ตอนที่ 279 คุณชายสามรับสมัครคน

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 279 คุณชายสามรับสมัครคน

ฉินเหมียนกลับทำราวกับชมละครฉากหนึ่งอยู่ก็มิปาน แย้มยิ้มเดินกลับมาจากหน้าต่าง นั่งลงด้านหน้าโต๊ะ ถามด้วยรอยยิ้ม “นายหญิง ท่านทดสอบเขาเช่นนี้ เพราะคิดว่าเขามีปัญหาหรือเจ้าคะ?”

ซูจ้าวเอ่ยอย่างเฉยชา “เพียงรู้สึกว่าคนผู้นี้ค่อนข้างเสแสร้ง พูดจาทำนองว่าไม่แบ่งแยกสูงต่ำจนรวย บุรุษที่เดินเข้าๆ ออกๆ ในเรือนเมฆาขาว มีใครบ้างที่ไม่ได้เดินเข้ามาในสภาพเรียบร้อยดูดี แต่พอเข้ามากลับกลายเป็นสัตว์เดรัจฉาน ข้าเพียงอยากให้เขาเผยตัวตนออกมา อยากเห็นว่าเขาเป็นคนสับปลับที่ต่อหน้าเป็นอีกอย่างลับหลังเป็นอีกอย่างหรือไม่เท่านั้น”

ฉินเหมียนเงียบไป เอ่ยด้วยความลังเล “นายหญิง ข้าคิดว่าคนผู้นี้อาจจะค่อนข้างแตกต่างออกไปจริงๆ เจ้าค่ะ เหตุการณ์เมื่อครู่นี้ไม่คล้ายจะเป็นการเสแสร้ง…ไม่ใช่บุรุษทุกคนบนโลกนี้ที่จะเป็นเช่นนั้น บุรุษดีๆ ก็ยังมีอยู่ เพียงแต่น้อยนัก”

ซูจ้าวหยิบช้อนขึ้นมาตักเต้าฮวยคำเล็กๆ ส่งเข้าปาก “เรื่องที่ให้เจ้าจัดการส่งเขาไปหาความสำราญที่เรือนเมฆาขาว จัดการไปถึงไหนแล้ว?”

ฉินเหมียนยิ้มเจื่อน “ข้าอ้างกับฮูเหยียนเวยไปแล้วกว่าครั้งก่อนพวกเรามากินเต้าหู้ของที่ร้านโดยไม่จ่ายเงิน ให้ฮูเหยียนเวยพาเขาไปที่เรือนเมฆา ให้ข้าได้ทำหน้าที่เจ้าบ้านรับรองเต็มที่ แต่ฮูเหยียนเวยบอกว่าอันไท่ผิงไม่เคยไปหาความสำราญที่สถานเริงรมย์เลย ไม่จำเป็นต้องเชิญ บอกว่าเชิญเขาไปก็น่าเบื่อเปล่าๆ”

ซูจ้าวขมวดคิ้วเล็กน้อย “บนโลกนี้มีแมวที่ไม่กินปลาด้วยหรือ? หรือว่ารังเกียจสถานที่ประเภทนั้นของพวกเรา?”

ฉินเหมียนกล่าวว่า “ไม่ทราบเลยเจ้าค่ะ แต่ฮูเหยียนเวยบอกว่าเขาไม่ใช่คนที่ชอบไปแหล่งเริงรมย์ บอกว่าอันไท่ผิงเป็นคนหัวแข็ง จากข่าวที่สืบมาได้ คนผู้นี้คล้ายจะเป็นคนค่อนข้างหัวรั้นคนหนึ่งจริงๆ ได้ยินว่าเชี่ยวชาญการต่อสู้ ทว่าตอนอยู่ในกองทัพกลับไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้บังคับบัญชา หาไม่แล้วด้วยความสามารถของเขาคงมีตำแหน่งในกองทัพไปนานแล้ว ไม่ถึงกับเป็นทหารไร้ชื่อแน่เจ้าค่ะ”

“จะว่าไปแล้ว หากไม่ใช่คนหัวแข็ง เขาก็คงไม่มีทางหนีมาเรียกร้องความเป็นธรรมถึงเมืองหลวงได้ พวกขุนนางไหนเลยจะไม่ปกป้องกันเอง คนที่กล้าลักลอบส่งออกม้าศึกจะไม่มีคนหนุนหลังได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ! แต่คนผู้นี้ก็ไม่โง่เลย รู้ว่าต้องมาร้องเรียนกับฮูเหยียนอู๋เฮิ่น หากไปหาแม่ทัพคนอื่น เกรงว่าคงตายอย่างไร้หลุมฝังกลบไปแล้ว!”

ซูจ้าวละเลียดกินช้าๆ ก่อนจะเอ่ยประโยคหนี่ง “เจ้าไปหาเขา ให้เขามานี่หน่อย บอกว่าข้าต้องการพบเขา”

ฉินเหมียนไม่ทราบว่านางคิดอะไรอยู่ จึงรับคำสั่งแล้วออกไป

แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เดินกลับมาคนเดียว ยิ้มเจื่อนพลางกล่าวว่า “เขาไม่ยอมมาเจ้าค่ะ”

ซูจ้าวถาม “ไม่ได้บอกหรือว่าข้าต้องการพบเขา”

ฉินเหมียนถอนใจเอ่ยไปว่า “ข้าบอกแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าหากมีจุดไหนที่ไม่พอใจให้ไปคุยกับเสมียนผู้ดูแล หากว่าเป็นเรื่องอื่น ให้พวกเราไปหาฮูเหยียนเวยเจ้าค่ะ”

ซูจ้าวกระแทกช้อนลงในชาม “สุดท้ายก็ยังดูหมิ่นคณิกาอย่างพวกเราอยู่ดี”

ฉินเหมียนหัวเราะเฮอะๆ ตอบว่า “อาจจะใช่กระมังเจ้าคะ”

…..

ริมทะเลสาบด้านนอก หยวนเฟิงบังคับรถม้าบรรทุกสินค้าให้จอดนิ่ง หยวนกังเดินเข้าไปตรวจสอบสินค้าที่เขาขนมา

ขณะกำลังมัดเชือก หยวนเฟิงเดินเข้ามาช่วย หยวนกังกระซิบถาม “มากันเท่าไรแล้ว?”

กระทั่งคนที่อยู่ด้านหลังเดินพ้นไปแล้ว หยวนเฟิงจึงกระซิบตอบว่า “ตอนนี้มาถึงแค่สองร้อยสามสิบสามคนขอรับ”

หยวนกังกล่าวว่า “พรุ่งนี้จะเรียกใช้งานพวกเขาแล้ว เจ้าไปเตรียมการซะ”

หยวนเฟิงถาม “เหลืออีกครึ่งเดือนกว่าจะครบระยะเวลาที่กำหนดไว้ ไม่รอให้คนมาครบก่อนหรือขอรับ?”

สมาชิกในกลุ่มของพวกเขามีกันทั้งหมดสองร้อยเก้าสิบสองคน เพิ่งมาถึงสองร้อยสามสิบสามคน กล่าวก็คือ ยังมีคนอีกเกือบหกสิบคนที่ยังมาไม่ถึง แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าจะมาถึงตอนไหน

หยวนกังเอ่ยว่า “ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเต้าหู้จะขายดีขนาดนี้ ที่นี่มีแรงงานไม่เพียงพอ ประกอบกับจู่ๆ ฮูเหยียนเวยก็สอดมือเข้ามาแทรกแซงกิจการ ต้องการส่งสินค้าให้สหายเหล่านั้นของเขา ซ้ำยังต้องส่งให้ทางวังหลวงอีก ไม่อาจรออีกครึ่งเดือนได้ แผนการมีการเปลี่ยนแปลง ต้องดำเนินการก่อนกำหนด คนอื่นๆ ที่ยังมาไม่ถึงเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที! ”

“ขอรับ!” หยวนเฟิงตอบรับ

“เดี๋ยวเอาบัญชีจัดซื้อไปส่งมอบให้เสมียนเกาคำนวณซะ” หยวนกังเอ่ยทิ้งท้ายแล้วหันหลังเดินออกไป

“เข้าใจแล้วขอรับ” หยวนเฟิงหัวเราะเล็กน้อย ออกจากหมู่บ้านมานานขนาดนี้ ใช้ชีวิตอยู่ในจังหวัดชิงซานนานขนาดนั้น ได้พบคนจำพวกท่านอ๋อง ท่านหญิงอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นในด้านมุมมองหรือความคิดจิตใจก็ล้วนไม่ใช่สิ่งที่เด็กน้อยจากหมู่บ้านบนเขาในอดีตคนนั้นจะเทียบได้อีก เขาก้าวพ้นออกจากหมู่บ้านอย่างสมบูรณ์แล้ว

หยวนกังไม่ค่อยเผยตัวออกมายังหน้าร้านของร้านเต้าหู้มากนัก ขณะที่เขาเพิ่งจะเดินอ้อมผ่านไป เสมียนเกาก็วิ่งออกมารั้งตัวเขาไว้ “เถ้าแก่ ทางเราขาดแคลนคนจริงๆ ขอรับ ท่านจะรับสมัครคนงานเมื่อไรหรือขอรับ? ”

หยวนกังอยากจัดการเรื่องนี้อยู่พอดี เอ่ยถามไปว่า “เจ้าคิดว่ารับสมัครตอนไหนดี?”

เสมียนเกาเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “แน่นอนว่ายิ่งเร็วยิ่งดีขอรับ”

หยวนกังตอบว่า “ได้! อย่างนั้นวันนี้ข้าจะให้คนไปประกาศรับสมัคร เปิดรับคนพรุ่งนี้ เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”

เสมียนเการู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก พยักหน้ารับ “ดีขอรับดี!”

หยวนกังกล่าวว่า “อย่าลืมแจ้งไปยังคุณชายสาม ให้เขาเข้ามาพรุ่งนี้ด้วย”

“เอ่อ…” เสมียนเกาไม่เข้าใจ “ไม่ทราบว่าจะให้คุณชายสามมาทำไมหรือขอรับ?”

“ก็ต้องให้คุณชายสามมารับสมัครคนงานน่ะสิ!” หยวนกังเอ่ยแล้วจากเดินจากไป

“……” เสมียนเกาพูดไม่ออก ให้คุณชายสามมารับสมัครคนงาน เจ้าก็ช่างคิดออกมาได้

เขาอยากจะถามอีกฝ่ายยิ่งนัก เจ้าคิดว่าคุณชายสามใช่คนที่จะมาทำงานเช่นนี้หรือ?

แต่เขาเคยชินกับนิสัยของคนผู้นี้แล้ว ไม่ชอบพูดไร้สาระ พูดคำไหนคำนั้น มอบหมายเรื่องราวให้เจ้าแล้ว เจ้าไปปฏิบัติตามเสียก็พอ ไม่สามารถต่อรองอันใดได้เลย มิเช่นนั้นหากอีกฝ่ายไปบอกให้คุณชายสามเปลี่ยนคน ประเดี๋ยวคุณชายสามต้องมาเตะเขาอีกหลายทีแน่

……

ร้านเต้าหู้ริมทะเลสาบพราวแสงที่อยู่ทางตอนใต้ของเมืองเปิดรับสมัครคนงาน จ่ายค่าจ้างเดือนละครั้ง เดือนละห้าร้อยเหรียญทองแดง รวมอาหารและที่พัก ต้องการคนขยันทนงานหนักได้

พอข่าวแพร่ออกไป ก่อให้เกิดกระแสฮือฮาขึ้นมา

ค่าจ้างไม่นับว่าสูง แต่ก็ไม่นับว่าต่ำ ประเด็นคือรวมอาหารและที่พัก หากนับเงื่อนไขนี้เข้าไปด้วยล่ะก็ เช่นนั้นก็นับว่าสวัสดิการไม่เลวเลยจริงๆ ค่าแรงที่ได้นับว่าเพียงพอให้นำกลับไปจุนเจือครอบครัวได้

เนื่องด้วยเหตุนี้ เช้าวันรุ่งขึ้น บนพื้นที่โล่งริมทะเลสาบพราวแสงจึงมีคนแออัดเนืองแน่นอยู่ที่นั่น ในประกาศบอกว่าจะรับสมัครสามร้อยคน แต่ตอนนี้มีอย่างน้อยสามพันคนแล้ว ดูจากรูปการณ์แล้วน่าจะมีคนหลั่งไหลมากันอย่างต่อเนื่อง แน่นขนัดเต็มพื้นที่จนเรียกได้ว่าแทรกผ่านไปไม่ได้ ทั้งยังมีสตรีวัยกลางคนอีกไม่น้อยที่ชะเง้อรอคอย ท่าทางคล้ายกำลังหวังว่าจะได้รับเลือก

“นี่เสมียนเกา ที่นี่คือเมืองหลวง พวกท่านก่อความวุ่นวายใหญ่โตเช่นนี้ขึ้น อย่าได้สร้างปัญหาขึ้นล่ะ มิเช่นนั้นข้าคงรับผิดชอบไม่ไหว!”

ในพื้นที่รับสมัคร ทางการส่งเจ้าหน้าที่จำนวนไม่น้อยมาจับตามอง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งมาเอ่ยเตือนเสมียนเกาซ้ำไปซ้ำมา กังวลว่าจะเกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ

หากมิใช่เพราะทราบว่านี่คือกิจกรรมที่คุณชายสามของตระกูลฮูเหยียนจัดขึ้น เกรงว่าพวกเขาคงไม่พูดจาดีเช่นนี้

เสมียนเกาก็มีสีหน้าหนักใจอย่างมากเช่นกัน เถ้าแก่ไม่เคยปรึกษาเรื่องนี้กับเขาเลย ค่าแรงห้าร้อยเหรียญทองแดงต่อเดือนอะไรกัน ยังจะรวมอาหารที่พักอันใดอีก จะเสียเงินเปล่าๆ เช่นนี้ไปทำไม? แต่เถ้าแก่บอกจะทำก็ทำเลย เขาก็เห็นจากประกาศถึงได้ทราบ แล้วดูตอนนี้สิ มีคนแห่กันมามากมายขนาดนี้ กลัวว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นจริงๆ!

เมื่อเรื่องเกิดขึ้นไปแล้ว เขาต้องช่วยตามล้างตามเช็ด หยิบเหรียญทองออกมาสองเหรียญ ดึงมือของเจ้าหน้าที่คนนั้นมาแล้วยัดใส่เข้าไปในมืออีกฝ่ายอย่างเงียบๆ “รบกวนด้วย ช่วยดูแลหน่อยนะ!”

เจ้าหน้าที่ไม่มองสิ่งที่อยู่ในมือเลย ลองชั่งน้ำหนักสองเหรียญดูก็รู้มูลค่าในใจแล้ว ดวงตาพลันเปล่งประกาย โบกมือร้องสั่งลูกน้อง “คอยดูให้ดี! อย่าให้เบียดดันกัน!”

เสมียนเกาคิดจะออกไปตามเส้นทางเดิม แต่ไม่สามารถออกจากสถานที่แห่งนี้ได้เลย ทำได้เพียงกระโดดขึ้นเรือลำหนึ่งในทะเลสาบ ให้นายท้ายเรือพายออกไปให้พ้นระยะ จากนั้นก็จ่ายเงินให้สองสามเหรียญทองแดงแล้วกระโดดขึ้นฝั่ง กลับไปที่ร้านเต้าหู้

หลังจากมาถึงภายในเรือนด้านหลังของร้านเต้าหู้ เห็นหยวนกังยังคงแบกหินใหญ่สองก้อนทำท่านั่งม้าอยู่ พลันกล่าวอย่างร้อนใจ “เถ้าแก่ ทางฝั่งตะวันตกมีคนมารวมตัวกันจนแทบจะเอามาก่อกบฏได้แล้วนะขอรับ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ ท่านยังมีแก่ใจมาฝึกวรยุทธ์อยู่ที่นี่อีกหรือขอรับ?”

หยวนกังไม่หือไม่อือ ถามเพียงว่า “คุณชายสามมาหรือยัง?”

เสมียนเกากล่าวว่า “ยังไม่มาขอรับ แต่ท่านต้องไปคุมสถานการณ์ตรงนั้นแล้วนะขอรับ!”

หยวนกังถาม “เขาบอกหรือไม่ว่าจะมา?”

เสมียนเกาเงยหน้ามองดวงตะวันที่ลอยสูงขึ้นมาแล้ว คุณชายสามท่านนั้นไม่ตรงต่อเวลาเลย จึงถอนหายใจเอ่ยไปว่า “เขาบอกว่าไม่อยากมา แต่ว่าท่านหมัดหนักนัก ถึงไม่อยากมาก็ต้องมา แต่ประเมินจากสถานการณ์แล้ว ยังไม่ทราบเลยว่าเขาจะมาถึงเมื่อไรขอรับ”

เขาพอจะมองออกแล้ว แต่ละคนไม่มีใครกังวลว่าจะเกิดเรื่องเลย มีเพียงเขาที่กังวลเป็นที่สุด

จะไม่กังวลก็คงไม่ได้ หากเกิดเรื่องใดขึ้นมาจริงๆ คุณชายสามไม่มีทางมีปัญหาอะไร แล้วก็ไม่มีทางปล่อยให้เถ้าแก่คนนี้เป็นอะไร ย่อมต้องเป็นเสมียนอย่างเขาที่ออกไปรับหน้าให้แน่นอน

ขณะที่ทางนี้พูดคุยกันอยู่ ในตรอกด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าม้าแว่วมา ดวงตาเสมียนเกาพลันเปล่งประกาย “น่าจะมาแล้วขอรับ” จากนั้นหันหลังวิ่งออกไป

แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ฮูเหยียนเวยเดินอาดๆ เข้ามา พอเห็นหยวนกังที่อยู่ในท่านั่งม้า สองแขนซ้ายขวาโอบหินก้อนใหญ่ไว้ข้างละก้อน เขาก็นึกถึงเหตุการณ์ที่คนผู้นี้ชกม้าของตนตายในหมัดเดียว คำพูดต่อว่าที่ขึ้นมาอยู่ตรงปากถูกกลืนกลับลงไปอีกครั้ง

ช่วยไม่ได้ คนผู้นี้เป็นคนหัวแข็งอย่างแท้จริง หากไปยั่วโมโหเข้าจริงๆ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำออกมาได้ มาจากตระกูลที่มีอิทธิพลและอำนาจแล้วอย่างไรเล่า เป็นบุตรชายแม่ทัพใหญ่แล้วคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่กล้าทุบตีเจ้าอย่างนั้นหรือ? อีกทั้งใช่ว่าจะไม่เคยทุบตีมาก่อน อีกฝ่ายถึงขนาดกล้าลักพาตัวบุตรชายของแม่ทัพใหญ่มาแล้วด้วยซ้ำ!

จอมเสเพลอย่างเขา กลัวที่ต้องเผชิญหน้ากับคนป่าเถื่อนเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นคือคนผู้นี้ยังได้รับความชื่นชมจากท่านพ่อของเขาด้วย ทำให้เขาไม่รู้จะทำอย่างไรจริงๆ!

เขาได้แต่ยิ้มเจื่อนแล้วเอ่ยไปว่า “อันซยง ข้าว่าข้าไม่เข้าใจเรื่องรับสมัครคนเลย เจ้าจะให้ข้าไปรับสมัครผู้ใดมากัน เจ้าไปทำแทนมันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

ตุบ! ตุบ! หินใหญ่สองก้อนไถลลงมาจากแขนทั้งสองข้างของหยวนกัง ไหลหล่นลงบนพื้น ก่อให้เสียงกระแทกสองเสียงขึ้นมาจากบนพื้น

“ฟู่ว!” หยวนกังพรูลมหายใจออกมาแล้วลุกขึ้นยืน “คุณชายสาม เสมียนเกาบอกว่าหากท่านยังไม่ไปอีกจะเกิดเรื่องขึ้นแล้ว”

เสมียนเกาพูดไม่ออก ข้าพูดเช่นนี้หรือ? แต่พอย้อนคิดดู ดูเหมือนความหมายจะไม่ต่างไปจากประโยคนี้สักเท่าไร

ฮูเหยียนเวยเบิกตากว้าง “เกิดอะไรขึ้น? มีคนกล้ามาก่อกวนอย่างนั้นหรือ?”

หยวนกังเอ่ยว่า “ตอนนี้ยังไม่มี แต่หากรอต่อไปอีกก็ไม่รู้เช่นกัน”

“ข้าก็อยากเห็นนักว่าจะมีผู้ใดที่ใจกล้าถึงเพียงนั้น ไป ไปดูกัน!” ฮูเหยียนเวยฮึกเหิมขึ้นมาประหนึ่งไก่ชน ระเบิดราศีของคุณชายร่ำรวยเสเพลออกมาทันที

เขาออกไปเรียกรวมคน ให้เสมียนเกานำทางล่วงหน้าไป ส่วนตนก็พาผู้ติดตามอีกสิบกว่าคนควบอาชาสูงใหญ่ตามไป

พอไปถึงสถานที่รับสมัคร ฮูเหยียนเวยกระตุกบังเหียน ค่อนข้างตกใจ คาดว่าที่นี่คงมีคนไม่ต่ำกว่าหมื่นคนกระมัง แค่ถ่มน้ำลายออกมาคนละคำก็ทำให้เขาจมน้ำลายตายได้แล้ว พอถูกคนมากมายขนาดนี้ชี้ไม้ชี้มือใส่ ท่าทางเย่อหยิ่งจองหองของเขาพลันอ่อนลง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครากระตุกเล็กน้อย

“นี่มันอะไรกัน?” ฮูเหยียนเวยถามเสมียนเกาดู พอทราบว่าล้วนมาเพื่อสมัครเป็นคนงาน เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะก่อนหน้านี้ได้ยินคำพูดหยวนกัง จึงหลงนึกคนมากขนาดนี้ล้วนมาเพื่อหาเรื่องในถิ่นของเขา ทำให้เขาตกใจ

หยวนกังเดินอาดๆ เข้ามาอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน ฮูเหยียนเวยที่ลงจากหลังม้ารีบดึงเขาไว้ “ทำไมถึงวุ่นวายขนาดนี้ล่ะเนี่ย? ในเมืองหลวงมีทั้งคนดีคนชั่วปะปนกัน มารวมตัวกันมากขนาดนี้ หากว่าถูกผู้ไม่หวังดีเข้ามาปลุกปั่น จะเกิดเรื่องขึ้นง่ายๆ เอานะ”

ถึงแม้จะบอกว่าเป็นคุณชายร่ำรวยเสเพล แต่เมื่อถือกำเนิดในตระกูลระดับนี้ เรื่องบางเรื่องย่อมต้องแยกแยะได้ว่าอะไรควรไม่ควร ไม่ได้สับสนเลอะเลือน

………………………………………………………………