บทที่ 282 เด็กฝึกดวงเฮง
บทที่ 282 เด็กฝึกดวงเฮง
“ไม่ใช่นะ ในฝันฉันรู้สึกเหมือนจริงมาก ฉันคิดว่าเขาน่าจะเป็นน้องชายของฉันจริง ๆ พี่ช่วยดูแลเขาสักหนึ่งอาทิตย์ได้ไหม เสร็จแล้วฉันจะไปรับเขากลับบ้านตอนฉันกลับไปอาทิตย์หน้าเลย”
ตอนนี้ ฮันเจ๋อหยางหมดคำจะพูด ‘เด็กนั่นเป็นผู้ชาย เขาจะให้ไปอยู่ในบ้านของเธอได้ยังไง?’ เขาได้แต่กัดฟันและกล่าวว่า “[ปล่อยให้อยู่ที่นี่ไม่ได้เหรอ?]”
ซูโย่วอี๋แสร้งทำเป็นกังวล “[มู่ป๋ายกินดีอยู่ดีไหม? เขาอยู่ในวัยกำลังโตนะ]”
ฮันเจ๋อหยางรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ “[น้องสาว เธอไม่เห็นเคยสนใจฉันมากขนาดนี้มาก่อนเลยนะ!]”
เขาก็เป็นพี่ชายคนนึง!
จะเทียบกับน้องชายจากชาติที่แล้วไม่ได้ได้อย่างไร!
เมื่อได้ยินคำสัญญาของฮันเจ๋อหยาง ซูโหย่วอี้ก็กังวลน้อยลง “นอนเถอะ พี่ต้องดูแลมู่ป๋ายให้ดีนะ อย่าให้เขาเป็นอะไรเด็ดขาด”
“[เฮ้ น้องสาว! โย่วอี๋!]”
ตู๊ด ตู๊ด…
ฮันเจ๋อหยางเหลือบมองสายที่วางไปด้วยความอึ้ง ก่อนลุกขึ้นพลางเกาหัวอย่างหงุดหงิด
เขาเปิดประตูห้องนอน จึงพบเจ้าจิ้งจอกเน่านั่งยอง ๆ อยู่ข้างประตู เมื่อได้ยินเสียง อีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นและตะโกนอย่างอ่อนแรง “ฮันเจ๋อหยาง ฉันหิว”
ฮันเจ๋อหยางขมวดคิ้ว เด็กคนนี้ไม่ได้กินข้าวมาทั้งวันจริง ๆ เหรอ?
เขาแค่นหัวเราะออกมาอย่างหงุดหงิด
หลังจากเตะอีกฝ่าย เขาก็เดินไปที่ห้องนั่งเล่น “นายบอกว่านายเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่ใช่เหรอ? นายทำอาหารไม่เป็นด้วยซ้ำ”
แต่ต่อมา เขาก็เอามือแตะจมูกด้วยความเขินอายเมื่อตระหนักได้ว่าตัวเองก็ทำไม่เป็น
“ถ้านายทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไม่ได้ ก็สั่งมาสิ”
เจ้าจิ้งจอกเน่าวิงเวียนเพราะความหิว ความรู้สึกไม่สบายทำให้เขาไม่สามารถโต้เถียงได้
ตอนนี้ภาพลวงตาของอาหารและไวน์ในพื้นที่ของระบบลอยอยู่ตรงหน้าเขา
“อยากกินเนื้อ…”
หลังจากพูดจบก็มีเสียงคำรามดังมาจากท้องของเขา
ฮันเจ๋อหยางกดโทรศัพท์ ก่อนหันไปหยิบเบียร์กระป๋องออกมาจากตู้เย็นมาเปิดจิบ
“ฟังเสียงเอา ใครมาเคาะประตูก็เปิด”
เจ้าจิ้งจอกเน่าจ้องมองอีกฝ่ายอย่างโกรธ ๆ “ฉันลุกไม่ขึ้น”
“ไม่กลัวพี่สาวฉันรู้เหรอว่านายรังแกฉันแบบนี้?”
ฮันเจ๋อหยางตกตะลึง “นายเป็นเด็กกำพร้าไม่ใช่หรือไง? จะมีพี่สาวได้ยังไงกันห๊ะ?”
เจ้าจิ้งจอกเน่ายิ้มเจ้าเล่ห์ “ฉันเพิ่งฝันไป ฉันฝันว่าชาติที่แล้วมีดาราดังเป็นพี่สาวด้วย”
การแสดงออกของฮันเจ๋อหยางในเวลานี้ไม่ใช่แค่ตื่นตระหนกอีกต่อไป “นายพูดอะไร?”
“ใช่แล้ว ชาตินี้เธอน่าจะมีแซ่ซู!”
“ถ้าฉันหาย ฉันจะไปหาเธอและบอกเธอว่านายทำร้ายฉัน”
เบียร์ในมือของฮันเจ๋อหยางตกลงสู่พื้น ของเหลวสีเหลืองไหลออกมา
ตอนนี้เขาเชื่อสนิทใจแล้วว่าทั้งสองคนเป็นพี่น้องกันในชาติที่แล้ว เมื่อคิดถึงสิ่งที่ซูโย่วอี๋ฝากฝัง ฮันเจ๋อหยางก็เดินไปที่ประตูอย่างไม่เต็มใจ “เฮ้ ลุกขึ้นได้ไหม? ไม่งั้นฉันจะอุ้มนายแล้วนะ”
เจ้าจิ้งจอกเน่าไม่เต็มใจที่จะถูกคนอื่นมาอุ้ม จึงฝืนจับกรอบประตูเพื่อพยุงตัวขึ้นยืน
“ถ้าฉันยังไม่บรรลุนิติภาวะจริง ๆ ล่ะก็ นายก็เป็นพวกทารุณเด็ก!”
ฮันเจ๋อหยางตัดบทว่า “ฉันขอโทษ แต่นายเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่ใช่หรือไง อีกอย่าง ฉันยังรับนายมาอยู่ด้วยในฐานะคนจรจัด นี่ฉันผิดเหรอ?”
“ถ้าไม่มีฉัน นายก็คงนอนอยู่ข้างถนน”
“เหอะ”
เจ้าจิ้งจอกเน่ากลอกตา
ถ้าไม่มีนาย ฉันคงอยู่ในพื้นที่ของระบบแล้ว โอเคไหม?
อาหารที่สั่งมาถึงในไม่ช้า ฮันเจ๋อหยางแกะห่ออาหารและยื่นให้มู่ป๋าย “กินซะ กินเสร็จแล้วก็หาห้องนอนเอา”
ว่าแล้วก็ไม่สนใจอีกต่อไป
เจ้าจิ้งจอกเน่าสูดกลิ่นหอมของอาหาร รอให้ฮันเจ๋อหยางเข้าห้องไป ก่อนจะเริ่มกิน
…
การถ่ายทำรายการวาไรตี้ในสัปดาห์นี้ มีการฝึกซ้อมที่วุ่นวาย และมีกิจกรรมบันเทิงเล็ก ๆ ที่เรียกว่าการประชันแฟชั่นระหว่างเด็กฝึก
เด็กฝึกจะใช้เสื้อผ้าของตัวเองเข้าร่วมการแข่งขันเพื่อแสดงแฟชั่นโชว์
และให้อาจารย์ทั้งสี่คนเลือกแฟชั่นนิสต้ามาสามคน
การเลือกนี้ไม่มีความหมายใด ๆ เพียงแค่ทำให้บรรยากาศมีชีวิตชีวา ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้ผู้ชมได้ใกล้ชิดกับชีวิตของไอดอลมากขึ้น
ก่อนการแสดงอย่างเป็นทางการ อาจารย์ที่ปรึกษามีงานต้องไปที่หอพักเพื่อสัมภาษณ์เด็กฝึก
ซูโย่วอี๋พาตากล้องเข้าไปในหอพักของคลาส B เธอเคาะประตูอยู่สองครั้งตามหมายเลขห้องที่ทีมงานกำหนด ทำให้เสียงความวุ่นวายข้างในหยุดลงทันที
ขณะที่เธอกำลังจะเคาะอีกครั้ง ประตูก็เปิดออก
เด็กสาวหันศีรษะมาและอุทานว่า “อุ๊ย อาจารย์โย่วโย่ว”
“เข้ามาได้เลยค่ะ”
เมื่อซูโย่วอี๋เข้าไป เธอถึงได้รู้ว่าหอพักนี้เป็นหอที่กัวหลินหลินอยู่
ถ้าบอกว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ ซูโย่วอี๋ก็ไม่เชื่อแน่นอน
กัวหลินหลินก้าวไปข้างหน้าเป็นคนแรก “อาจารย์โย่วโย่วมาพบพวกเราเหรอคะ?”
ซูโย่วอี๋พยักหน้า “พวกคุณเตรียมตัวเป็นยังไงกันบ้าง?”
เมื่อมองไปรอบ ๆ มีกระเป๋าเดินทางกางออกบนพื้น เสื้อผ้ากระจัดกระจายยุ่งเหยิง
แต่ถึงอย่างนั้นก็เห็นได้ว่าเด็กฝึกหอนี้มีรสนิยมดี
กัวหลินหลินเคลียร์เก้าอี้ “อาจารย์โย่วโย่ว นั่งลงก่อนค่ะ ขอโทษที่มันค่อนข้างรกนะคะ”
ซูโย่วอี๋ส่ายหัว “ไม่เป็นไร”
เธอยืนนิ่ง “เธอเลือกชุดกันแล้วเหรอ? บอกฉันได้ไหมว่าทำไมเธอถึงเลือกชุดนี้”
สาว ๆ ต่างก็ยิ้มกริ่ม
“ฮ่า ๆ อาจารย์โย่วโย่วคะ หลินหลินรู้วิธีจับคู่ดีที่สุด พวกเราสามคนเตรียมสวมเสื้อผ้าของหลินหลินแล้ว”
หลังจากพูดจบ พวกเธอก็โชว์เสื้อผ้าสามชุดที่เลือกไว้
มันดูดีมาก
สำหรับกัวหลินหลิน เธอหยิบเสื้อหนังสีดำและชุดเดรสออกมา
ชุดเดรสดูหวาน ส่วนแจ็คเก็ตหนังออกแนวเท่
“สิ่งที่ฉันชอบคือการผสมผสานระหว่างความอ่อนหวานและเข้มแข็ง ซึ่งเหมือนกับผู้หญิงที่ดูนุ่มนวล แต่ก็มีพลังที่ไร้ขีดจำกัด”
เมื่อเธอพูด ตากล้องก็ซูมถ่ายในระยะใกล้ทันที
ซูโย่วอี๋ถามว่า “เธอคิดว่าจะมีคู่แข่งที่น่ากลัวหรือเปล่า?”
“ก็กัวหลินหลินน่ะสิ!” สาว ๆ ในห้องพูดพร้อมกัน
แต่กัวหลินหลินถ่อมตัวมาก “ไม่นะ ฉันเป็นคนเลือกเสื้อผ้าทั้งหมดของพวกเธอ ไม่ใช่ว่าฉันแข่งกับตัวเองเหรอ?”
“ไม่หรอก เธอเป็นคนที่สวมเสื้อผ้า ส่วนเราเป็นเสื้อผ้า ความสมบูรณ์ของแฟชั่นขึ้นอยู่กับใบหน้าเป็นหลักเลยนะ”
พวกเธอพูดชมกันไปมา
ยิ่งพูดมาก ความจริงใจก็ยิ่งน้อยลง
ซูโย่วอี๋ไม่ได้พูดอะไร “ดูเหมือนว่ากัวหลินหลินจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวนะ”
“ฉันจะตั้งหน้าตั้งตารอการแสดงของเธอนะ เอาล่ะ ฉันยังต้องไปที่หอพักอื่นอีก”
กัวหลินหลินกอดแจ็คเก็ตหนังออก ผสมกับซึ่งหิมะนอกหน้าต่างทำให้ใบหน้าของเธอขาวใสไร้ที่ติ
“อาจารย์โย่วโย่ว คุณไปดูที่ห้อง 3304 ได้นะคะ”
จู่ ๆ สาว ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ก็หัวเราะออกมาอย่างน่าประหลาด
ซูโย่วอี๋รู้สึกแปลก ๆ “ตกลง”
เธอไปที่ห้อง 3304 กับตากล้อง
ความรู้สึกตอนที่ยืนอยู่นอกประตู มันดูแตกต่างจากห้องเมื่อครู่นี้พอสมควร
ก่อนเข้าห้องพักของกัวหลินหลิน เธอรู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นด้านใน
และห้อง 3304 กลับเงียบสงบราวกับว่าไม่มีใครอาศัยอยู่
ซูโย่วอี๋เคาะสองครั้งอย่างลังเล แต่ถูกเปิดออกโดยไม่คาดคิด
ใบหน้าของไป๋เหิงดูแข็งทื่อเล็กน้อย “อาจารย์ซู”
เพราะประตูอยู่ห่างออกไปเพียงฝ่ามือ ทำให้ซูโย่วอี๋มองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นข้างใน
“สะดวกให้เข้าไปไหม?”
ไป๋เหิงมองย้อนกลับไปก่อนที่จะเปิดประตู
“เชิญเข้ามาค่ะ”
ในห้องปกติจะมีเด็กฝึกสี่คน แต่ห้องนี้กลับมีไป๋เหิงแค่คนเดียว
ดูอ้างว้าง แต่ก็เป็นระเบียบเรียบร้อย
ไม่มีความยุ่งเหยิงให้เห็น
ซูโย่วอี๋พูดตามสคริปต์การสัมภาษณ์ “แฟชั่นโชว์จะเริ่มในอีกสองชั่วโมง เธอพร้อมไหม?”
ไป๋เหิงดูกระอักกระอ่วน “ค่ะ”
“อะไร? เธอมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
มีความหมองหม่นในดวงตาของไป๋เหิง แต่มันก็ถูกสลัดหายไปอย่างรวดเร็ว
“ไม่ค่ะ ฉันพร้อมแล้ว”
ซูโย่วอี๋รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเลยขอให้ตากล้องออกไป
เมื่อเหลือเพียงสองคนในหอพัก เธอจึงถามว่า “เธอช่วยเอาเสื้อผ้าของเธอให้ฉันดูหน่อยได้ไหม?”
ไป๋เหิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็หยิบชุดเสื้อผ้าที่พับอย่างเรียบร้อยออกมาจากตู้
เสื้อแจ็คเก็ตสีเทาอมขาว…
กางเกงยีนส์ที่มีรอยขาด…
ซูโย่วอี๋คิดซ้ำแล้วซ้ำอีก “ถ้าใส่ชุดนี้จะหนาวไหม”
ไป๋เหิงก้มศีรษะลงและพึมพำ “ถ้าสวมแค่แป๊บเดียวคงไม่เป็นไรค่ะ”
เดิมทีเธอเข้าร่วมการถ่ายทำรายการวาไรตี้ผ่านการคัดเลือกของรายการ และแม่ของเธอก็มีความสุขมากที่เธอได้รับเลือก จึงพาเธอไปซื้อชุดใหม่ให้เป็นของขวัญ
แต่ไม่คิดเลยว่ากัวหลินหลินจะใช้กรรไกรตัดมัน
ขนเป็ดข้างในก็ถูกคว้านออก เหลือแต่ผ้าบาง ๆ
ซูโย่วอี๋อดคิดไม่ได้ว่าตอนที่เธอยังเด็ก เธอกับซูหยินเคยเก็บเสื้อผ้าเก่า ๆ ของคนอื่นมาสวม
อย่างมากที่สุดก็มีแค่เจ็ดรู
ซูโย่วอี๋หยุดชะงักไปสักพัก “ขอแสดงความยินดีที่ได้รับเลือกให้เป็นเด็กฝึกดวงเฮงในสัปดาห์นี้ เธอสามารถเลือกเสื้อผ้าได้ตามใจชอบ ทีมออกแบบที่รายการจัดไว้ให้จะคอยช่วยเหลือเธอเอง”
ไป๋เหิงตกตะลึง “เด็กฝึกดวงเฮง?”
“ใช่ ตอนนี้ด่วนมาก พูดอะไรมากไม่ได้ ฉันจะนัดคนมาแต่งหน้าให้เธอทันที”
หลังจากออกจากหอพัก ซูโย่วอี๋ก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วโทรหาเหมยเหมย “เลือกเสื้อผ้าของฉันมาสองชุดและให้เสี่ยวหลินเอากระเป๋าเครื่องสำอางมาด้วย แล้วส่งมาที่ 3304 ในหอพักเด็กฝึก”
เหมยเหมยอยากจะถามอีกครั้ง แต่ซูโย่วอี๋กลับวางสายไปแล้ว
เพราะไม่กล้ารอช้า เธอจึงรีบเก็บเสื้อผ้าใส่กล่องเล็กและมุ่งหน้าไปยังหอพัก
3304?
เหมยเหมยค้นหาจนสุดทางและเห็นซูโย่วอี๋ยืนอยู่ที่ประตู “พี่ซู…”
ซูโย่วอี๋ขัดจังหวะ “เหลือเวลาอีกแค่หนึ่งชั่วโมงครึ่งเท่านั้นก่อนแฟชั่นโชว์จะเริ่มขึ้น เธอไปช่วยไป๋เหิงแต่งตัวหน่อย”
“ให้สวมเสื้อผ้าของพี่เหรอคะ?”
“ใช่”
“แต่ขนาดไม่น่าจะพอดี”
ซูโย่วอี๋คิดอยู่ครู่หนึ่ง “ความสูงและรูปร่างคงจะเท่ากัน ถ้าหากไม่พอดี เธอเย็บเข้าและปรับได้ตามต้องการ”
สำหรับซูโย่วอี๋ในตอนนี้ เสื้อผ้าสองชุดไม่มีความหมายอะไร
เหมยเหมยพยักหน้าและพาช่างแต่งหน้าเข้าไปในห้อง
ไป๋เหิงกำลังจ้องมองเสื้อผ้าด้วยความงุนงง เมื่อเธอเห็นคนเข้ามาก็ยืนขึ้น “คุณคือผู้ช่วยของอาจารย์ซู พี่เหมยเหมยใช่ไหมคะ”
แม้ว่าหญิงสาวคนนี้จะออกเสียงชื่อของเธอไม่ได้ แต่เธอก็รู้สึกคุ้นเคยกับเด็กคนนี้เป็นอย่างดี
ไป๋เหิงเดาว่าจริง ๆ แล้วคงไม่มีเด็กฝึกดวงเฮงเลยด้วยซ้ำ
ที่อาจารย์ซูพูดอย่างนั้นเพียงเพราะไม่ต้องการให้เธอคิดมากว่ามีคนคอยช่วยเหลือ
เมื่อมองออกไปนอกประตู เธอก็พบกับดวงตาของซูโย่วอี๋
“ขอบคุณค่ะ”
ไป๋เหิงพูดเบา ๆ ในลำคอ
ซูโย่วอี๋ยกยิ้มเล็กน้อย “สู้เขา”
เหลือเวลาอีกเพียงครึ่งชั่วโมงก่อนแฟชั่นโชว์จะเริ่ม สาว ๆ ในหอพักทยอยออกไปทีละคน
แต่เมื่อเห็นซูโย่วอี๋ยืนอยู่ที่ทางเดิน พวกเธอทั้งหมดก็เข้ามาทักทายอย่างเป็นกันเอง
“สวัสดีค่ะ อาจารย์โย่วโย่ว”
พวกเธอทุกคนดูสวยในชุดที่สวมและหน้าที่ถูกแต่งมาอย่างดี
เห็นได้ชัดว่าพวกเธอจริงจังกับการแข่งขันนี้มาก
“อาจารย์โย่วโย่วไม่ไปที่งานเหรอคะ?”
ซูโย่วอี๋ตอบอย่างสุภาพว่า “มีเรื่องอื่นต้องทำอีกน่ะ ถนนเป็นน้ำแข็ง พวกเธอใส่ส้นสูงแบบนี้ เดินกันระวัง ๆ หน่อยนะ”
“ค่า ขอบคุณค่ะ อาจารย์โย่วโย่ว”
จากนั้นกัวหลินหลินและกลุ่มของเธอก็เข้ามา
เนื่องจากหอพัก 3304 อยู่ที่ปลายสุดของทางเดิน และซูโย่วอี๋กำลังรออยู่พร้อมกับตากล้อง จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้ผู้คนคาดเดาไปต่าง ๆ นานา
กัวหลินหลินแสร้งทำเป็นไร้เดียงสา “อาจารย์โย่วโย่วกำลังรอใครอยู่หรือเปล่าคะ?”
“คงไม่ได้รอไป๋เหิงใช่ไหม?”
“ไม่ใช่ ตามสคริปต์รายการ ฉันยังต้องทำอะไรอยู่ที่นี่อีกน่ะ”
ในการประเมินครั้งแรก ไป๋เหิงได้รับคะแนนต่ำจากอาจารย์ชายสองคน แต่ซูโย่วอี๋และอวี๋ชิงจ้าวพยายามอย่างมากเพื่อเก็บไป๋เหิงไว้ ทำให้กัวหลินหลินประหลาดใจมากเมื่อเห็นคะแนนของไป๋เหิง
กอปรกับภูมิหลังของกัวหลินหลิน เรื่องนี้ต้องมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับเธอแน่
“งั้นฉันไปก่อนนะคะ”