บทที่ 249 ขโมยเงิน

บทที่ 249 ขโมยเงิน

จากนั้นหลี่ซื่อก็เดินออกไปพลางสบถออกมา ฉินเย่จือเรียกกู้เสี่ยวหวานและโบกมือให้นางเดินตามมา

หลี่ซื่อเดินกะเผลกไปตามถนน แต่วันนี้เขาต้องถอยไปก่อนเพราะได้รับบาดเจ็บสาหัส จากนั้นหลี่ซื่อจึงเดินกลับบ้าน

การออกมาในวันนี้ไม่ได้อะไรเลย เมื่อหลี่ซื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ไม่สบายใจ และเมื่อเห็นว่าฝูงชนที่อยู่ข้างหน้าเขากำลังทำอะไรบางอย่าง หลี่ซื่อจึงเดินโซซัดโซเซเข้าไปดู ปรากฏว่ามีการขายข้าวเก่าในร้านขายของชำราคาถูก คนหลายคนถือถุง อ่างหรือถังเพื่อรอซื้อข้าว

มีคนจากที่ว่าการอำเภอคอยรักษาความสงบเรียบร้อย ข้าวที่วางไว้ที่นี่เป็นข้าวเก่าทั้งหมดซึ่งมีอายุประมาณสองถึงสามปีแล้ว

ฉินเย่จือรู้เรื่องนี้ดี ในทุก ๆ ปี ราชสำนักจะเก็บข้าวจากผู้คนมาไว้ในยุ้งฉาง เหตุเพราะเกรงว่าถ้าเกิดการขาดแคลนอาหาร ประชาชนจะไม่มีอะไรกิน จึงต้องเตรียมการล่วงหน้าเพื่ออำนวยความสะดวกในการบรรเทาความอดอยากของประชาชน

ทุกครั้งจะเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางเป็นเวลาสองถึงสามปี และเมื่อเวลาผ่านไป ข้าวใหม่กำลังจะออกสู่ตลาด ข้าวเก่าก็จะถูกนำมาขายในราคาถูก

ตอนแรกที่กู้เสี่ยวหวานเห็นคนจำนวนมากรวมตัวกันเพื่อซื้อข้าว นางไม่เข้าใจ แต่หลังจากฟังคำอธิบายของฉินเย่จือก็เข้าใจชัดเจนในทันที

จะเห็นได้ว่าการกักตุนข้าวนี้เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย เพียงเพราะเขากลัวการขาดแคลนอาหารในปีที่เกิดภัยพิบัติ หลังจากคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร สายตาจับจ้องไปที่หลี่ซื่อและไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ในฝูงชน

“ดูหลี่ซื่อนั่นสิ เขาคงกำลังพยายามทำสิ่งที่ไม่ดี” ฉินเย่จือชี้ไปที่หลี่ซื่อและกระซิบ

กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า ไม่รู้ว่าหลี่ซื่อผู้นั้นเข้าไปทำอะไรและไม่นานก็เดินออกมา เขามองไปที่ฝูงชนที่แออัดและยิ้มอย่างพึงใจ เมื่อเห็นเขาออกมา กู้เสี่ยวหวานและฉินเย่จือก็เดินตามไปอย่างรวดเร็วเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าชายผู้นั้นเข้าไปทำอะไรอยู่ข้างในนั้นกันแน่

หลังจากเดินมาไกลแล้วก็ได้ยินเสียงหญิงสาวคนหนึ่งตะโกนเสียงดังว่า “ไอหยา เงินของข้าล่ะ? เงินของข้าหายไปไหนแล้ว…” นางค้นไปทั่วร่างกาย สำรวจบริเวณโดยรอบ จากนั้นจึงร้องไห้ออกมาเสียงดัง “ผู้ใดมาขโมยกัน นั่นเป็นเงินช่วยเหลือของครอบครัวข้า! ลูกของข้าไม่ได้กินข้าวมาหลายวันแล้ว ข้าเพิ่งเอากำไลที่เป็นสินสอดทองหมั้นไปแลกเป็นเงินมาก็ถูกขโมยไปเสียแล้ว โอ้สวรรค์!”

นางร้องไห้อย่างไม่อาย แน่นอนว่ากู้เสี่ยวหวานไม่ได้ยินเพราะพวกเขาอยู่ไกล แต่การได้ยินของฉินเย่จือนั้นดีมาก ดังนั้นเขาจึงได้ยินเสียงร้องไห้ของหญิงผู้นั้นโดยธรรมชาติ เขามองไปที่หลี่ซื่อที่เดินไปข้างหน้าด้วยแววตาดุร้าย

หลี่ซื่อแตะถุงเงินในอ้อมแขน คาดว่าคงมีเงินอยู่ในนี้สองถึงสามตำลึงเงิน ในตอนเช้าที่เขาเพิ่งจะออกมาเขาก็ถูกอันธพาลท้องถิ่นขัดขวางไว้ทำให้วันนี้เขาไม่มีรายได้ ด้วยเงินไม่กี่ตำลึงเงินนี้ก็คงจะทำให้เขาอยู่ได้อีกสองสามวัน อาการบาดเจ็บที่ร่างกายนี้ต้องการการพักผ่อนที่ดี ช่วงนี้เขาต้องอยู่บ้าน ไม่ออกไปไหนเพื่อรอจนกว่าอาการบาดเจ็บจะหายดี

เมื่อคิดเช่นนั้นหลี่ซื่อก็มาถึงประตูบ้าน ปลดกลอนประตู ขณะที่เขากำลังจะผลักประตูเข้าไป มีแรงกระแทกมาจากทางด้านหลังของเขา หลี่ซื่ออุทานด้วยความตกใจ และด้วยการยืนที่ไม่มั่นคงก็ทำให้ล้มเข้าไปข้างใน ร่างกระแทกลงกับพื้น กระดูกทั่วร่างกายก็ราวกับจะแตกเป็นชิ้น ๆ

หลี่ซื่อโอดครวญอย่างเจ็บปวด

“บ้าเอ๊ย นั่นใคร!” หลี่ซื่อร้องด้วยความเจ็บปวด ลุกขึ้นและตะโกนใส่ “ไอ้ลูกหมา เจ้าไม่มีตาหรืออย่างไร!” เมื่อเขากำลังจะคลุ้มคลั่ง เขาเห็นฉินเย่จือถือไม้ไผ่ปลายแหลมชี้ไปทางตนเอง ห่างจากคอของเขาไม่ไกล และขู่ว่า “หุบปากเน่า ๆ ของเจ้าซะ”

เมื่อหลี่ซื่อเห็นว่าปลายแหลมของไม้ไผ่จ่ออยู่ที่คอ เขาก็ตื่นตระหนก ครั้นมองดูปลายไผ่ที่แหลมคม ถ้าคนผู้นี้แทงเข้ามาอีกสักหน่อย ในวันนี้เขาคงชะตาขาด จึงได้แต่ร้องคร่ำครวญ “ไว้ชีวิตข้า ไว้ชีวิตข้าเถอะ”

ฉินเย่จือยืนอยู่ข้างหน้าของหลี่ซื่อ เนื่องจากความสูงของเขา หลี่ซื่อจึงต้องเงยหน้ามองเพื่อให้เห็นได้ชัดเจน เขาเห็นชายหนุ่มรูปงามราวกับพระเจ้ากำลังจ้องมองเขาด้วยความโกรธ หลี่ซื่อขุดสมองของเขาและพยายามคิด ตนเองไม่รู้จักคนผู้นี้เลย ยิ่งไปกว่านั้นรูปลักษณ์ของคนผู้นี้ดูไม่ธรรมดา ถึงแม้เสื้อผ้าบนตัวของเขาจะโทรม แต่ก็เป็นผ้าคุณภาพสูง

ในขณะนี้ มือซ้ายของเขาไพล่หลัง และมือขวาถือไม้ไผ่โดยหันปลายเข้าหาเขา ท่าทางเหล่านี้ทำให้หลี่ซื่อไม่กล้ามองตรงไปที่เขา หลี่ซื่อไม่กล้ายุ่งกับคนเช่นนี้สักเท่าไร คนเช่นนี้จะเป็นผู้มีความสามารถหรือเป็นนายน้อยจากบ้านที่ร่ำรวย เขาไม่อาจทำอะไรคนเหล่านี้ได้จึงรีบอ้อนวอนขอความเมตตาพลางยิ้ม “นายท่าน ข้าไม่รู้จักท่านเลย ท่านจำคนผิดหรือไม่?”

ฉินเย่จือเหลือบมองไปที่ใบหน้าของชายผู้นี้ และรู้สึกรังเกียจเล็กน้อย

รูปลักษณ์ของคนผู้นี้ดูงดงามเสียจริง ถ้าเขาไม่มีเจตนาร้ายเช่นนี้ รูปลักษณ์เพียงอย่างเดียวสามารถหลอกลวงผู้คนได้

“อย่าพูดเหลวไหล รีบเอาเงินที่เจ้าเพิ่งขโมยออกมาให้ข้า” ปลายไม้ไผ่ของฉินเย่จือเคลื่อนไปข้างหน้าอีกนิด ทำให้หลี่ซื่อหวาดกลัวมากขึ้นไปอีก

เมื่อได้ยินคำพูดของฉินเย่จือ สีหน้าของหลี่ซื่อก็เปลี่ยนไป และเขาคิดว่าเขาได้พบกับคนพวกเดียวกัน จึงกลับมาเป็นปกติในทันทีโดยแสร้งทำเป็นไร้เดียงสาและกล่าวว่า “นายท่าน ข้าไม่รู้ว่าท่านหมายถึงอะไร ข้าเป็นคนซื่อสัตย์ ท่านไม่ควรมาดูหมิ่นข้า”

เงินในอ้อมแขนของเขายังคงร้อนอยู่ และเสียดายที่จะให้เงินไป ดังนั้นจึงปฏิเสธที่จะยอมรับมัน

กู้เสี่ยวหวานที่เพิ่งตามมา เมื่อนางได้ยินคำพูดของฉินเย่จือ ก็เข้าใจความหมายที่หลี่ซื่อแอบเข้าไปในฝูงชนเมื่อสักครู่นี้ คนผู้นี้คงเขาไปขโมยเงินมา

“อย่างไร? เงินหรือชีวิตสำคัญกว่ากัน?” ฉินเย่จือคร้านจะคุยเรื่องไร้สาระกับอีกฝ่าย คนผู้นี้คงจะปฏิเสธแม้ต้องแลกด้วยชีวิต ดังนั้นจึงต้องทำให้เขาหวาดกลัวเพื่อสารภาพผิด

ปลายไม้ไผ่ของฉินเย่จือขยับไปข้างหน้าอีกครั้งและแทงไปที่ลูกกระเดือกของหลี่ซื่อพอดี เมื่อรู้สึกว่าปลายถูกแทงมาที่คอ แม้กระทั่งลมหายใจของเขาก็แข็งค้าง หลี่ซื่อหวาดกลัวจนตัวสั่นและมองดูฉินเย่จืออีกครั้ง ใบหน้าราวกับพระเจ้า แต่กลับมีแววตาเย็นชา จิตสังหารที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของฉินเย่จือทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง!

หลี่ซื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายจิตสังหารของฉินเย่จือ ใบหน้าของเขาจึงปรากฏให้เห็นถึงความตื่นตระหนกขึ้นมาทันที และรัศมีแห่งความตายอันแข็งแกร่งกำลังโอบล้อมเขาไว้

คนผู้นี้แข็งแกร่งกว่าอันธพาลท้องถิ่นพวกนั้นมาก