บทที่ 279 ช่วยเหลือ

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 279 ช่วยเหลือ

“จางเจ๋อ คุณกำลังทำอะไรอยู่?อะไรคือฉันเท่านั้นที่จะช่วยคุณได้ คุณช่วยอธิบายให้ชัดเจนได้ไหม?” หลู่เยว่เยว่ยืนอยู่ที่หน้าประตูและถามอย่างงงงวย

เธอไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นเลย

“หลู่เยว่เยว่ช่วยผมด้วย ได้โปรดช่วยขอร้องมู่เซิ่งหน่อย ผมรู้ว่าผมผิดไปแล้ว” จางเจ๋อกล่าวพร้อมกับจับมือของหลู่เยว่เยว่ไว้แน่น

หลู่เยว่เยว่ยิ่งงงงวย

ทั้งๆที่จางเจ๋อดูถูกมู่เซิ่งมากอยู่แล้ว ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย ทำไมตอนนี้ถึงไปอ้อนวอนขอความเมตตาเขาล่ะ?

ยิ่งกว่านั้น เขาทำอะไรผิดร้ายแรงเหรอ ถึงต้องการขอร้องมู่เซิ่ง

จริงที่จางเจ๋อดูถูกมู่เซิ่ง แม้ว่าตอนนี้เขาคิดว่ามู่เซิ่งเป็นเพียงไอ้กระจอกจนๆ แต่มู่เซิ่งกลับเป็นเพื่อนของกู่ชิงเสวียน เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะขอร้องกู่ชิงเสวียน ได้แต่หวังว่ามู่เซิ่งจะช่วยเขาพูดคำดีๆสักสองสามคำบ้าง บางทีเขาอาจจะรอดพ้นจากหายนะนี้ได้

มิฉะนั้น เขาคงไม่มีที่ยื่นอีกต่อไปในเจียงหนานแน่นอน

“เกิดอะไรขึ้น คุณโปรดอธิบายให้ชัดเจนก่อน” หลู่เยว่เยว่ถาม

จางเจ๋อคุกเข่าลงบนพื้นและรีบเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้หลู่เยว่เยว่ฟัง ตอนนี้เขาได้แต่ฝากความหวังไว้กับหลู่เยว่เยว่

หลังจากที่หลู่เยว่เยว่ฟังจบ ก็ตกใจมาก ก่อนหน้านี้ที่เห็นกู่ชิงเสวียนที่อยู่ข้างๆมู่เซิ่ง ดูมีออร่าที่โดดเด่น เธอก็พอเดาได้ว่าเธออาจจะเป็นลูกสาวของตระกูลใหญ่ แต่เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าเธอจะเป็นคุณหนูของตระกูลกู่ แม้ว่าหลู่เยว่เยว่จะเป็นคนธรรมดา แต่เธอก็เข้าใจสถานะของตระกูลกู่ที่อยู่ในเจียงหนาน

“ได้โปรด ถ้าคุณไม่ช่วยผมพูด วันนี้ผมคงตายตรงนี้แน่ๆ”จางเจ๋อน้ำตาไหลพราก

เขาได้ฝากความหวังไว้กับหลู่เยว่เยว่หมดแล้ว

“แต่ว่า ฉันก็เพิ่งรู้จักเขาวันนี้นะ”หลู่เยว่เยว่ชะงักไปครู่หนึ่ง สีหน้าของเธอดูน่าเกลียดเล็กน้อย

วันนี้ที่บ้านเอื้อเฟื้อเธอก็ได้ทักทายมู่เซิ่ง ที่เธอรู้จักเขาเพราะเขาเป็นพี่ชายของฉู่อีอี ในความประทับใจของหลู่เยว่เยว่ ฉู่อีอีเป็นผู้หญิงที่เป็นเด็กดีมาโดยตลอด พี่ชายของเธอมู่เซิ่งก็เป็นคนเรียบร้อยมารยาทดีเช่นกัน ก่อนหน้านี้ที่ฉู่อีอีมาที่บ้านเอื้อเฟื้อคนเดียว หลู่เยว่เยว่ก็อยากจะถามเกี่ยวกับภูมิหลังของฉู่อีอี แต่เนื่องจากฉู่อีอีเป็นคนไม่ค่อยพูด หลู่เยว่เยว่จึงไม่ถาม

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เธอได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวตนของฉู่อีอี

พี่ชายของเธอ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเพื่อนของตระกูลกู่!

ตระกูลกู่ ซึ่งเป็นตระกูลชั้นนำที่เหนือกว่าตระกูลชั้นหนึ่ง สำหรับหลู่เยว่เยว่ ดูเหมือนมันจะอยู่ห่างไกลมากๆ บางทีทั้งชีวิตนี้เธออาจจะไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับมันเลย คิดไม่ถึงว่ามู่เซิ่งจะเป็นเพื่อนของกู่ชิงเสวียน

“แต่คุณรู้จักน้องสาวฉู่อีอีของเขานิ อีกอย่างพวกคุณอยู่ด้วยกันในบ้านเอื้อเฟื้อมาเป็นเวลานาน ความสัมพันธ์คงไม่เลวใช่ไหม?ขอร้องล่ะ คุณต้องช่วยผมนะ” จางเจ๋อกล่าว

หลู่เยว่เยว่สูดหายใจลึก

คิดไม่ถึงว่าคนใหญ่คนโตเช่นนี้จะเป็นพี่ชายของฉู่อีอี ข่าวสารแบบนี้ทำให้เธอไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้เลย และในเวลานั้น ตอนที่อยู่ในบ้านเอื้อเฟื้อมู่เซิ่งดูถ่อมตัวมาก ไม่เหมือนจางเจ๋อเลยที่เผยนาฬิกาของเขาบ้าง เอากุญแจรถมาโชว์บ้าง

“โอเค ฉันจะพยายามดู”หลู่เยว่เยว่ส่ายหัวแล้วพูด

“ขอบคุณ เยว่เยว่ขอบคุณมาก หากผ่านเรื่องนี้ไปได้ ไม่ว่าคุณต้องการของขวัญอะไร ผมจะซื้อให้คุณแน่นอน!” จางเจ๋อรู้สึกซาบซึ้งใจ

“ช่างเถอะ คุณเก็บเงินไว้ใช้เองซะ หลังจากวันนี้ ฉันต้องทบทวนความสัมพันธ์ของฉันกับคุณใหม่แล้วแหละ”หลู่เยว่เยว่พูดพร้อมกับถอนหายใจ

เมื่อเปรียบเทียบกับมู่เซิ่งที่อ่อนน้อมถ่อมตน กับ จางเจ๋อที่กำเริบเสิบสานและโอหังอวดดี ทั้งสองแตกต่างกันมาก และทัศนคติต่อคุณค่า ต่อชีวิต และต่อโลกของเธอกับจางเจ๋อก็แตกต่างกันมากเช่นกัน หลู่เยว่เยว่ไม่อยากคบจางเจ๋อต่อแล้ว

“ไม่มีปัญหา ขอเพียงคุณยอมช่วยผม คุณต้องการอะไรก็ได้”จางเจ๋อพูดอย่างรวดเร็ว เขาก็แค่เล่นๆกับหลู่เยว่เยว่ไม่ได้จริงจังในความสัมพันธ์อะไร และเขาก็ไม่รู้สึกปวดใจมากนักหลังจากเลิกกัน

ณ ตอนนี้

ในห้องส่วนตัว เจ้าของร้านเริ่มฉลาด เขารอให้อาหารทั้งหมดเสิร์ฟให้เสร็จก่อน จึงค่อยดันเข้าไปในห้องส่วนตัว เขายังสั่งยามรักษาความปลอดภัยสองคนที่ยืนเฝ้าประตูเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันคนที่ไม่ดูตาม้าตาเรือมารุกรานมู่เซิ่ง

เรื่องแบบนี้ ครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว หากเกิดขึ้นอีก เขาก็คงจะซวยด้วยเช่นกัน

“เฮ้ คุณกำลังยืนทำอะไรอยู่ที่ประตู?”เมื่อเห็นหลู่เยว่เยว่ที่ยืนอยู่ข้างๆจางเจ๋อเจ้าของร้านที่เพิ่งเดินออกจากประตู ก็ตำหนิว่า”คนที่ไม่เกี่ยวข้อง ก็ไสหัวออกไปจากที่นี่โดยเร็ว”

“เพื่อนของฉันอยู่ข้างใน ฉันมีธุระอยากเข้าไปหาเขาหน่อย”หลู่เยว่เยว่กล่าว

“เพื่อน?”

เจ้าของร้านมองหลู่เยว่เยว่หัวจรดเท้า”คุณเป็นเพื่อนของกู่ชิงเสวียน?”

เขาเพิ่งถูกคำว่า”เพื่อน”ทำร้าย คราวนี้ เขาจะไม่เชื่อในความสัมพันธ์ของเพื่อนง่ายๆแน่นอน

“ไม่ ฉันเป็นเพื่อนของมู่เซิ่ง”หลู่เยว่เยว่กล่าว

“มู่เซิ่ง?”เจ้าของร้านตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็จำผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆกู่ชิงเสวียนที่ชื่อว่ามู่เซิ่ง แต่สถานะของเขาไม่สูงเท่ากับกู่ชิงเสวียน เจ้าของร้านส่ายหัวและพูดว่า”ขอโทษนะ แม้ว่าคุณจะเป็นเพื่อนของมู่เซิ่ง แต่คุณก็ต้องรอให้พวกเขากินเสร็จก่อนจึงจะเข้าไปได้”

“ก็ได้…เดี๋ยวฉันจะรออยู่ที่ประตูนะ”

หลู่เยว่เยว่กล่าว

ตอนนี้ ทั้งสองกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อยในห้อง

ที่ร้านอาหารแห่งนี้ได้รับความนิยมในเจียงหนาน ก็ไม่ใช่ไม่มีเหตุผลของมัน อย่างน้อยรสชาติอาหารที่นี่ก็ดีมาก หลังจากที่กู่ชิงเสวียนกินและดื่มจนอิ่มแล้ว อารมณ์ที่หดหู่แต่เดิมก็เริ่มดีขึ้น และทั้งสองก็คุยกันเรื่องบ้านเอื้อเฟื้ออีกครั้ง

“มู่เซิ่ง คุณว่าฉันจะช่วยบ้านเอื้อเฟื้ออย่างไร บริจาคเงินให้พวกเขาโดยตรงไหม?”กู่ชิงเสวียนถาม”ถ้าเป็นเช่นนั้น ฉันสามารถบริจาคเงินค่าขนมสองสามล้านให้พวกเขา แบบนี้เพียงพอที่จะช่วยปรับปรุงสิ่งแวดล้อมของพวกเขาได้หรือยัง”

มู่เซิ่งรู้สึกละอายใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น เงินค่าขนมหลายล้าน กู่ชิงเสวียนเป็นเพียงคนเดียวในเจียงหนานที่สามารถพูดสิ่งนี้ได้

“การช่วยเหลือแบบนี้ของคุณ แม้ว่าจะช่วยบรรเทาความยากลำบากของบ้านเอื้อเฟื้อได้ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ”มู่เซิ่งส่ายหัวและกล่าว

ครั้งนี้ที่เขาขอความช่วยเหลือจากกู่ชิงเสวียน นอกจากไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ แล้ว ยังมีประเด็นที่สำคัญมากนั่นคือกู่ชิงเสวียนสามารถใช้กำลังของตระกูลกู่

“แล้วเราควรทำอย่างไร?”กู่ชิงเสวียนถาม

“มันง่ายมาก เมื่อถึงตอนนั้น เอาตระกูลกู่เป็นแกนนำ จัดงานการกุศล”มู่เซิ่งกล่าว

ความยากลำบากของบ้านเอื้อเฟื้อ ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยเงินเพียงเล็กน้อย

เนื่องจากพวกเขาอยู่ในชานเมืองของเจียงหนาน ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากสาธารณชน อันที่จริงมีคนมากมายในเจียงหนานที่มีน้ำใจ พวกเขาส่วนใหญ่ก็เหมือนกับกู่ชิงเสวียน ไม่รู้การมีอยู่ของบ้านเอื้อเฟื้อ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถช่วยได้

ขอเพียงทำให้บ้านเอื้อเฟื้อปรากฏสู่สายตาของสาธารณชน ก็จะมีความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง หากบ้านเอื้อเฟื้อพบกับปัญหาใดๆในอนาคต มู่เซิ่งพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้

“ขอเพียงร่วมมือกับคนใหญ่คนโตไม่กี่คนในเจียงหนาน ร่วมในกิจกรรมการกุศลครั้งนี้ มีตระกูลกู่ออกหน้า มันจะง่ายขึ้นสำหรับวิสาหกิจในเจียงหนานที่จะยอมรับบ้านเอื้อเฟื้อ แม้ว่าเด็กๆเหล่านั้นจะออกมาจากบ้านเอื้อเฟื้อในอนาคต พวกเขาก็จะสามารถหางานได้”มู่เซิ่งกล่าว

แก้ไขปัญหาระยะสั้นของบ้านเอื้อเฟื้อ ไม่ใช่เป้าหมายของเขา เขาต้องการแก้ปัญหาของบ้านเอื้อเฟื้อรวมถึงการเข้าสู่สังคมในอนาคตของเด็กๆในคราวเดียว

“คิดไม่ถึงว่าคุณจะคิดไกลขนาดนี้ บ้านเอื้อเฟื้อนี้ มีความหมายอะไรกับคุณหรือเปล่า”ในเวลานี้ กู่ชิงเสวียนก็ถาม