ตอนที่ 303 ดอกท้อเน่า
ตอนที่ 303 ดอกท้อเน่า
ในช่วงเช้าบูธของตงหยางยุ่งมาก ผู้คนจากฐานต่าง ๆ ล้วนมุ่งความสนใจไปที่ตัวอย่างของสัตว์เลื้อยคลาน
มีคนเสนอเงินมา 80 ล้านเหลียนปัง บวกกับผลึกนิวเคลียสอีก 100 อัน เพื่อต้องการซื้อตัวอย่างนี้ไป แต่สุดท้ายทั้งหมดก็ต้องถูกปฏิเสธด้วยรอยยิ้มของยางอิ๋ง
ล้อเล่นหรือเปล่า เพราะตอนนี้ในทางใต้มีแค่ตัวนี้ตัวเดียว และกำลังทำการวิจัยอยู่โดยที่ผลการวิจัยยังไม่ออกมา ฉะนั้นราคาของมันไม่สามารถประเมินค่าออกมาได้
ในท้ายที่สุดแม้แต่หัวหน้าสวี่ที่เป็นบุคคลสำคัญของฉางจิงก็มา
หัวหน้าสวี่ซึ่งมาพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่ง พยักหน้าหลังจากดูตัวอย่างแล้วพูดว่า
“ผู้ที่จับมันได้คือทหารจากตงหยางของพวกคุณเหรอ หากสามารถจับมันได้โดยไม่ต้องฆ่ามัน เราก็ไม่สามารถประเมินความแข็งแกร่งของพวกคุณต่ำเกินไป”
ทั้งสิงซูอวี่และยางอิ๋งรู้สึกภูมิใจเล็กน้อย “พลตรีสือ กัปตันแห่งกองทัพบุกเบิกของเราเป็นผู้จับมันได้ค่ะ ท่านน่าจะเคยได้ยินชื่อเขานะคะ”
หัวหน้าสวี่คลี่ยิ้มออกมา
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่น่าแปลกใจเลย เอ๋? เพื่อนตัวน้อย เธอก็มาดูตัวอย่างด้วยเหรอ กลัวหรือเปล่า?”
ซูเถารู้สึกอายเล็กน้อย
“ดูตอนแรกมันก็น่ากลัวอยู่นะคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะมันมีใบหน้าที่เหมือนมนุษย์”
ผู้คนรอบข้างมองซูเถาด้วยความประหลาดใจ หลายสายตามองเธออย่างสำรวจ เด็กผู้หญิงคนนี้เป็นใครมาจากไหนกัน ทำไมหัวหน้าสวี่ถึงดูสนิทกับเธอจัง
เจียงจิ่นเวยซึ่งไม่ได้ไปไหนไกลก็สังเกตเห็นเช่นกัน เธอเพิ่งได้ยินจากคนรอบข้างว่าชายคนนั้นคือหัวหน้าสวี่จากฉางจิง ทั้งยังได้ยินเอ่อร์เฉิงพูดถึงโดยบังเอิญว่าหัวหน้าสวี่เป็นกุญแจสำคัญในการประเมินซินตู เขาเป็นผู้พิจารณาเรื่องนี้
กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้แต่จั๋วเอ่อร์เฉิงก็ควรจะสุภาพและปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพ
ซูเถาไปรู้จักคนระดับนี้ได้อย่างไร?
เจียงจิ่นเวยขมวดคิ้ว แต่ไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าเพราะกลัวมีคนหาว่าเธอสอดรู้ ดังนั้นจึงได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในฝูงชน และทำได้แต่ค่อยแอบมอง
สวี่ฉางปฏิบัติต่อซูเถาเหมือนลูกสาวไม่มีผิด และท่าทางของเขาก็ดูใจดีและอ่อนโยนมาก
สายตาของเขาจับจ้องไปที่สร้อยข้อมือของซูเถา และดูเหมือนว่าเขาจะมองทะลุทุกสิ่ง
“ตอนนี้เธอไม่ต้องกลัวแล้วสินะ ดีแล้ว คนที่ให้สิ่งนี้แก่เธอคงตั้งใจมาก”
ซูเถาตกตะลึง สมกับที่เขาเป็นได้เป็นบุคคลสำคัญจริง ๆ ดวงตาของเขาช่างร้ายกาจ เธอสังเกตเห็นได้
เธอเชื่อฟังคำพูดของเขา และต้องการนำเครื่องดื่มไปให้เขา แต่เขากลับโบกมือปฏิเสธ
“ทุกคนไปหาอะไรกินที่ชั้น 1 กัน แล้วก็ไม่ต้องมีคนตามฉันมานะ อยากทำอะไรก็ไปทำเถอะ”
ทุกคนยิ้มและกล่าวคำอำลา จากนั้นก็ลงไปข้างล่างเพื่อทานอาหารกัน
มีไฮไลท์อีกอย่างของการประชุมสุดยอดพันธมิตร คือมีอาหารกลางวันฟรี
ร้านอาหารที่ชั้น 1 ค่อนข้างคล้ายกับบุฟเฟ่ต์โรงแรม ตราบใดที่เป็นผู้เข้าร่วมการประชุมก็สามารถเข้ามารับประทานได้ฟรี
ในยุควันสิ้นโลกที่เสบียงขาดแคลน ฐานซินตูต้องลงทุนไปจำนวนมากเพื่อทำเช่นนี้ ไม่สามารถเข้มงวดกับผู้ที่เข้าร่วมการประชุมได้ แม้กลัวว่าจะมีคนแอบแฝงเข้ามากินอาหารก็ตาม
ซูเถาคิดว่าตนเองจะสามารถกินอาหารอร่อย ๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เมื่อเดินไปรอบ ๆ ก็ต้องพบว่าอาหารที่เสิร์ฟมากกว่าครึ่งนั้นผลิตโดยเถาหยาง
เพียงแต่ส่วนใหญ่ผ่านกระบวนการดัดแปลงมาแล้ว เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแกะกล่องแล้วทำเป็นบะหมี่ผัดแบบต่าง ๆ ขนมปังผ่าครึ่ง ขนมหวานที่นำมาคละกัน และนำองค์ประกอบของอาหารเช้ามาแบ่งเป็นนม ขนมปังกรอบ ซาลาเปา ฯลฯ เป็นต้น มาจัดวางไว้ต่างหาก
ซูเถาตกตะลึง
เธอหันศีรษะไปถามหลินฟางจือว่า “เราเคยขายเสบียงให้กับซินตูด้วยเหรอ?”
หลินฟางจือส่ายหัวอย่างเด็ดขาด “ไม่เคย”
เข้าใจแล้ว ซินตูซื้อในนามของคนอื่น
ทางซินตูนั้นหน้าบางและไม่ยอมปรากฏตัวเมื่อซื้อเสบียง
ในขณะเดียวกันฉู่หมิงก็ปรากฏตัวพร้อมกับจานที่ไม่รู้ไปหยิบมาจากตรงไหน และพูดจาเหยียดหยามใส่เธอ
“ไม่เคยเห็นของกินพวกนี้สินะ ดูให้หนำใจล่ะ”
ในสายตาของฉู่หมิงการแสดงออกที่ตกตะลึงของซูเถาในตอนนี้เหมือนกับว่าเธอไม่เคยเห็นโลกมาก่อน
คนจากชนบทก็แบบนี้แหละ
เหลยสิงบ้าหรือเปล่า ผู้หญิงที่เขาชอบนั้นเชยขนาดนี้เชียวเหรอ?
ฉู่หมิงคิดว่าเธอก็มีรสนิยมในการเลือกผู้ชายอยู่พอสมควร แต่ทำไมเหลยสิงคนที่เธอหมายปองถึงได้ตาต่ำแบบนั้น
ซูเถามองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า และท่าทางที่รังเกียจเกือบทำให้ฉู่หมิงโวยวายออกมา
ก่อนที่เธอจะโต้ตอบ ซูเถาก็ชี้ไปที่อาหารในจานของอีกฝ่ายแล้วพูดว่า
“นี่คือซาลาเปาผักจี้ไฉ่ รสชาติดีแต่มันไปหน่อย ดังนั้นคนที่ไม่ค่อยมีไขมันในช่องท้องน่าจะชอบกิน”
“แล้วก็หนังไส้กรอกนี้ค่อนข้างแข็งไปหน่อย แต่ถ้าเทียบกับขนมปังแล้วมันแข็งยิ่งกว่า แน่นอนว่าพวกคุณที่ไม่เคยกินมันจะต้องไม่ชอบอย่างแน่นอน เพราะมันช่วยบริหารกล้ามเนื้อในการเคี้ยว ทำให้คุณปวดกรามได้เลยล่ะ”
“ข้าวผัดนี่ก็อีก เดิมทีเป็นอาหารชุดที่มีข้าวสวย ไข่คนกับมะเขือเทศ และเนื้อหมูสันนอก แต่เชฟผู้วิเศษแห่งซินตูนำลงกระทะใบใหญ่แล้วคลุกเคล้าเข้าด้วยกันเหมือนอาหารหมู แต่เห็นคุณตักมาซะเยอะ สงสัยน่าจะชอบ”
ทุกครั้งที่เธอพูดอะไร ใบหน้าของฉู่หมิงก็เปลี่ยนเป็นสีเข้มราวกับกำลังโกรธจัด
เจียวชิ่งหัวเราะออกมา
“สาวน้อยคนนี้ช่างพูดจริง ๆ นายหญิงฉู่ บางทีกัปตันเหลยอาจเคยพาเธอไปกินของพวกนี้มาแล้ว อย่าถือสาเรื่องนี้จะดีกว่า”
ใบหน้าของฉู่หมิงไม่พอใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ซูเถามองไปที่เจียวชิ่ง “ขอโทษนะคะ ฉันขอแก้ข่าว ฉันเป็นคนพาเหลยสิงไปกินค่ะ ไม่ใช่เขาพาฉันไปกิน”
หลังจากพูดจบ เธอก็ไม่สนใจการแสดงออกของเจียวชิ่ง เธอหันหน้ามาและพูดกับฉู่หมิงต่อ
“ฉันไม่ได้คิดกับเหลยสิงเกินกว่าคำว่าเพื่อน ฉันจะไม่ห้ามคุณไม่ให้ชอบเขา แต่อย่ามาหาเรื่องให้ฉันจะดีกว่า ยิ่งกว่านั้น พูดตามตรง คุณเป็นคนตรงไปตรงมา เอาแต่ใจ และไม่มีเหตุผล ถ้าคุณยังเป็นแบบนี้มีแต่จะผลักให้เหลยสิงถอยห่างออกไปไกลยิ่งขึ้น”
“เธอ…”
“ฉันขอตัวไปกินข้าว เชิญพวกคุณตามสบาย!”
ซูเถาหันหลังกลับและจากไป
เหลยสิงไปชอบดอกท้อเน่าแบบนี้ได้ยังไง แล้วใครขอให้เธอมาทำตัวเป็นแม่สื่อแม่ชักกัน
ถ้าเหลยสิงไปคลุกคลีอยู่กับคนประเภทนี้ ก็ถือว่าเขาทำตัวเอง
ฉู่หมิงโตขนาดนี้แล้ว นอกจากผู้ใหญ่ในครอบครัว ก็ไม่เคยมีใครมาชี้หน้าสอนเธอในที่สาธารณะแบบนี้
เธอโกรธมากจนพ่นลมหายใจฟึดฟัดและกำหมัดแน่น เติ้งจื่อฉิงวิ่งมาแต่ไกล และรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงรีบดับไฟให้
“นายหญิงฉู่! ที่นี่คือซินตู อย่าไปมีเรื่องกับผู้หญิงคนนั้นเลย ถ้าไปทำร้ายผู้หญิงคนนั้นเข้า ถือว่าเราได้ตกหลุมพรางเข้าให้แล้ว แล้วถ้าอาฉู่รู้เขา เขาต้องอบรมสั่งสอนเธออีกครั้งแน่”
ฉู่หมิงถูกดึงสติกลับมาด้วยคำพูดของเธอ
แต่เมื่อมองไปที่ซูเถา เธอก็ยังอยากจะจัดการให้ได้
เธอกัดฟันพูดสองสามคำ “ฝากไว้ก่อนเถอะ ฉันจะทำให้เธอคุกเข่าลงและร้องขอความเมตตาอย่างแน่นอน”
เมื่อทั้งสามคนนั่งลง ฉู่หมิงก็ยังคงมีอารมณ์ที่คุกรุ่น
“ผู้หญิงคนนั้นต้องแสร้งทำเป็นหญิงสาวผู้อ่อนโยนต่อหน้าเหลยสิงแน่ ตอนนี้คือใบหน้าที่แท้จริงของเธอ ผู้ชายเป็นเพศที่ตาบอด”
เติ้งจื่อฉิงคิดกับตัวเอง ความสามารถในการแสร้งทำเป็นหญิงสาวผู้อ่อนโยนก็เป็นทักษะเช่นกัน แต่ว่านายหญิงฉู่ยังทำไม่ได้
เจียวชิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ “ทำไมเด็กหญิงตัวเล็กนั้นถึงมีความกล้าหาญนัก เธอไม่ได้เกรงกลัวพวกเธอทั้งสองคนเลย เธอต้องมีคนหนุนหลังแน่ ๆ”
ฉู่หมิงพูดด้วยความโกรธ “เธอแค่ไม่รู้จักเรา ดังนั้นเธอจึงไม่กลัว! ลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือหรอก แต่ไม่ช้าก็เร็ว เธอจะต้องรู้ว่าอะไรเป็นอะไร!”
เจียวชิ่งคิดถูกแล้ว เป็นเพราะพวกเธอไม่ได้แนะนำตัวเอง
“พรุ่งนี้ ฉิงฉิง ฉันจะลงมือพรุ่งนี้อย่างช้าที่สุด ฉันทนดูเธอไม่พอใจแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว!”
เติ้งจื่อฉิงนึกถึงชายที่ไม่ธรรมดาคนนั้นที่อยู่กับซูเถา และสัมผัสที่หกของเธอบอกว่าไม่ควรยุ่งกับซูเถา
แต่การตายของพ่อเธอมีสาเหตุโดยตรงมาจากซูเถาและชายคนนั้น พวกเขาเป็นคนที่ปฏิเสธที่จะช่วยพ่อของเธอ ดังนั้นเธอจะต้องได้รับการชำระแค้นครั้งนี้
เป็นโอกาสที่ดีที่จะสอนบทเรียนให้ซูเถาด้วยการช่วยเหลือจากคนโง่อย่างฉู่หมิง
เติ้งจื่อฉิงตัดสินใจแล้ว
“ตกลง แต่อย่างที่เธอรู้ เอ่อร์เฉิงไม่ชอบให้ฉันมีส่วนร่วมในเรื่องพวกนี้ ฉันแค่เสนอความคิด ส่วนการลงมือนั้นขึ้นอยู่กับเธอและนายหญิงฉู่เป็นคนจัดการ”