ตอนที่ 237 ไม่ติดค้างกันอีก

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 237 ไม่ติดค้างกันอีก
เซียวหรงเหยี่ยนไปถึงเมืองคุนเทียนแล้ว แสดงว่าเขาอยู่ไม่ห่างจากเมืองหลวงของหนานเยี่ยนแล้ว ระหว่างที่องครักษ์ของเซียวหรงเหยี่ยนนำจดหมายมาให้นาง เซียวหรงเหยี่ยนคงยึดเมืองหลวงของหนานเยี่ยนได้แล้วกระมัง

เมื่อไป๋ชิงเหยียนอ่านจดหมายจบจึงใช้คบเพลิงในมือของเสิ่นเหลียงอวี้เผาจดหมายทิ้ง

หญิงสาวมองดูเปลวไฟกลืนกินจดหมายจนสิ้น จากนั้นหันไปกล่าวกับเยว่สือ “เจ้านำม้าหายากตัวนี้กลับไปเถิด ซีเหลียงลงนามทำสัญญาสงบศึกกับแคว้นต้าจิ้นแล้ว เมื่อกลับไปถึงต้าจิ้นข้าคงไม่จำเป็นต้องใช้ม้าล้ำค่าหายากเช่นนี้อีกแล้ว!”

เยว่สือตะลึง เงยหน้ามองไปยังสตรีที่นั่งอยู่บนหลังม้าอย่างสุขุมและหนักแน่น เห็นสีหน้าของไป๋ชิงเหยียนราบเรียบ ดูไม่เหมือนกำลังเกรงใจ แต่หญิงสาวเหมือนจะไม่อยากรับม้าตัวนี้ไว้จริงๆ

ชาติที่แล้วเซียวหรงเหยี่ยนมีบุญคุณต่อนาง แม้ท้ายที่สุดแล้วนางจะหนีออกมาจากเมืองหลวงไม่ได้ ทว่า บุญคุณที่เซียวหรงเหยี่ยนมอบหยกจักจั่นให้นางหนีเอาตัวรอด นางไม่มีวันลืม

ที่เคยยื่นมือเข้าช่วยเหลือตอนอยู่ในงานเลี้ยงที่วังหลวง ไม่แพร่งพรายฐานะที่แท้จริงของชายหนุ่มออกไป เดิมทีหญิงสาวนึกว่าจะชดใช้บุญคุณจนหมดสิ้นแล้ว ทว่า ต่อมาชายหนุ่มช่วยเหลือตระกูลไป๋ ช่วยชีวิตท่านอาสะใภ้สี่ ไป๋ชิงเหยียนจึงติดหนี้บุญคุณเขาอีกครั้ง

ครั้งที่แล้วนางแนะนำวิธีที่ทำให้เซียวหรงเหยี่ยนยึดหนานเยี่ยนกลับคืนมาโดยเร็วที่สุดและไม่ทำชาวบ้านเดือนร้อน นางเข้าใจว่าชดใช้หนี้บุญคุณเซียวหรงเหยี่ยนหมดแล้ว

ต่อมาเซียวหรงเหยี่ยนช่วยชีวิตน้องชายเจ็ดของนางเอาไว้ ทว่า น้องชายเจ็ดเป็นคนดื้อรั้น ต้องตอบแทนบุญคุณคน เขากล่าวว่าเมื่อตอบแทนเสร็จจะจากมาเอง ดังนั้นวันนี้นางจะรับม้าของเซียวหรงเหยี่ยนเอาไว้ไม่ได้ มิเช่นนั้นภาคภายหน้าคงต้องพัวพันกันไม่มีที่สิ้นสุด

หญิงสาวหวังเพียงว่าหลังจากนี้นางและเขาจะไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีก!

กล่าวจบ หญิงสาวควบม้าจากไปในทันที

เยว่สือที่เดิมทีเดินทางมามอบม้าให้ไป๋ชิงเหยียนตามคำสั่งอย่างอารมณ์ดีตะลึงงันอยู่กับที่ เขามองตามแผ่นหลังของไป๋ชิงเหยียนที่ขี่ม้าจากไปอย่างรวดเร็ว ยกมือขึ้นลูบศีรษะเบาๆ เจ้านายของเขาเขียนสิ่งใดในจดหมายที่ทำให้คุณหนูใหญ่ไป๋ไม่พอใจอย่างนั้นหรือ!

ค่ายทหารในโยวหวาเต้า เริ่นซื่อเจี๋ยได้รับคำสั่งให้เดินทางล่วงหน้าไปเตรียมของขวัญล้ำค่าสำหรับวันคล้ายวันประสูติของจักรพรรดิแห่งแคว้นต้าจิ้นในวันที่ยี่สิบแปด เดือนสาม

ก่อนที่เริ่นซื่อเจี๋ยจะออกเดินทาง ฟางเหล่าที่ออกมาส่งเริ่นซื่อเจี๋ยลอบกำชับเขาอย่างแน่นหนา “นอกจากเจ้าจะเดินทางไปหาของขวัญแล้ว เจ้าจงใช้ความสามารถทั้งหมดของเจ้าแพร่งพรายเรื่องที่ไป๋ชิงเหยียนสังหารทหารยอมจำนนของซีเหลียงอย่างโหดร้ายออกไปให้ได้มากที่สุด ให้ชาวบ้านในแคว้นต้าจิ้นรับรู้ว่าไป๋ชิงเหยียนโหดเหี้ยมอำมหิตเพียงใด”

“ฟางเหล่า…ท่านไม่ข้องใจเรื่องความภักดีที่ไป๋ชิงเหยียนมีให้องค์รัชทายาทแล้วมิใช่หรือ เหตุใดยังต้องทำเช่นนี้อีกขอรับ”

“เพราะต้องการให้ไป๋ชิงเหยียนสวามิภักดิ์ต่อองค์รัชทายาทเพียงคนเดียวน่ะสิ! ไป๋ชิงเหยียนเก่งกาจทั้งเรื่องรบและการวางแผน บุคคลเช่นนี้…ต้องรับใช้องค์รัชทายาทเพียงคนเดียวเท่านั้น คำคนน่าหวาดกลัว มีพลังมหาศาล เจ้าลองคิดดูสิว่าหากชาวบ้านแคว้นต้าจิ้นต่างหวาดกลัวความโหดร้ายของนาง ถึงเวลานั้นองค์รัชทายาทออกมาแก้ต่างแทนนาง นางจะไม่ซาบซึ้งใจและซื่อสัตย์ต่อองค์รัชทายาทมากยิ่งขึ้นหรืออย่างไร” ฟางเหล่ากล่าวอย่างไม่รีบร้อน

เริ่นซื่อเจี๋ยเม้มปากแน่น เหมือนไม่อยากทำเช่นนี้ เขากล่าวขึ้นอีก “ทว่า ตอนที่เราเดินทางมาที่นี่ ชาวบ้านล้วนคุกเข่าอ้อนวอนขอให้เสี่ยวไป๋ไซว่ยึดบ้านเมืองคืนให้พวกเขา พวกเขาจะคิดว่าแม่ทัพไป๋โหดร้ายจริงๆ หรือ”

“ชาวบ้านคิดอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะทำให้พวกเขาเข้าใจอย่างไร” ฟางเหล่ากล่าวจบก็ถอนหายใจออกมาอย่างเป็นกังวล “สงครามครั้งนี้ ไป๋ชิงเหยียนมีความดีความชอบมากเกินไป มากเกินกว่าองค์รัชทายาทเสียอีก! องค์รัชทายาทเป็นคนนำทัพในสงครามครั้งนี้ พวกเราเป็นที่ปรึกษาของพระองค์ จะยอมให้ชาวบ้านเห็นไป๋ชิงเหยียนเป็นวีรบุรุษ สนับสนุนนางมากขึ้นไม่ได้ นางต้องอยู่ใต้ปีกขององค์รัชทายาทถึงจะถูก!”

ฟางเหล่ากล่าวจบก็เห็นพวกของไป๋ชิงเหยียนขี่ม้ากลับมาพอดี

เขายุติการสนทนาแค่นั้น หันไปกล่าวกับเริ่นซื่อเจี๋ย “จำคำของข้าไว้ให้ดี ไปเถิด…”

เริ่นซื่อเจี๋ยโค้งกายคำนับฟางเหล่า หันไปมองไป๋ชิงเหยียนที่ขี่ม้ากลับมาที่ค่ายแวบหนึ่ง จากนั้นก้าวขึ้นรถม้า

ไป๋จิ่นจื้อขี่ม้าเคียงข้างไปกับไป๋ชิงเหยียน สาวน้อยกล่าวกับไป๋ชิงเหยียนเสียงเบา “พี่หญิงใหญ่ นั่นเหมือนจะเป็นที่ปรึกษาที่ไม่ค่อยมีปากมีเสียงข้างกายขององค์รัชทายาทเจ้าค่ะ! พรุ่งนี้เราจะเดินทางกลับแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ เหตุใดเขาต้องจากไปยามวิกาลเช่นนี้ด้วย ต้องมีเงื่อนงำอันใดแน่เจ้าค่ะ จะให้ส่งคนตามไปหรือไม่เจ้าคะ”

ไป๋จิ่นจื้อกล่าวออกมาแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าพี่หญิงใหญ่ให้เสิ่นชิงจู๋นำทหารหน่วยกล้าตายของตระกูลต่งที่เหลืออยู่ทั้งหมดไปคุ้มครองพี่ชายเก้าแล้ว พวกนางไม่อาจแตะต้องทหารของกองทัพไป๋ได้ “พี่หญิงใหญ่ ข้าลอบตามที่ปรึกษาผู้นั้นไปก่อนล่วงหน้าดีหรือไม่เจ้าคะ”

ไป๋ชิงเหยียนจับบังเหียนแน่น ลดความเร็วลง สายตาหยุดลงที่ฟางเหล่าซึ่งกำลังมองมาที่นาง หญิงสาวหันไปกล่าวกับเสิ่นเหลียงอวี้ “สั่งให้คนที่ชำนาญการแกะรอยลอบตามไป แค่สืบดูว่าที่ปรึกษาขององค์รัชทายาทมุ่งหน้าไปยังทิศทางใดก็พอ จากนั้นรีบกลับมาก่อนรุ่งสาง”

“ขอรับ!” เสิ่นเหลียงอวี้กำหมัดรับคำ

“พี่หญิงใหญ่ หากองค์รัชทายาททราบเรื่อง…”

“วางใจเถิด! องค์รัชทายาทมีเรื่องให้ทำมากมาย พระองค์ไม่มีเวลามาสนใจทหารทุกคนของกองทัพไป๋หรอก” ไป๋ชิงเหยียนหันไปมองไป๋จิ่นจื้อ ยกมือลูบไปที่ศีรษะของน้องสาวอย่างแผ่วเบา ดีใจที่น้องสาวที่เอาแต่วู่วามของตนรู้จักระมัดระวังตัวแล้ว

ขณะที่พวกของไป๋ชิงเหยียนกลับไปถึงค่ายทหาร ฟางเหล่ายังยืนรออยู่ที่หน้าค่าย เขากวาดสายตามองไปยังกลุ่มคนที่อยู่ทางด้านหลังไป๋ชิงเหยียน ก้าวไปด้านหน้าพลางโน้มกายทำความเคารพยิ้มๆ “เมื่อครู่องค์รัชทายาทสั่งให้คนไปเชิญแม่ทัพทุกท่าน ทว่า พวกท่านล้วนไม่อยู่”

ไป๋ชิงเหยียนลงมาจากหลังม้าแล้วทำความเคารพตอบฟางเหล่า กล่าวขึ้น “เหล่าแม่ทัพติดตามข้าไปส่งทหารยอดฝีมือแห่งค่ายหู่อิงที่เสียชีวิตไปแล้วที่ชิวซานกวน ขออภัยที่ทำให้องค์รัชทายาทรงรอนานพ่ะย่ะค่ะ”

กล่าวจบ ไป๋ชิงเหยียนหันไปกล่าวกับบรรดาแม่ทัพเสิ่นคุนหยาง “พวกท่านรีบตามฟางเหล่าไปพบองค์รัชทายาทเถิด อย่าปล่อยให้พระองค์รอนาน!”

ฟางเหล่าพอใจในการกระทำของไป๋ชิงเหยียนมาก เขายกมือลูบเคราของตัวเอง

จู่ๆ ม้าผิงอันที่ไป๋จิ่นจื้อจูงอยู่ในมือก็กระทืบเท้าพลางเดินเข้าไปใกล้ฟางเหล่าสองสามก้าว

ไป๋จิ่นจื้อกระตุกเชือกไว้ไม่ทัน เห็นเพียงผิงอันเอาจมูกเปียกชื้นของตัวเองเข้าไปดมใบหน้าของฟางเหล่า ฟางเหล่าตกใจจนรีบย่อกายหลบ โบกมือไล่ผิงอันออกไปไกลๆ

“ผิงอัน!” ไป๋จิ่นจื้อรีบกระตุกเชือกของผิงอันเอาไว้

ผิงอันหมุนตัวกลับอย่างไม่สบอารมณ์ ใช้หางของตัวเองสะบัดไปที่หน้าของฟางเหล่าอย่างแรง ฟางเหล่าหน้าเปลี่ยนสีในทันที

ไป๋ชิงเหยียนรีบขอขมา “ขออภัยฟางเหล่าด้วยขอรับ! ม้าตัวนี้พยศนัก ฟางเหล่าไม่ได้รับบาดเจ็บที่ใดใช่หรือไม่ ไป๋จิ่นจื้อ…ยังไม่รีบมาขออภัยฟางเหล่าอีก!”

“เจ้าคะ?” ไป๋จิ่นจื้อกำลังลูบขนของผิงอันอย่างปลอบประโลม เมื่อเห็นแววตาของไป๋ชิงเหยียน สาวน้อยรีบโค้งกายขอขมาทันที “ขออภัยฟางเหล่าด้วยเจ้าค่ะ ท่านเจ็บตรงที่ใดหรือไม่เจ้าคะ เป็นความผิดของข้าเองเจ้าค่ะ!”

ไป๋ชิงเหยียนแสดงท่าทีอ่อนน้อมถึงเพียงนี้ ฟางเหล่าจำต้องไว้หน้าไป๋ชิงเหยียน เขาปัดโคลนตามเสื้อผ้าที่ถูกขนม้าสะบัดใส่ออก จากนั้นกล่าวขึ้น “ช่างเถิด! นี่ไม่ใช่ความผิดของคุณหนูสี่ ข้าแก่แล้วจะไปมีเรื่องกับสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่งได้อย่างไรกัน ไปพบองค์รัชทายาทสำคัญกว่า เชิญแม่ทัพทั้งหลายขอรับ…”

มองส่งบรรดาแม่ทัพจากไปพร้อมฟางเหล่า ไป๋จิ่นจื้อจูงผิงอันเดินไปหาไป๋ชิงเหยียนพลางเอ่ยถามเสียงเบา “เหตุใดพี่หญิงใหญ่ต้องเกรงใจที่ปรึกษาผู้นั้นถึงเพียงนี้ด้วยเจ้าคะ ข้าว่าตาแก่นั่นไม่ต่างอันใดกับหลิ่วหรูซื่อสักนิด เอาแต่วางมาดน่ารังเกียจนัก”

“ที่ปรึกษาผู้นั้นกล่าวกับองค์รัชทายาทประโยคเดียวมีน้ำหนักกว่าผู้อื่นกล่าวเป็นพันประโยค”

ไป๋ชิงเหยียนยื่นเชือกม้าในมือให้ไป๋จิ่นจื้อ “บนโลกนี้มีคนฉลาดมากมาย ผู้ที่ยืนอยู่ข้างกายองค์รัชทายาทได้ มีที่ยืนในราชสำนักได้ ไม่เพียงฉลาดเท่านั้นแต่ต้องมีความสามารถด้วย ดังนั้นการเกรงใจผู้อื่นเท่ากับเพิ่มทางรอดให้แก่ตัวเอง”