บทที่ 269 บททดสอบ

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 269 : บททดสอบ

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะกะไว้อยู่แล้วถึงสถานการณ์ที่เป็นไปได้ แต่สถานการณ์ที่แย่ที่สุดก็ได้เกิดขึ้นแล้ว…

ทั้งจี้ป๋อหนงและจี้จือซู่ต่างหดหู่ใจ

ตั้งแต่แรก จี้ป๋อหนงรู้กระจ่างแก่ใจมากว่าพวกเขากำลังเดิมพันครั้งใหญ่ เบี้ยเดิมพันทั้งหมดของเขาถูกเทหมดหน้าตักในการเดิมพันครั้งนี้ หากพวกเขาเดิมพันเสีย พวกเขาจะไม่เหลืออะไรเลย

และในตอนนี้ การเดิมพันนี้แขวนอยู่บนปัจจัยสองข้อ

ข้อแรกคือเดิมพันว่าความแข็งแกร่งของเจ้าของร้านหนังสือจะมีอำนาจเพียงพอที่จะข่มขู่ และบางทีก็อาจจะทำให้ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่จ้องจะควบคุมบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์ให้กลัวได้

หากตระกูลจี้ได้รับการสนับสนุนจากร้านหนังสือล่ะก็ พวกเขาก็จะสามารถตีตัวออกห่างจากกลุ่มปุถุชนได้อย่างแท้จริง แล้วตอนนั้นพวกเขาจึงจะเป็นองค์กรผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอย่างแท้จริง ไม่ใช่หุ่นเชิดบนฝ่ามือใคร

ความเสี่ยงไม่ได้สูงนัก เพราะจี้จือซู่ได้พิสูจน์มันด้วยตัวเองแล้ว

ที่จริงแล้ว ในฐานะคนธรรมดา จี้ป๋อหนงก็ทำได้เพียงพึ่งพาลูกสาวของตัวเองเพื่อคาดคะเนระดับอำนาจของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงเหล่านี้ และถึงแม้จะไม่มีร่องรอยใด ๆ เลยก็ตาม แต่จี้ป๋อหนงก็คิดไว้แล้วว่าเหตุการณ์ที่หมาป่าขาวเมื่อก่อนหน้านี้ก็มีเงาของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเหล่านี้แฝงอยู่ด้วย

พวกเขาอยากฉวยโอกาสนั้นในการบดขยี้จี้จือซู่เพื่อหยุดเธอไม่ให้เข้ามาในแวดวงผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ แม้ว่ามันอาจจะไม่ทำให้เธอเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่หากไม่ใช่เพราะมีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้น จี้จือซู่คงไม่สามารถอยู่รอดในองค์กรนักล่าต่อได้แน่นอน

ทว่าด้วยอุบัติเหตุบางประการ จี้จือซู่ก็กลายเป็นลูกค้าของร้านหนังสือ แล้วตอนนี้เธอก็กลายเป็นนักล่าที่มีฝีมือใกล้ถึงระดับภัยพิบัติแล้ว และเป็นผู้นำองค์กรนักล่าที่แข็งแกร่งพอ

ต้องบอกว่าการที่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติจะเข้าควบคุมบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์นั้นเป็นเรื่องที่ง่ายมาก แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรกับจี้จือซู่อีกต่อไป

นี่พิสูจน์ได้ว่าความแข็งแกร่งของร้านหนังสือนี้เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเหล่านี้กลัว

ข้อที่สองคือการใช้อารมณ์ของเจ้าของร้านหนังสือ

ข้อที่สองนี้คือจุดสำคัญ มันเป็นกุญแจตัดสินแพ้ชนะในการเดิมพันนี้เลย

จี้ป๋อหนงรู้อย่างลึกซึ้งว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่เหมือนกับเต้นรำบนปลายมีดเลย โดยวัตถุประสงค์ที่ไตร่ตรองมาอย่างรอบคอบนี้ก็เพื่อเจรจาตกลงกับ ‘เทพเจ้าผู้รอบรู้และแข็งแกร่ง’

นี่แทบจะเท่ากับการเอาเปรียบอีกฝ่าย

แต่ลักษณะนิสัยของผู้มีพลังธรรมชาติระดับสูงสุดส่วนใหญ่นั้นมักเย่อหยิ่งอย่างมาก หากพวกเขาค้นพบว่าตนเองถูกเอาเปรียบล่ะก็ พวกเขาคงไม่พอใจอย่างมาก

และยิ่งถ้าเทพเจ้าโกรธ ผลที่ตามมาก็จะร้ายแรงมาก

จากข้อมูลที่ทราบอยู่แล้วของ ‘ท่านเทพเจ้า’ ของพวกเขา เขาปฏิบัติกับบุคคลที่ประสงค์ร้ายอย่างไม่มีความเมตตาใด ๆ และมักจะทำลายพวกเขาทันที

แต่หากเป็นแขก เขาจะเป็นมิตรมาก แม้กระทั่งเพิกเฉยต่อความไม่สุภาพของอีกฝ่ายได้ในระดับหนึ่งด้วย

ยกตัวอย่างเช่นโจเซฟ เพราะเขารู้ว่าไวลด์เคยเข้าไปในร้านหนังสือมาสักระยะแล้ว เขาจึงไปที่ร้านหนังสือในครั้งแรกด้วยท่าทีเป็นปรปักษ์ด้วย

แต่นั่นก็ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่เขาไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของเจ้าของร้านหนังสือ

ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ดังนั้นจึงให้อภัยได้…

แต่ถึงอย่างนั้น คุณหลินก็ยังให้บทเรียนเล็ก ๆ น้อย ๆ กับเขาอยู่ดี เพื่อทำให้ลูกค้าใหม่คนนี้เข้าใจว่าตนเองนั้นกำลังเผชิญหน้ากับตัวตนแบบไหนอยู่

การพยายามใช้ร้านหนังสือเพื่อหาผลประโยชน์ใส่ตัวนั้นเป็นบททดสอบที่กล้าหาญมาก หรือเรียกได้ว่าเป็นการล่วงเกินกัน

หากพวกเขาแพ้ ไม่ว่าพวกผู้มีพลังเหนือธรรมชาติหลังม่านจะวางแผนอะไรกันอยู่ แต่พวกเขาก็จะต้องเผชิญโทสะของเจ้าของร้านหนังสือก่อน

และถ้าโทสะนี้มุ่งเป้ามาที่พวกเขาล่ะก็…พวกเขาก็รับมันไว้ไม่ไหวหรอก

จากสถานการณ์ที่จี้ป๋อหนงพอมองออก หากพวกเขาไม่สามารถเกลี้ยกล่อมหลินเจี๋ยได้ล่ะก็ ผลลัพธ์ที่แย่ที่สุด…ก็คงไม่มากไปกว่าความตาย

จี้ป๋อหนงเตรียมใจรอรับความตาย แต่เขาเป็นคนธรรมดามาตลอด แถมด้วยอายุและฐานะของเขา จี้ป๋อหนงจึงอดประหม่าและกังวลไม่ได้

เขาหวังแค่ว่าจี้จือซู่จะได้รับการอภัยจากเรื่องนี้

โชคดีที่ตัวเธอเองเป็นลูกค้าของร้านหนังสือ และเจ้าของร้านหนังสือย่อมดีต่อลูกค้าของเขาเสมอ

แต่ไม่คิดเลยว่าเรื่องยังไม่ทันได้เริ่ม ก็จบเสียแล้ว…

เจ้าของร้านหนังสือออกตัวแต่แรกเลยว่า “ไม่รับของขวัญที่แพงเกินไป”

วัตถุโบราณเหล่านี้ที่มาจากใต้ดินเป็นของมีค่าที่สุดที่พวกเขาเตรียมไว้ แต่เจ้าของร้านหนังสือไม่ยอมรับมัน!

หลังจากนั้น บุคคลระดับสูงสุดของบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์ก็โดนลดขั้นเหลือเพียงคนขับรถ ความทะนงของจี้ป๋อหนงที่มองหาโอกาสให้คนธรรมดาสามารถต่อสู้กับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติได้ถูกเหยียบจมดิน

ความหวังทั้งหมดดับมอดราวกับการเดิมพันครั้งนี้ล้มเหลวอย่างไม่เหลือชิ้นดีแล้ว

สีหน้าของจี้ป๋อหนงถึงกับแข็งค้าง มองจากภายนอกแล้วซีดขาวราวใกล้ตาย เขาพยายามสุดชีวิตเมื่อไม่ให้แสดงอารมณ์หดหู่ออกมาเสียตรงนั้น แต่มือของเขาก็อดสั่นไม่ได้

จี้จือซู่สูดหายใจลึก ๆ ในใจเธอก็กำลังสั่นคลอนเหมือนกัน

แต่ว่าเธอติดต่อกับร้านหนังสือมานานกว่าบิดาของเธอ ดังนั้นจากคำพูดเหล่านี้ เธอจึงค้นพบความหวังที่จะรอดชีวิตในคำพูดเหล่านี้อยู่

พฤติกรรมของเราทำให้คุณหลินไม่ชอบใจจริง ๆ …เบื้องหลังคำพูดเหล่านี้ ถ้าเทียบกับบทสนทนาปกติของเขากับลูกค้าแล้ว จะบอกว่าเป็นการเย้ยหยันก็ได้ เขาต้องโกรธอยู่จริง ๆ แน่!

แต่ตอนแรกเขาก็ยังทักทายเราเหมือนปกติ นี่อธิบายได้ว่าเขายังปฏิบัติกับเราเป็นลูกค้า เรื่องยังไม่แย่ขนาดนั้น ยังมีโอกาสอยู่!

การกระทำนี้เป็นแค่การกระทำจากการคิดไปเองของพวกเรา โดยเฉพาะพ่อที่เป็นแค่คนธรรมดา การชั่งน้ำหนักร้านหนังสือด้วยผลประโยชน์ทำให้เขาไม่ชอบใจมาก…ดังนั้นเขาเลยเตือนเราว่านิสัยทั้ง ‘คนรวย’ เอย ‘พ่อค้า’ เอย ก็เหมาะแค่ใช้ชีวิตในด้านอื่นและไม่ควรนำมาใช้ที่นี่

จี้จือซู่อดทอดถอนใจไม่ได้ บริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์ในสายตาเขาไม่ได้ต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดานับพันเลย

…ไม่สิ เดี๋ยวนะ? คำพูดพวกนั้นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นจริง ๆ น่าจะอยู่ที่ประโยคช่วงหน้า

จี้จือซู่ลอบพึมพำในใจ ไม่รับของที่มีค่าเกินไป มีค่าเกินไป…

ดวงตาของเธอพลันเป็นประกาย นี่ไม่ใช่การปฏิเสธ!

แม้ว่าสำหรับเธอ หรือกระทั่งคนอื่น ๆ บนโลก วัตถุโบราณจากใต้ดินเหล่านี้จะเป็นของหายากและเป็นสมบัติล้ำค่า ยากจะมีใครคิดว่ามันไม่มีค่า

แต่ถ้าเป็นตัวตนระดับเจ้าของร้านหนังสือ มูลค่าของสิ่งเหล่านี้ก็ใช่ว่าจะสูงอะไร!

คำพูดเหล่านี้มาจากมุมมองของคุณหลิน ดังนั้นความคิดของพวกเขาจึงนำมาพิจารณามันไม่ได้…พวกเขาคิดว่านี่คือคำปฏิเสธ แต่ในทางกลับกัน มันเป็นบททดสอบท่ามกลางคำเหน็บแนม!

ถ้าพวกเขาถอย ก็เท่ากับพวกเขาล้มเหลวในบททดสอบนี้

แล้วจากนั้นเจ้าของร้านหนังสือก็จะมีเหตุผลให้ปฏิเสธได้

แต่หากพวกเขาเผชิญหน้าความท้าทาย พวกเขาก็จะเข้าใจเป้าหมายของคุณหลินอย่างแท้จริงได้

การนึกถึงผลประโยชน์ส่วนตัวนั้นไม่แนะนำในฐานะผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากร้านหนังสือ จากนี้ไปพวกเขาก็ควรมองเรื่องต่าง ๆ ในมุมมองของคุณหลิน ทุกอย่างต้องคำนึงถึงร้านหนังสือ ทุ่มเทเพื่อร้านหนังสือ และรับใช้ร้านหนังสือ

แล้วพวกเขาก็จะมีคุณสมบัติที่จะขอให้ร้านหนังสือเติมเต็มความปรารถนาของพวกเขาได้!

จี้จือซู่พยักพเยิดอย่างใจเย็นให้จี้ป๋อหนงใจเย็นลง แล้วหันไปด้านข้าง จากนั้นก็นั่งลงอย่างมั่นคงที่เก้าอี้หน้าเคาท์เตอร์ แล้วพูดด้วยเสียงต่ำ “ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะคุณหลิน เราไม่ได้เอาของมีค่ามากมายอะไรมาหรอกค่ะ แค่ของเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นเอง”

หลินเจี๋ยได้ยินดังนั้นก็ถึงกับมุมปากกระตุก ผมแค่แสดงความสุภาพ…คุณหนูใหญ่คงไม่ทำตามเฒ่าไวลด์แล้วหาของฝากประจำถิ่นมาให้เราจริง ๆ หรอกใช่ไหม?

ไม่มั้ง…เธอเป็นคุณหนูของบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์เลยนะ!

ใบหน้าของเขายังแสดงรอยยิ้ม แต่ในใจเขาอดเสียใจไม่ได้

ทำไมเมื่อกี้เราต้องพูดอะไรแบบนั้นออกไปด้วยเนี่ย?