บทที่ 303 ความดื้อรั้นของเผยยวน

วันรุ่งขึ้น จี้จือฮวนกับเผยยวนจึงแจ้งคนในครอบครัวเรื่องที่พวกเขาจะไปเมืองหลวง

อาฉือเมื่อได้ยินดังนั้นก็วางตะเกียบลง รู้สึกเป็นกังวลว่าหากพวกเขาไปแล้วจะถูกคนของราชสำนักลอบทำร้ายเอาได้

องค์หญิงใหญ่ก็เตะไท่ซ่างหวงใต้โต๊ะไปหนึ่งที พลางส่งสัญญาณทางสายตา ให้ความมั่นใจพวกเด็ก ๆ หน่อยสิ ยังมีป้ายที่เชื่อถือได้อีกหรือไม่?

ไท่ซ่างหวงกำลังคิดอยู่พอดี แต่ถูกนางเตะขัดเสียก่อน จึงหันหน้ามายักคิ้วหลิ่วตาให้ ป้ายที่ควรให้ก็ให้ไปหมดแล้ว อยู่กับเผยจื่อหมดแล้ว ╮(╯_╰)╭

องค์หญิงใหญ่รู้สึกเหลือเชื่อ ท่านเตรียมพร้อมเพียงนี้เชียวหรือ? (¬_¬)

ไท่ซ่างหวงยักไหล่ แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าเอาแต่เรียกร้องจากข้า ไทเฮาของถู่เจียอย่างเจ้าไม่มีป้ายอะไรเลยอย่างนั้นหรือ? (¬_¬)

องค์หญิงใหญ่จึงกระแอมเล็กน้อย ก่อนจะถลึงตาใส่ไท่ซ่างหวงด้วยความขัดเขิน ข้าความจำเสื่อมนะ แล้วบนตัวจะมีอะไรได้! แม้แต่ต่างหูที่ข้าใส่อยู่ฮวนฮวนก็ยังเป็นคนซื้อให้ข้าเลย ( ˋ ︵ ˊ )

เผยยวนมองดูไท่ซ่างหวงกับองค์หญิงใหญ่สื่อสารกัน ก่อนจะก้มหน้าลงกินข้าวต่อเงียบ ๆ

เผยจื่อไม่เข้าใจ เผยจื่อไม่มอง

“เอาล่ะ ข้ารู้ว่าพวกท่านกำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่ แต่หมู่บ้านตระกูลเฉินยังมีท่านผู้เฒ่าที่ปรีชาญาณและห้าวหาญ”

ทันทีที่สิ้นเสียงของจี้จือฮวน ไท่ซ่างหวงก็ลูบเคราด้วยความพึงพอใจ ดูสิ คนรู้จักพูดนั้นช่างแตกต่างจริง ๆ

องค์หญิงใหญ่ปรายตามองมาทันที

จี้จือฮวนก็เข้าใจได้ทันที “ยังมีองค์หญิงใหญ่ที่ยิ่งใหญ่และทรงอำนาจ ผู้ใดจะกล้ามาทำอะไรได้? มอบกองทัพทหารเกราะเหล็กและคนในหมู่บ้านตระกูลเฉินให้พวกท่านดูแล พวกเราจึงวางใจอย่างมากและจะรีบกลับมาเจ้าค่ะ”

คำประจบนี้พูดออกมาอย่างคล่องแคล่ว จนองค์หญิงใหญ่ต้องยกมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย

“อะแฮ่ม โอ๊ย พวกเด็ก ๆ อยากไปก็ให้พวกเขาไปเถอะ อย่างไรซะพวกเขาก็พูดถูก ที่นี่มีพวกเราอยู่ อีกอย่าง อีกสองวันเซี่ยเจินก็ต้องส่งคนมาถวายฎีกาถวายพระพร พวกฮวนฮวนไปไม่กี่วันไม่เสียงานเสียการอะไรหรอก”

ไท่ซ่างหวงมุมปากกระตุก เฮอะ คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร ข้าบอกหรือยังว่าไม่ให้พวกเขาไป? บทคนดีถูกเจ้าแย่งไปหมด

“ไปเถอะ ไปอย่างวางใจ มีอะไรไม่ชอบมาพากล ก็เขียนจดหมายกลับมาบอกข้า”

อาอินกับอาชิงมองสองสามีภรรยาด้วยดวงตากลมโตโดยพร้อมเพรียงกัน

จี้จือฮวนมองเด็กทั้งสามคน สุดท้ายก็เอ่ยกับอาฉือ “พ่อกับแม่ไม่อยู่บ้าน อาฉือสามารถดูแลน้องชายกับน้องสาวได้หรือไม่?”

อาฉืออยากจะบอกว่าตัวเองก็สามารถตามไปเมืองหลวงได้ แต่เมื่อเจอคำถามของจี้จือฮวน กลับไม่รู้ว่าควรจะตอบเช่นไร สุดท้ายจึงพยักหน้ารับด้วยท่าทางจริงจัง “ได้ขอรับ ท่านพ่อกับท่านแม่วางใจ อาฉือจะดูแลอาอินกับอาชิงอย่างดี พวกเราจะรอพวกท่านกลับมา”

“ข้าสามารถช่วยท่านแม่หิ้วสัมภาระได้นะเจ้าคะ ข้าก็อยากไปด้วย” อาอินยกมือ

“แม้การเรียนของเจ้าจะไม่สำคัญเท่าของพี่ใหญ่ แต่ก็เริ่มเรียนไปแล้วจะล้มเลิกกลางคันได้อย่างไร หยุดเรียนไปตั้งหลายวัน หากกลับมาแม้แต่พวกอาฝูเจ้าก็ตามไม่ทัน เช่นนั้นจะทำอย่างไร?”

อาอินเม้มริมฝีปาก ก่อนจะลุกขึ้นไปกอดแขนของจี้จือฮวน “เช่นนั้นท่านแม่ต้องรีบกลับมานะเจ้าคะ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงจะคิดถึงท่านจนนอนไม่หลับเป็นแน่เจ้าค่ะ”

“อาชิงก็เหมือนกันขอรับ” อาชิงน้อยรีบแสดงตัว

เผยยวนมองเด็กทั้งสามคน ดี พ่ออย่างเขาไม่มีความสำคัญใด ๆ อีกแล้ว

สัมภาระเก็บเสร็จนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องเตรียมอะไรอีก เอาสัมภาระไปน้อย ๆ จะสะดวกกว่า

เผยยวนอาศัยตอนที่จี้จือฮวนไปหยิบสัมภาระ ย่อตัวลงมองเด็กทั้งสามคนแล้วเอ่ยขึ้นมา “พวกเจ้า ดูออกหรือไม่ว่าท่านทวดกับท่านป้าพูดอะไรกัน?”

เด็กทั้งสามคนต่างก็พยักหน้าโดยพร้อมเพียง และมีท่าทางเหมือนกัน

เผยยวนเริ่มสงสัยขึ้นมา หรือว่าในบ้านนี้มีเพียงเขา! ที่! ดู! ไม่! เข้าใจ!

“ท่านพ่อ ท่านคงไม่ได้ดูไม่เข้าใจหรอกกระมัง นี่เดาง่ายจะตายไป” อาฉือเอ่ย

อาอินพยักหน้าเห็นด้วย “พวกเขาสื่อสารกันแบบนี้ทุกวัน ถ้าไม่ใช่เรื่องไร้สาระพวกเขาก็จะสื่อสารกันเช่นนี้เจ้าค่ะ”

เผยยวนชำเลืองมองไปทางอาชิงที่เด็กที่สุด

อาชิงขยำเพียงพอนขาวในมือ กะพริบตาสีดำคู่โตนั้นแล้วเอ่ยขึ้นมา “ดังนั้นท่านพ่อ ท่านเป็นคนเดียวในบ้านที่ดูไม่รู้เรื่องหรือขอรับ?”

เผยยวนเบิกตากว้าง “เป็นไปไม่ได้ ข้าจะดูไม่รู้เรื่องได้อย่างไร!”

เด็กน้อยทั้งสามเอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน “อ้อ~ ท่านดูไม่รู้เรื่องจริง ๆ ด้วย”

เผยยวนสะอึกขึ้นมา และอยากจะใช้อำนาจในฐานะพ่อข่มพวกเขา

“ท่านแม่บอกว่าไม่มีสว่านชั้นดี ก็อย่าซ่อมเครื่องเคลือบดินเผา* ท่านพ่ออย่าปากแข็งเลยขอรับ” อาชิงเอ่ยเสียงนุ่มนิ่ม

* ไม่มีสว่านชั้นดี ก็อย่าซ่อมเครื่องเคลือบดินเผา (没有金刚钻就不要揽瓷器活) หมายความว่า หากไม่มีความสามารถหรือไม่มีความเชี่ยวชาญ ก็ไม่ควรรับปาก

เผยยวน “…”

“ข้าเปล่า”

อาฉือส่ายหน้า “ดูไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไรหรอกขอรับ ท่านพ่อ ท่านรีบปรับตัวให้เข้ากับครอบครัวของเราให้ได้เถอะขอรับ”

เอ่ยจบ เขายังตบบ่าของเผยยวนด้วยท่าทางจริงจังอีกด้วย ราวกับจะบอกว่าหนทางยังอีกยาวไกลนัก

อาอินแบกห่อหนังสือเล็ก ๆ ของตัวเองไว้ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส “ท่านพ่อ สู้ ๆ นะเจ้าคะ ข้ามั่นใจในตัวท่านนะเจ้าคะ”

เมื่อถึงตาของอาชิง เผยยวนมองไปที่เขาพลางก้มหน้าลงแล้วเอ่ยขึ้นมา “พ่อเตรียมพร้อมที่จะโดนเจ้าดูถูกแล้ว เจ้าพูดออกมาเถอะ”

อาชิงล้วงบางอย่างในห่อผ้าสะพายหลังออกมา จากนั้นก็อาศัยตอนที่เผยยวนไม่ทันสังเกต ยัดใส่อ้อมแขนของเขาอย่างแรง “นี่เป็นเงินค่าขนมที่พวกเราเก็บไว้ อย่าลืมเอาไปซื้อของอร่อย ๆ ที่เมืองหลวงให้ท่านแม่กินด้วยนะขอรับ ส่วนท่านพ่อก็ตามสบายเลยนะขอรับ”

เจ้าลูกอกตัญญูคนนี้มันช่าง!

จนกระทั่งเผยยวนโอบจี้จือฮวนออกมาจากหมู่บ้านไป อารมณ์จึงค่อย ๆ ดีขึ้น

หึ เมื่อลองคิดดูดี ๆ สองสามวันจากนี้ก็จะไม่มีเจ้าสามคนนี้คอยร้องเรียกให้ฮวนฮวนเล่านิทานอีกแล้ว และมีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น!

ดูไม่รู้เรื่องแล้วสำคัญตรงไหนกัน!

ตอนนี้แม่ทัพเผยมีร่างสาวงามบอบบางอยู่ในอ้อมแขน ในที่สุดก็ไม่มีเวลามาคิดถึงเรื่องวุ่นวายใจเมื่อครู่นี้อีก

ทั้งสองคนออกเดินทางแต่เช้าตรู่ ตอนที่พวกเขาหาโรงน้ำชาริมทางเพื่อพักผ่อนในตอนเที่ยง ก็บังเอิญพบกับฮวาเซียงเซียงเข้าพอดี

ในเวลานั้นฮวาเซียงเซียงกำลังบ่นว่าอาหารที่นี่ไม่อร่อย ปากของนางกินของอร่อยจนเคยตัว รู้แบบนี้นางจะนำอาหารแห้งมาให้มากหน่อย

ขณะที่กำลังคิดถึงจี้จือฮวนอยู่นั้น ก็เห็นม้าตัวหนึ่งควบมาจากสุดทางของถนนด้วยความรวดเร็ว

“คิดไม่ถึงว่าม้าข้างนอกจะวิ่งเร็วเช่นนี้ ไม่ต่างจากม้าบ้านแม่ทัพเผยตัวนั้นเลย” ฮวาเซียงเซียงเพิ่งจะเอ่ยจบ ฉินต๋าก็หรี่ตาลงแล้วเอ่ยขึ้นมา “นั่นเป็นม้าล้ำค่า ไม่ใช่ม้าธรรมดา”

ฮวาเซียงเซียงอายุยังไม่มากเท่าฉินต๋า สายตายังคงมองเห็นได้ชัดเจนอยู่ และเพียงพริบตาจ้านอิ่งก็วิ่งมาถึงตรงหน้าของนางแล้ว

“แม่เจ้า ฮวนฮวน!!!” นางกระโดดตัวลอยขึ้นมา รีบวิ่งไปที่ประตูโรงน้ำชาด้วยความดีใจ “สวรรค์ เป็นพวกเจ้าจริง ๆ ด้วย ข้ากำลังคิดอยู่ว่าม้าที่ขี่มาแต่ไกลนั่น เหตุใดถึงได้คุ้นตาเพียงนั้นกัน!”

จี้จือฮวนเองก็ประหลาดใจมากเช่นกัน ฮวาเซียงเซียงออกเดินทางมาก่อนพวกเขา ฝีเท้าน่าจะเร็วกว่านี้

“เฮ้อ อย่าพูดถึงเลย ข้าเพิ่งจะออกจากตำบลฉาซู่ก็ท้องเสีย ทั้งอาเจียน ทั้งถ่ายท้อง เส้นทางก็เป็นหลุมเป็นบ่อ อาสามของข้าทำได้เพียงพาข้าไปพักในโรงเตี๊ยมถึงสองวัน วันนี้เพิ่งจะดีขึ้นเล็กน้อยกินอะไรก็ไม่อร่อย กำลังคิดถึงเจ้า เจ้าก็มาปรากฏตัวขึ้นพอดี ฮือ ฮือ ฮือออ ต้องเป็นเพราะสวรรค์เห็นว่าข้าน่าสงสารจึงได้ส่งเจ้ามาเป็นแน่”

“อีกเดี๋ยวข้าจะช่วยดูอาการให้เจ้า น่าจะเป็นเพราะไม่ชินกับอาหารและอากาศกระมัง”

“จริงสิ พวกเจ้าสองคนเหตุใดถึงมาที่นี่ได้?” ฮวาเซียงเซียงจูงมือจี้จือฮวนมานั่งลง ทางด้านเผยยวนก็กำลังกล่าวทักทายกับฉินต๋าอยู่

“พวกเราตั้งใจว่าจะไปเมืองหลวง ก็เลยเดินทางผ่านมาทางนี้พอดี”

“เช่นนั้นก็ดีเลย!” ฮวาเซียงเซียงกอดจี้จือฮวนแล้วเอ่ยขึ้น “อีกเดี๋ยวพวกเรานั่งรถม้าคันเดียวกันดีกว่า”

เผยยวนที่จู่ ๆ ก็ถูกช่วงชิงสิทธิ์ในการกอดภรรยาไป “…”

“อ่อ จะว่าไปแล้วอาการป่วยของข้าก็ยังมีประโยชน์อยู่ เพราะทำให้จับโจรกระจอกได้คนหนึ่ง คงเห็นว่าข้ามีเงินเลยคิดจะปล้นข้า!”

.

.

.