทึ่งอย่างมากกับพลังของจิ่วเซียวหวงเพ่ย ท่วงทำนองของเพลงซุ่มโจมตีจากสิบทิศที่บรรเลงด้วยจิ่วเซียวหวงเพ่ย ทำให้นางดื่มด่ำไปกับมัน

นางเหมือนได้เห็นฉากของสงครามอันดุเดือด:

เสียงกลองแห่งสงครามที่ปลุกใจ

การฟาดฟันเข่นฆ่ากันอย่างนองเลือด

เมืองที่มีเลือดไหลนองเป็นสาย กับบ้านเมืองที่เกลื่อนกลาดไปด้วยซากศพ………

แม่ทัพผู้เสียสละท่านหนึ่งเลือดโชกไปทั่วร่าง มองสาวงามผู้โอบกอดจิ่วเซียวหวงเพ่ยบนกำแพงเมือง จากนั้นก็นำกองกำลังทหารออกไปสู้อย่างสิ้นหวังเป็นครั้งสุดท้าย

ในท้ายที่สุด แม่ทัพก็สิ้นใจตายในสนามรบ สาวงามจึงกระโดดจากบนกำแพงลงมา