ตอนที่ 112-1 การค้นพบ

ณ จวนยิ่นอ๋อง

ยิ่นอ๋องนั่งอยู่ในห้องหนังสือ พลางพลิกดูข่าวสารที่ส่งมาจากสายลับทั่วทุกหนแห่งอย่างไม่ใส่ใจนัก มีแต่ข่าวความเคลื่อนไหวของขุนนางท้องถิ่นบางคน น่าเบื่ออย่างยิ่ง

ยิ่นอ๋องโยนฎีกาลงบนโต๊ะ แล้วเอนหลังพิงเก้าอี้ จากนั้นนวดคลึงบริเวณหว่างคิ้วอย่างใช้ความคิด

ขันทีหลิวเห็นว่ามีเหงื่อออกเล็กน้อยที่หน้าผาก จึงหยิบพัดขึ้นมาแล้วพัดให้เขาเบาๆ “ท่านอ๋อง ดูเหมือนท่านจะมีเรื่องบางอย่างอยู่ในใจ”

นิ้วมือที่กำลึงนวดคลึงคิ้วของยิ่นอ๋องพลันหยุดชะงัก หลังจากนั้นไม่นานเขาก็แค่นเสียงเหยียดหยัน “เจ้าว่าคำพูดของจีหมิงซิวในวันนั้นหมายความว่าอย่างไร”

ขันทีหลิวชะงัก ถามว่า “ท่านอ๋องหมายถึงประโยคใดพ่ะย่ะค่ะ”

ยิ่นอ๋องกล่าวว่า “เขาบอกข้าว่าผู้ที่มีความสัมพันธ์กับคุณหนูใหญ่เฉียวเมื่อห้าปีก่อนอาจไม่ใช่ข้า บางทีอาจเป็นเขา เขาเสียสติไปแล้วกระมัง ถึงได้เอ่ยวาจาไร้ยางอายเช่นนั้นกับข้า”

ขันทีหลิวยิ้ม “เขาน่ะหรือ ก็แค่โกรธท่านเท่านั้นเอง ฮูหยินมีลูกกับท่าน ไม่ว่าใครที่ได้เห็นนายน้อยจิ่งอวิ๋นต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาเป็นลูกชายของท่าน”

“ข้าก็คิดเช่นนั้น” ยิ่นอ๋องโล่งใจ อารมณ์ดีขึ้น “ข้าว่าเขาอาจไม่ได้จริงใจกับเฉียวซื่อจริงๆ ก็เป็นได้ เขาเพียงเป็นปรปักษ์กับข้า จึงต้องการแย่งทุกสิ่งของข้าก็เท่านั้น หากข้าไม่สนใจคุณหนูใหญ่เฉียวแล้ว ข้าเชื่อว่าเขาคงไม่เหลียวแลคุณหนูใหญ่เฉียวแม้แต่น้อย”

ขันทีหลิวประจบ “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้องแล้ว”

ในห้องหนังสือของเรื่อนสี่ประสาน จีหมิงซิวผู้ถูกท่านอ๋องบางคนคาดคะเนในทางร้ายกำลังนั่งหน้าขรึมอยู่ในห้องหนังสือ มองไปยังไห่สือซานที่กำลังรายงานข่าวให้เขาทราบ “เจ้าไปตรวจสอบเรื่องนี้ตั้งนาน แต่กลับให้คำตอบข้าว่าไม่ทราบเช่นนั้นหรือ”

ไห่สือซานอับอายจนเหงื่อตก ก่อนที่เขาจะมาทำงานให้นายน้อย เขาคือราชันร้อยข่าวผู้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วยุทธภพ ค้าขายข่าวสารเป็นงานหลัก ได้ชื่อว่าไม่มีเรื่องใดในใต้หล้าที่เขาไม่รู้ แต่หลังจากติดตามนายน้อย ราชันร้อยข่าวก็หายหน้าจากยุทธภพ แต่ความจริงเขาไม่เคยถอนตัวออกจากยุทธภพ เพียงแต่เปลี่ยนมาใช้ตัวตนอื่นติดต่อกับสายลับที่รู้จักในอดีตเท่านั้น

เมื่อพูดถึงความสามารถในการสืบข่าวกรอง หากเขาเรียกตัวเองว่าเป็นอันดับสอง ก็ไม่มีใครกล้าตั้งตนเป็นอันดับหนึ่ง แม้แต่ความลับในอดีตที่ถูกซ่อนไว้นานหลายปี เมื่อตกมาถึงมือเขาก็ล้วนตามหาเบาะแสร่องรอยได้

ทว่าราชันร้อยข่าวเช่นเขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะมาเสียท่าเพราะเรื่องเช่นนี้

“นายน้อย” ไห่สือซานประสานมือทั้งสองข้างคำนับ “ข้าสงสัยว่าอาจมีคนเล่นลูกไม้ จงใจลบร่องรอยในคืนนั้น ข้าจึงสืบไม่พบเบาะแสใดๆ”

“เจ้าสงสัย?” น้ำเสียงของจีหมิงซิวเย็นชาเล็กน้อย

ไห่สือซานรู้สึกชาวาบที่ศีรษะ “ค่อนข้างแน่ใจขอรับ มิเช่นนั้นข้าน่าจะสืบพบร่องรอยใดบ้างแล้ว”

ครั้งนี้เขาพบคู่ต่อกรที่สมน้ำสมเนื้อ ฝีมือของคู่ต่อสู้ไม่ด้อยกว่าเขา อีกทั้งคู่ต่อสู้ไม่ได้เพิ่งกำจัดร่องรอยเมื่อเร็วๆ นี้ แต่เขาลบเบาะแสในคืนนั้นออกไปตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อน หากเขาเริ่มสืบตั้งแต่ตอนนั้น บางทีอาจยังมีหวังอยู่บ้าง แต่เมื่อผ่านมาห้าปี ความหวังเสี้ยวสุดท้ายก็ถูกกาลเวลากลบฝังไปแล้ว

“ผู้ใดเป็นคนทำ แล้วทำเช่นนั้นทำไม…” จีหมิงซิวรำพึง

ไห่สือซานกล่าวว่า “เรื่องนี้…ข้าน้อยก็ยังไม่กระจ่าง แต่ข้าน้อยพบสิ่งที่น่าสนใจมากเรื่องหนึ่ง”

“เรื่องอันใด” จีหมิงซิวถาม

ไห่สือซานหัวเราะหึๆ “ตอนที่ข้าตรวจสอบเรื่องของนายน้อย ข้าก็ตรวจสอบเรื่องของยิ่นอ๋องในคืนนั้นด้วย นายน้อยลองทายดูว่าเกิดอะไรขึ้น”

“อะไรเล่า” จีหมิงซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย

ไห่สือซานยักไหล่ “ข้าไม่พบอะไรเลยเช่นกัน”

สายตาของจีหมิงซิวมองมานิ่งๆ “เจ้าหมายความว่าคนผู้นั้นลบแม้แต่เบาะแสของยิ่นอ๋องในคืนนั้นไปด้วย”

ไห่สือซานพยักหน้า “ข้าเดาว่าอย่างนั้น ดังนั้นความจริงแล้วก็มิอาจยืนยันได้ว่าคืนนั้นฮูหยินมีอะไรกับยิ่นอ๋องจริงหรือไม่”

จีหมิงซิวจ้องตาเขม็ง แล้วกล่าวว่า “หากไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับข้า เพียงลบเบาะแสทางฝั่งข้าก็พอแล้ว ไฉนจึงต้องลบเบาะแสฝั่งยิ่นอ๋องจนหมดด้วย เว้นเสียแต่ว่าทั้งสองเรื่องนี้เกี่ยวข้องกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”

ไห่สือซานก็คิดเช่นนั้น “ตอนนี้ยังไม่รู้แน่ชัดว่าผู้ใดเป็นคนเล่นลูกไม้ อาจจะเป็นสตรีที่ท่านมีความสัมพันธ์ด้วยในคืนนั้น หรือคนอื่นที่ไม่ต้องการให้ท่านกับนางมีความเกี่ยวข้องกัน”

จีหมิงซิวยิ้มบางๆ “ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด อย่างน้อยข้าก็มั่นใจแล้วเรื่องหนึ่ง”

“อะไรหรือขอรับ”

จีหมิงซิวพับแขนเสื้อกว้างของเขาและพูดอย่างสบายอกสบายใจ “เฉียวเวยไม่สามารถย้อนกลับไปกลับมาระหว่างข้ากับยิ่นอ๋องได้ ดังนั้นในคืนนั้นต้องมีผู้หญิงอีกคน”

“เอ่อ…” มันก็มีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว! ก็คนที่อยู่กับท่านอย่างไรล่ะขอรับ! ไห่สือซานไม่รู้จะเอ่ยคำใดกับตรรกะของผู้เป็นนาย แต่เดิมก็คือยิ่นอ๋องมีความสัมพันธ์กับเฉียวซื่อ ส่วนนายน้อยมีความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนกับสตรีคนอื่นมิใช่หรือ หรือนายน้อยกำลังคิดว่าคนที่ตนมีความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนด้วยคือเฉียวซื่อ ส่วนยิ่นอ๋องนั้นฝันไปเอง?

นิ้วเรียวยาวราวกับหยกของจีหมิงซิวค่อยๆ ยกถ้วยน้ำชาขึ้น “ตามหาผู้หญิงคนนั้น แล้วความจริงจะถูกเปิดเผยเอง”

หลังจากอากุ้ยและกู้ชีเหนียงทำเป็นแล้ว เฉียวเวยก็มีโอกาสได้พักผ่อน นางไม่ได้สนใจหรงจี้มาพักใหญ่แล้วจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ วันนี้หลังจากทานข้าวเที่ยงเสร็จ นางจึงนั่งรถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อเข้าเมือง เนื่องจากต้องกลับค่ำจึงให้ตาเฒ่าซวนจื่อกลับไปก่อนโดยไม่ต้องรอนาง

ตอนนี้เป็นฤดูที่กุ้งจะอ้วนท้วนสมบูรณ์ เนื้อนุ่มและอร่อยที่สุด แล้วกิจการของหรงจี้ก็กำลังเฟื่องฟูเพราะมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นพลุแตกจากการเข้าไปปรุงพระกระยาหารถวายฮ่องเต้ จึงมีลูกค้ามาทานอาหารที่นี่มากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสายราวกับปลาไนที่มีอยู่เกลื่อนแม่น้ำ พ่อครัวทุกคนยุ่งจนเท้าแทบไม่ได้อยู่ติดพื้น ทั้งพ่อครัวเหอกับพ่อครัวไห่ต่างไม่ได้กลับบ้านกว่าครึ่งเดือนแล้ว พอเฉียวเวยมารับหน้าที่เป็นแม่ครัวใหญ่ ในที่สุดพ่อครัวเหอจึงสามารถกลับบ้านไปกอดภรรยากับลูกได้

แน่นอนว่าถึงอย่างไรเฉียวเวยก็เป็นหญิง เถ้าแก่หรงเกรงว่าคนจะเข้ามามุงดูนาง ดังนั้นเขาจึงไม่เห็นด้วยที่จะให้นางออกไปปรุงอาหารอยู่ข้างนอก เขาให้นางปรุงอาหารอยู่ในห้องครัวด้านใน

ห้องครัวด้านในก็ไม่มีอะไรไม่ดี

เหยาชิงช่วยเป็นลูกมือให้เฉียวเวย ตั้งแต่เข้าไปในวังหลวง เหยาชิงก็มีความขยันและมีความสามารถมากขึ้น ในแต่ละวันเขาจะแย่งทำงานทุกอย่าง แถมยังทำได้ดีอีกด้วย

เฉียวเวยทำกุ้งตุ๋นน้ำมัน เหยาชิงยื่นชาให้นางถ้วยหนึ่ง “เถ้าแก่รอง ดื่มน้ำขอรับ”

“ขอบใจ” เฉียวเวยจิบชาจากถ้วย รู้สึกว่ารสชาติไม่ถูกปากนัก จึงขมวดคิ้วสั่งว่า “ไปเอาโถสีเหลืองใต้ตู้วางถ้วยชามในครัวเล็กของข้ามาให้หน่อย”

“ได้ขอรับ!” เหยาชิงไปนำโถปิดผนึกที่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทำขึ้นกับมือมามอบให้ตามคำสั่ง

เฉียวเวยเปิดโถออก กลิ่นหอมละมุนของสุราโชยมาแตะจมูกของนาง นางหลับตาพริ้มด้วยความเพลิดเพลิน นางรินใส่สองจอก มองฟองสีขาวที่ค่อยๆ ฟูฟ่องลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ นางยิ้มอย่างพึงพอใจ จากนั้นนางก็ใส่น้ำแข็งบดลงในจอก แล้วลองชิมหนึ่งคำ รสชาตินี้แหละ!

“เจ้าก็ลองชิมดูสิ” นางส่งจอกสุราอีกใบให้เหยาชิง

เหยาชิงดื่มอย่างเชื่อฟัง พอหมดจอกก็แลบลิ้นออกมา “นี่คือสิ่งใดหรือ มันซ่าๆ! แล้วก็ขมมาก!”

เฉียวเวยยิ้มอย่างเบิกบานใจ “สิ่งนี้เรียกว่าผีจิ่ว[1] เป็นที่นิยมมากในบ้านเกิดของพวกข้า ในวันที่อากาศร้อน หากได้ดื่มผีจิ่วเย็นๆ ช่วยคลายร้อนได้ชะงัดนักล่ะ!”

เขาไม่รู้สึกว่าคลายร้อนได้ แต่ความรู้สึกซ่าๆ นั่นทำให้เขาตกใจ

เฉียวเวยดันจอกของเขา “ดื่มอีกหลายๆ อึก เดี๋ยวเจ้าก็จะคุ้นกับรสชาติเอง”

เหยาชิงดื่มอีกสองสามอึกอย่างเงียบๆ ตอนแรกกลืนไม่ค่อยลงนัก มันทั้งซ่าทั้งขม รสชาติไม่หวานและเข้มข้นเช่นสุราขาว ทว่าหลังจากดื่มไปครึ่งจอก เขาก็ค่อยๆ รู้สึกว่ารสชาติไม่เลว รู้สึกสดชื่นนิดๆ ชุ่มคอหน่อยๆ เมื่อลองลิ้มรสอย่างพิถีพิถันก็รู้สึกถึงรสหวานเล็กน้อยอีกด้วย “ขออีกจอก”

วันนี้หรงจี้เปิดตัวเครื่องดื่มใหม่ ทุกคนสามารถลิ้มลองได้โดยไม่คิดเงิน

ลูกค้าเก่าต่างชอบจุดเด่นในข้อนี้ของหรงจี้ พวกเขามักจะมีอาหารจานใหม่มาแนะนำอยู่เสมอ ส่วนใหญ่จะให้คนชิมโดยไม่คิดเงิน หลังจากได้รับคำชื่นชมก็จะเริ่มขายอย่างเป็นทางการ ดังนั้นลูกค้าที่มาหรงจี้บ่อยๆ มักจะมีลาภปาก

“ฮูหยิน สิ่งนี้คือผีจิ่วเครื่องดื่มออกใหม่ของร้านเรา รสชาติแตกต่างจากสุราขาวและสุราเหลือง ดื่มแล้วสดชื่นยิ่งนักแต่ไม่มึนเมา ท่านต้องการลองหรือไม่” เสี่ยวเอ้อร์ในร้านถือกาสุราเดินไปหาสตรีที่นั่งอยู่โต๊ะตรงหัวมุม

สตรีสองนางนี้มิใช่ใครอื่น พวกนางก็คือสวีซื่อกับหลินมามาที่ไม่ได้ปรากฏตัวมานาน

สวีซื่อพยักหน้าน้อยๆ หลินมามากล่าวว่า “เอามาสองจอก”

“ขอรับ!” เสี่ยวเอ้อร์เทให้ทั้งสองคนจนเต็มจอก

เมื่อเสี่ยวเอ้อร์จากไป สวีซื่อก็ดมของเหลวสีเหลืองในจอก “ไม่มีกลิ่นสุราสักนิด เป็นสุราจริงหรือ คงมิใช่น้ำเปล่ากระมัง”

หลินมามาจิบเล็กน้อย “โอ๊ย ลิ้นของข้า!”

ซ่ามาก

สวีซื่อฝืนใจลิ้มลองเล็กน้อย พอเข้าปากก็บ้วนทิ้งใส่ผ้าเช็ดหน้า แล้วพูดด้วยความรังเกียจ “สุราบ้าอะไร ขมจะตาย! เช่นนี้เรียกว่าสุราได้หรือ”

“ใช่เจ้าค่ะ รสชาติแย่จริงๆ!” หลินมามาผู้ดื่มแต่สุราขาวไม่คุ้นชินกับรสชาติของสุราชนิดนี้จริงๆ

แต่พวกบุรุษกลับชมชอบมัน โต๊ะด้านข้างมีพ่อค้านั่งอยู่หลายคน ทุกคนต่างร้อนอบอ้าว เนื้อตัวเต็มไปด้วยเหงื่อไคล หลังจากดื่มสุราเย็นๆ ชนิดใหม่แล้ว พวกเขาก็รู้สึกสดชื่น

“เสี่ยวเอ้อร์ สุรานี้ไม่เลวเลย ผู้ใดเป็นคนทำ” พ่อค้าวัยกลางคนผู้หนึ่งถามออกมาตรงๆ

เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มแย้มตอบว่า “เถ้าแก่รองของเราเป็นคนทำขอรับ”

หลินมามาตบมือสวีซื่อเป็นการใหญ่ “คุณหนูใหญ่เฉียวเจ้าค่ะ!”

พวกนางได้รับข้อมูลทั้งหมดของเฉียวเวยจากสวี่ซื่อเจี๋ยแล้ว อาทิ นางทำนากี่หมู่ ทำการค้าอยู่กี่อย่าง

สวีซื่อขมวดคิ้ว “แม่นั่นกลายเป็นคนเก่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด”

หลินมามามองไปรอบๆ นางเขยิบเข้าไปใกล้ฮูหยินของตนแล้วกระซิบว่า “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านดูกิจการของร้านนี้สิ วันหนึ่งๆ ได้กำไรมากเท่าใด ดูท่าทางน่าจะได้มากกว่าหอหลิงจือของเราเสียอีก”

“หอหลิงจือเป็นสถานที่รักษาคนป่วยและขายยา ร้านอาหารเล็กๆ ที่มีแต่สุรากับอาหารเทียบได้หรือ” แต่หากว่ากันตามกฎแล้ว หอหลิงจือก็เป็นของเฉียวซื่อเช่นกัน เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ หัวใจของสวีซื่อก็ยิ่งรู้สึกคับแค้น

“ท่านลูกค้า กุ้งสองสหายของท่านขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์ยกจานอาหารมาพร้อมรอยยิ้ม

ดูลูกจ้างของผู้อื่นสิ แล้วหันมาเปรียบกับลูกจ้างของหอหลิงจือ สวี่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา

เสี่ยวเอ้อร์ถามด้วยความเป็นห่วง “ท่านลูกค้าไม่ชอบอาหารจานนี้หรือขอรับ”

สวีซื่อยิ้มกระอักกระอ่วน “เปล่า ข้าแค่…คิดอะไรบางอย่าง อ่า จริงสิ ข้าได้ยินมาว่าที่นี่มีไข่เยี่ยวม้าด้วยมิใช่หรือ”

เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มแล้วตอบว่า “ขอรับฮูหยิน ไข่เยี่ยวม้าเป็นของร้านเรา ท่านต้องการซื้อไข่เยี่ยวม้าที่ยังไม่ปรุง หรืออาหารที่ทำจากไข่เยี่ยวม้า”

สวีซื่อบีบผ้าเช็ดหน้าแล้วคลี่ยิ้ม “ไข่เยี่ยวม้าของพวกเจ้าแพงขนาดนั้น ข้าซื้อทานไม่ไหวหรอก”

เสี่ยวเอ้อร์แสร้งทำเสียงขุ่นเคือง “ดูฮูหยินพูดเข้า แค่มองก็ทราบแล้วว่าท่านเป็นผู้ร่ำรวยและสูงศักดิ์ มีของสิ่งใดที่ท่านซื้อทานไม่ไหว ขอไม่ปิดบังท่าน ข้าอยู่ที่นี่มาหนึ่งปีแล้ว ไม่เคยเห็นฮูหยินคนไหนท่วงท่าสง่างามเช่นท่านมาก่อน ตอนท่านมานั่งอยู่ตรงนี้ ข้ารู้สึกเหมือนเห็นฮองเฮาอย่างไรอย่างนั้น!”

สวีซื่อรู้สึกปลื้มใจกับคำเยินยอนี้มาก นางหัวเราะออกมาเสียงดัง ขณะที่หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดริมฝีปาก “ปากของเจ้านี่นะ ไข่เยี่ยวม้าฟองละห้าตำลึง หากเจ้านำไปทำอาหารให้ข้า มิกลายเป็นจานละสิบตำลึงหรอกหรือ”

เสี่ยวเอ้อร์ตกตะลึงครู่หนึ่ง “ห้าตำลึง? ฮูหยินท่านไปฟังมาจากที่ใดขอรับ ไข่เยี่ยวม้าของพวกเราขายเพียงสองร้อยอีแปะเท่านั้น!”

คราวนี้สวีซื่อเป็นฝ่ายตกตะลึง “อะไรนะ ขายเพียงสองร้อยอีแปะเท่านั้นหรือ ลดราคาตั้งแต่เมื่อใด” ราคาจะร่วงฮวบฮาบเกินไปแล้ว

“ขายราคานี้มาตลอดขอรับ ฮูหยินท่านอย่าไปฟังข่าวลือข้างนอกเลย ไข่เยี่ยวม้ามีขายเฉพาะร้านเราเท่านั้น อาจมีบางคนต้องการใส่ร้ายเรา นั่นก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ของที่ขายในหรงจี้ของพวกเราคุ้มค่าคุ้มราคาที่สุด หากมิใช่เพราะไข่เยี่ยวม้าได้มายากลำบาก ราคานำเข้าก็สูง พวกเราคงไม่ขายในราคาแพงถึงสองร้อยอีแปะหรอกขอรับ”

ภายหลังเสี่ยวเอ้อร์พูดอะไรบ้าง สวีซื่อก็ไม่ได้ยินแล้ว นางกำผ้าเช็ดหน้าแน่น ใบหน้าของนางกลายเป็นสีแดงก่ำราวกับสีของตับหมู เดือดดาลประหนึ่งว่านางจะฉีกโต๊ะให้ขาดในพริบตาต่อมา “หลินมามา เจ้าได้ยินหรือไม่ เจ้าได้ยินหรือไม่! ซีเอ๋อร์โดนนังนั่นหลอก!”

หลินมามาไม่รู้จะพูดอันใด คุณหนูใหญ่เฉียวช่างบังอาจจริงๆ ของราคาสองร้อยอีแปะกล้าเอามาขายในราคาห้าตำลึง โกงคุณหนูใหญ่อย่างร้ายกาจที่สุด แล้วคุณหนูใหญ่ยังหลงกล นำเงินมามอบให้หรงจี้ราวกับเป็นของไม่มีค่า ห้าตำลึงต่อฟอง หนึ่งร้อยฟองก็ห้าร้อยตำลึง ตอนนั้นเพื่อเอาใจจีเหล่าฮูหยิน คุณหนูใหญ่ต้องซื้อหนึ่งโถทุกๆ สามวัน ไม่รู้ว่าเสียเงินไปมากน้อยเท่าไรแล้ว

หากการแต่งงานครั้งนี้สำเร็จก็ช่างเถิด แต่สุดท้ายกลับโดนใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีหาเรื่องจนต้องยกเลิกไป ผู้ใดจะกล้ำกลืนความโกรธครั้งนี้ลง

ยิ่งตอนนี้รู้ว่าถูกหลอก เปลวไฟในหัวใจก็ลุกโชติช่วงมากกว่าเดิม

อวัยวะภายในของสวีซื่อถูกแผดเผาด้วยความโกรธ ตอนนี้ในหูได้ยินแต่เสียงอื้ออึง นางโกรธจัดจนฉีกผ้าเช็ดหน้าขาดเป็นรู “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร!”

หลินมามากล่าวว่า “ฮูหยิน ท่านใจเย็นๆ ก่อนนะเจ้าคะ ที่นี่เป็นถิ่นของนาง ถ้าขืนนางพบเราเข้าคงแย่แน่”

สวีซื่อโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ คุณหนูใหญ่เฉียวคนนี้เกิดมาเป็นดาวข่มของพวกเขาเหมือนเช่นมารดาไร้ยางอายของนาง ในอดีตตอนเสิ่นซื่อมีชีวิตอยู่ นางกดหัวพวกเขาจนไม่กล้ากระดิกตัวทำอันใด ตอนนี้เสิ่นซื่อจากไปแล้ว แต่ลูกสาวของเสิ่นซื่อยังจะมาทำร้ายลูกสาวของนางอีก!

หัวใจของบิดามารดาทุกคนย่อมยอมทนทุกข์เองดีกว่าให้ลูกต้องทุกข์ใจแม้เพียงเล็กน้อย

“นังสารเลว อย่านึกว่าข้าจะทำอันใดเจ้ามิได้!”

สวีซื่อมิใช่คนหุนหันพลันแล่น เพียงแต่ช่วงนี้เรื่องราวทั้งหลายทั้งปวงสุมอยู่ในหัวใจของนาง นางไม่เคยได้ระบายมันออกมา เรื่องไข่เยี่ยวม้าจึงกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้นางอดทนไม่ไหว นางทนเฉียวซื่อไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

หลินมามาเกลี้ยกล่อม “ฮูหยิน พวกเราเพียงตั้งใจจะมาดูว่านางเป็นคนเดียวกับคนที่สวี่ซื่อเจี๋ยกล่าวถึงหรือไม่ แต่ไม่ได้จะมาหาเรื่องนาง นางให้กำเนิดลูกของยิ่นอ๋อง หากเราเป็นอริกับนางจะไม่มีผลดีนะเจ้าคะ”

[1] ผีจิ่ว เบียร์ในภาษาจีน