ตอนที่ 405 นางกลายเป็นตัวสำรองอย่างนั้นเหรอ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 405 นางกลายเป็นตัวสำรองอย่างนั้นเหรอ

ทุกๆ ปีของการให้ทาน แน่นอนว่าจะต้องมีเหตุการณ์การแย่งชิงอาหารกันเกิดขึ้น เช่นเดียวกับชายตรงหน้านี้ที่กำลังใช้กำลังในการแย่งอาหารไปจากภรรยาที่มาเข้าแถวรอ ผู้คนมากมายอาจจะเห็นจนชินตาไปแล้ว และในใจของฉินหลิวซีเองก็เข้าใจว่านี่คือธรรมชาติของมนุษย์ แต่เมื่อเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นต่อหน้านาง นางก็อดไม่ได้ที่จะต้องลงมือเช่นเดิม

ชายผู้นั้นที่พลันล้มลงไป มือของเขารู้สึกเจ็บยิ่งนัก และไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น รอจนเห็นหน้าของผู้ที่ทำเขาล้มชัดๆ กำลังลุกขึ้นจากพื้นอย่างทุลักทุเล เขากลับกลอกตาขึ้น มือปิดที่เอวไว้และร้องโอดโอยออกมาด้วยความเจ็บปวด

“เจ้าเป็นใครกัน ไยจึงเที่ยวทุบตีคนอื่นโดยไร้เหตุผลเช่นนี้ โอ๊ย เอวข้าหักแล้วกระมัง ลุกไม่ขึ้นแล้ว เจ้าต้องชดใช้ค่ายาให้ข้า” ชายผู้นั้นแสร้งทำสีหน้าเจ็บปวด

ฉินหลิวซีหัวเราะ

คิดแสร้งทำตนเป็นเหยื่อเพื่อขอรับการชดเชยจากนางอย่างนั้นหรือ

“ใครทุบตีเจ้า ข้าเพียงเห็นว่ามีงูอยู่ในมือเจ้า จึงช่วยเจ้าจับมันเท่านั้น ไม่เชื่อเจ้าก็ดูสิ” นางยิ้มอย่างเย็นชา และชี้ไปที่เอวของเขา

งู งูอะไร

งูในฤดูหนาวคงไม่ออกมาจากจำศีล เพื่อมาชมความสนุกครื้นเครงหรอก นี่กำลังหลอกใครอยู่หรือ

ชายผู้นั้นก้มลงมองด้วยความรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แม่เจ้า มีงูตัวหนึ่งทับอยู่ที่เอวของเขาจริงๆ และกำลังแลบลิ้นมาทางเขาเพื่อดมกลิ่น

“โอ๊ะๆ งู มีงู” ชายผู้นั้นตกใจพลันกระโดดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ว่องไว เอวหักที่ใดกัน

ชายผู้นั้นไม่ได้สนใจค่าชดเชยที่ตนอยากได้ เขาทั้งร้อง ทั้งกระทืบเท้าวิ่งหนีไป เพราะว่างูตัวนั้นมันได้พันรัดรอบเท้าของเขาเอาไว้

ฉินหลิวซีหัวเราะและมองเขาที่วิ่งจากไปไกล ก่อนจะละสายตากลับมา มองไปยังหญิงที่มีใบหน้าสกปรกมอมแมม ผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง จากนั้นจึงได้เอ่ยกับเถิงเจา “ไปหยิบหมั่นโถวมาสองลูก”

เถิงเจาพยักหน้ารับ วิ่งไปทางจุดที่แจกโจ๊กทางนั้นอย่างรวดเร็ว วั่งชวนก็ก้าวไปข้างหน้า เพื่อดึงหญิงผู้นั้นออกมา และยังปัดเสื้อผ้าของนางที่เปื้อนไปด้วยฝุ่นโคลน เอ่ย “ท่านป้า ท่านลุกขึ้นเถิด พวกเราจะให้หมั่นโถวกับท่าน”

หญิงผู้นั้นกลับมามีสติอีกครั้ง มองไปยังวั่งชวนที่เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน น้ำตาพลันไหลทะลักออกมา

เถิงเจาที่ไปไม่นานก็กลับมา ในมือถือหมั่นโถวสามลูก และส่งมันให้กับพวกเขา

หญิงผู้นั้นดีใจอย่างถึงที่สุด กำลังจะรับมา ทว่าเถิงเจาจึงหดมือเข้ามา และส่งให้นางก่อนหนึ่งลูก “ท่านกินให้หมดก่อน”

นางชะงักไป มองเถิงเจาที่ยืนกรานเช่นนั้น นางจึงรับมันมาและกินมันจนหมดอย่างตะกละตะกลาม ซ้ำยังอ้าปากให้เขาดูเพื่อทำให้เห็นว่านางกินหมดแล้วจริงๆ

จากนั้นเถิงเจาจึงได้ยื่นอีกสองชิ้นที่เหลือให้นาง และเอ่ย “ไปหาชามหรืออะไรสักอย่างมา แล้วก็ไปใส่น้ำขิงมาดื่มไล่ความหนาวเย็น พรุ่งนี้พาลูกๆ มาเข้าต่อแถวรับการรักษาโรคการกุศลด้วย”

ไม่ไกลนัก มีสตรีที่อุ้มเด็กเช่นกันเดินเข้ามา วางชามดินเผาแตกๆ ของตนเองไว้ แล้วก็เดินจากไป

หญิงผู้นั้นก้มคำนับศีรษะแนบลงกับพื้นด้วยความรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณ หยิบมันขึ้นมา และขณะที่กำลังจะเดินไป กลับหยุดลง มองดูไม่กี่คน ก่อนที่จะคุกเข่าลงและก้มคำนับศีรษะแนบลงกับพื้น “ขอบคุณ ขอบคุณพวกท่านมากเจ้าค่ะ”

นางเดินโซซัดโซเซไปยังจุดแจกจ่ายน้ำขิง และหายไปในกลุ่มผู้คนขวักไขว่ไปมา

ฉินหลิวซีมองไปยังลูกศิษย์ทั้งสองด้วยความพึงพอใจ “ทำได้ดีมาก” โดยเฉพาะเถิงเจา ไม่นึกเลยว่าเขาไม่ได้รังเกียจที่อีกฝ่ายสกปรกเลย

วั่งชวนเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น “ท่านอาจารย์ เมื่อครู่นี้ทำไมตาลุงนั่นถึงได้มองเห็นงูขอรับ เห็นชัดๆ ว่ามันไม่มี”

“แค่ใช้คาถาลวงตาเล็กๆ น้อยๆ”

วั่งชวนเอ่ยขึ้นด้วยความขุ่นเคือง “เอาเปรียบเขามากเกินไปแล้ว แม้แต่อาหารของลูกตนเองแท้ๆ ยังแย่งไปได้ ไยจึงมีคนเยี่ยงนี้ เขายังเป็นพ่อคนอยู่หรือไม่”

ฉินหลิวซีและเถิงเจาที่มองไปที่นาง วั่งชวนทำตัวไม่ถูกที่ถูกจับจ้อง และเอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “ท่านอาจารย์ ข้าเอ่ยสิ่งใดผิดไปหรือไม่เจ้าคะ”

“ไม่หรอก เพียงแค่อยากให้เจ้าได้จดจำวันนี้เอาไว้ บนโลกใบนี้มีคนเหล่านี้ เขาไม่เหมาะสมที่จะเป็นมนุษย์ และไม่คู่ควรกับการเป็นพ่อคน” ฉินหลิวซีลูบไปที่ศีรษะของนาง

วั่งชวนพลันสีหน้างุนงง

เถิงเจาละสายตาออกมา เขาหลุบตามองที่มือของตนเอง และหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาอย่างเงียบๆ เขามองมันอยู่ครู่หนึ่ง และเก็บมันเข้าไปในแขนเสื้ออีกครั้ง

“พวกเรากลับกันเถิด ยังต้องไปปรุงยากันอีก” ฉินหลิวซีหันกลับมา และพาพวกเขาทั้งสองคนเดินออกไป

วันถัดมาการรักษาการกุศล หมอจากร้านยาตำหนักอายุวัฒนะได้มาถึงล่วงหน้าก่อนแล้ว นอกจากพวกเขา ยังมีหมอจากเมืองใกล้เคียงมาอีกสองคน เดิมทีพวกเขาเพียงมาเยี่ยมหมอที่ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะแต่ได้ยินว่ามีการรักษาโรคการกุศล จึงได้ขอเข้าร่วมด้วย

ฉินหลิวซีทักทายเหล่าแพทย์อาวุโสที่อายุสามารถเป็นปู่เป็นบิดาของนางได้ จากนั้นก็มาถึงเพิงหญ้าที่สร้างไว้ชั่วคราวและเริ่มทำการรักษา

การรักษาโรคการกุศล ผู้คนที่มาล้วนแล้วแต่เป็นคนยากจน คนเหล่านั้นที่ดูถูกแพทย์มาโดยตลอด พวกคนที่มีสถานะและมีตำแหน่ง ย่อมไม่ยอมลดเกียรติของพวกเขาลงมาสถานที่เช่นนี้เพื่อรับรักษาการกุศล พวกเขาไม่ชอบการเสียเกียรติเช่นนี้

เหล่าแพทย์ที่มารักษาการกุศลนี้ล้วนรู้ดีแก่ใจ ดังนั้นใบสั่งยาจึงใช้เป็นยาสมุนไพรที่ถูกที่สุดไปจนถึงสมุนไพรที่สามารถหาเก็บได้บนภูเขา เนื่องจากราคาที่แพงเกินไป พวกเขาแบกรับค่าใช้จ่ายไม่ไหว

แต่ว่าเนื่องจากว่าแพทย์ของร้านยาตำหนักอายุวัฒนะมารักษาเป็นการกุศลอยู่ที่นี่กันหมด ดังนั้นหากไปซื้อยาที่ร้าน ยาสมุนไพรที่เหมือนกับร้านอื่น ทางร้านก็จะลดราคาให้ครึ่งหนึ่ง

นี่ก็นับว่าเป็นการทำกุศลเช่นเดียวกัน

ฉินหลิวซีวินิจฉัยและจ่ายยาได้อย่างรวดเร็ว คนอื่นๆ ตรวจได้หนึ่งคน แต่นางกลับตรวจไปได้หลายคนแล้ว เนื่องด้วยเหตุนี้บวกกับใบหน้าที่อ่อนวัยของนาง อาจทำให้คนอื่นรู้สึกเหมือนว่านางกำลังเล่นสนุกอยู่

ถึงอย่างไรทั้งอายุและประสบการณ์ความรู้ของเหล่าแพทย์อาวุโสที่อยู่ตรงนั้น ทั้งละเอียดรอบคอบ และการวินิจฉัยของฉินหลิวซี ที่หลังจากดู ฟัง ถาม จับๆ คลำๆ ใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจ แล้วสั่งยา ซึ่งอาจดูเหมือนกับเด็กเล่นเกินไปจริงๆ

ค่อยเป็นค่อยไป คนที่ต่อแถวอยู่แถวของฉินหลิวซี จึงโดดเดี่ยวมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

ทุกคนคิดว่านางเป็นตัวสำรอง

ฉินหลิวซีเองก็ไม่รีบร้อน รับน้ำชาที่วั่งชวนเอามาให้จิบไปหนึ่งอึก และในที่สุดคนไข้ของนางก็มา

“อาจารย์ปู้ฉิว อาจารย์ปู้ฉิวทำการรักษาโรคการกุศลที่นี่ด้วยหรือไม่” เสียงตะโกนปนเสียงร้องไห้เสียงหนึ่งดังขึ้น

มาแล้ว

ฉินหลิวซีลุกขึ้นยืน โบกมือตอบกลับ “ปู้ฉิวอยู่นี่”

เถิงเจาเลิกเปลือกตาขึ้นมองเด็กน้อย เขาหลุบตาลงเพื่อระลึกความทรงจำ เมื่อครู่นี้เขาเห็นอาจารย์เปิดตำรับยาอยู่สองสามหน้า

“ขอทางหน่อย ให้พวกเราตรวจก่อน เด็กกำลังสำลัก”

มีคนกำลังอุ้มเด็กหนึ่งคนพุ่งเข้ามา

เมื่อฉินหลิวซีได้ยินดังนี้ จึงได้รีบเดินออกไป ทันทีที่รับเด็กมา เห็นตาขาวที่ตาเหลือกขึ้น ใบหน้าเริ่มม่วง ลมหายใจของเด็กชายร่างอวบอ้วนเริ่มเบาลง

“ท่านอาจารย์ ลูกของข้าสำลักตอนที่กำลังกินพุทราเข้าไป ข้าเอื้อมมือเข้าไปแงะในคอแล้วทว่าไม่อาจควักออกได้ ท่านได้โปรดช่วยเขาด้วย” หญิงผู้นั้นเอ่ยขึ้นขณะที่กำลังร้องไห้ “เดิมทีข้าจะพาลูกมาแก้บนแล้วก็ไหว้พระทำบุญ ไม่คิดเลยว่าพอเดินไปถึงตีนเขาเจ้าเด็กนี่ก็ตะกละตะกลาม กินพุทราจนสำลัก เฮ้อ เจ้าเด็กนี่จะฆ่าข้าให้ตายเลยหรืออย่างไร…”

ฉินหลิวซีไม่เอ่ยอะไร อุ้มเด็กน้อยมาวางตรงกลางระหว่างอกของตนเอง จากนั้นมือทั้งสองข้างกำกำปั้นชนเข้ากับตำแหน่งเหนือสะดือขึ้นไปสามนิ้วมือ ใช้ทักษะความชำนาญและพลังภายในเข้าด้วยกัน และกดๆ ทับลงไปสลับกัน

ฟุ่บ

เด็กสำลักพุทราที่ติดอยู่ในลำคอออกมา

เมล็ดพุทราที่มีน้ำลายชื้นแฉะร่วงลงบนพื้น ทันใดนั้นเด็กน้อยก็พลันหายใจได้อย่างสะดวก เขาอ้าปากกว้างหอบหายใจเข้าลึกๆ กลั้นความรู้สึกเอาไว้ไม่อยู่จึงได้ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

ผู้คนที่เดิมมาชมความครึกครื้นพลันนิ่งงัน นี่เร็วเกินไปแล้ว หญิงผู้นั้นยังไม่ทันได้เอ่ยจบเลยด้วยซ้ำ

หญิงผู้นั้นที่กำลังร่ำไห้ก็ต้องกลั้นมันเอาไว้ในลำคอเช่นกัน

“ไม่เป็นอะไรแล้ว” ฉินหลิวซีเหลือบมองเด็กน้อย และเอ่ยขึ้นกับหญิงผู้นั้น “เด็กคนนี้ใช่คนที่ไปป่าวั่นไหวแล้วตกใจกลัวคนนั้นใช่หรือไม่”

“ใช่ๆ เจ้าค่ะ เป็นท่านที่ช่วยเขาไว้เช่นกัน”

“โชคชะตาปีนี้ไม่ดีนัก เต็มไปด้วยภัยพิบัติ แต่ว่าปีนี้ก็ใกล้จะผ่านไปแล้ว ขึ้นไปถวายเครื่องหอมท่านปรมาจารย์ จากนั้นก็ขอยันต์อยู่เย็นเป็นสุขมาให้เขาพกไว้” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าค่ะ พวกเราไปก่อนนะเจ้าคะ ขอบคุณท่านอาจารย์มาก ท่านอาจารย์ท่านคือหมอเทวดาจริงๆ เจ้าค่ะ”

เมื่อได้ยินเสียงวิ่งฉับๆ นางจึงได้หันกลับมามองแถวที่โดดเดี่ยวเดิมทีที่มีเพียงไม่กี่คน ไม่นานก็กลับมาเต็มอีกครั้ง แพทย์ไม่กี่คนที่เหลืออยู่มองดูนางทางนี้อย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

ชาวบ้านทรยศกันเร็วเกินไปแล้ว