บทที่ 245 คล้อยตามเขาก็พอ
บทที่ 245 คล้อยตามเขาก็พอ

เซี่ยเชียนก้าวถอยหลังทีละก้าว ไอเย็นเยือกบนร่างกายค่อย ๆ สลายไปทีละน้อย

เขาคุกเข่าลงหน้าแท่นพระบรรทมขององค์จักรพรรดิ และพูดเสียงต่ำ “พะยะค่ะ”

องค์จักรพรรดิกำลังวิงเวียนพระเศียรและมีพระเนตรพร่ามัว อีกทั้งยังทรงคลื่นไส้อาเจียนหลายครั้ง แต่ยังคงทรงฝืนจ้องเขม็งไปยังเซี่ยเชียน และออกโองการ “เจ้าต้องอยู่ ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าออกไป”

หมอหลวงเดินมาตรงหน้า และเอ่ยอย่างร้อนใจ “ฝ่าบาทเพิ่งฟื้น อย่าเพิ่งตรัสสิ่งใดเลยพะยะค่ะ การพลัดตกครั้งนี้กระทบกระเทือนถึงพระเศียร จะมองข้ามไม่ได้เด็ดขาด…”

องค์จักรพรรดิทรงสดับได้ถึงเสียงหวีดหวิวที่ดังขึ้นในพระกรรณอย่างไม่ขาดสาย ตรงหน้าแท่นพระบรรทมมีใบหน้าที่เหี่ยวย่นดุจเปลือกไม้แก่ของหมอหลวงขวางเซี่ยเชียนไว้ จึงอดหงุดหงิดพระทัยไม่ได้ “หุบปาก พวกเจ้าทุกคน จงหุบปาก!”

ต๋ากงกงรีบเข้าไปกระชากตัวของหมอหลวงให้ออกห่างจากแท่นพระบรรทมทันที และออกคำสั่งให้คนในวังเงียบลง

ภายในตำหนักหลังได้ยินเพียงแค่เสียงลมหายใจที่ทุกคนพยายามอั้นไว้ และเสียงของเซี่ยเชียนที่อ่อนโยนยิ่งกว่าวันปกติ

“ฝ่าบาททรงเชื่อฟังหมอหลวงเถิด หยุดตรัสเถอะพะยะค่ะ”

เซี่ยเชียนมองไปทางต๋ากงกงแวบหนึ่ง ต๋ากงกงจึงพาทุกคนออกจากตำหนักหลังอย่างเข้าใจ

ประตูตำหนักค่อย ๆ ปิดลง ส่งเสียงที่น่าหดหู่ใจออกมา ไม่นานภายในตำหนักก็เหลือเพียงพวกเขาสองคน

องค์จักรพรรดิตรัสด้วยเสียงอู้อี้ “ข้าได้ยินนะ เจ้าเรียกชื่อเล่นของข้า บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าต่อจากนี้ห้ามเรียกชื่อนี้อีก?”

เซี่ยเชียนจึงยิ้มออกมา “พระองค์ทรงตรัสเองว่าหมาน้อยของลี่เฟยเหนียงเหนียงนั้นโชคดี ได้อาศัยบารมีของชื่อนี้ ตัวเองก็เลยเรียกว่า ‘อาฝู’ เหตุใดต่อมาถึงไม่ชอบชื่อหมาน้อยตัวนี้เสียได้เล่า?”

นี่คือการหัวเราะครั้งที่สองของเซี่ยเชียนในวันนี้ แต่ในสายตาขององค์จักรพรรดิ นี่เป็นรอยยิ้มแรกของเซี่ยเชียนหลังจากได้เจอเขาในพระราชวังอีกครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

เขามีคำพูดนับพันที่ติดอยู่ในลำคอ และไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากตรงไหนไปชั่วขณะ

รอยยิ้มของเซี่ยเชียนนั้นเบาบางมาก และหายไปอย่างรวดเร็ว เพียงแต่รูปแบบของรอยยิ้มนั้น ยังคงทิ้งร่องรอยไว้

“แค่ก ท่านขุนนาง…” องค์จักรพรรดิทรงกระแอม ทำสมองให้ว่างเปล่า

เมื่อเซี่ยเชียนเห็นเขายังคงวิงเวียนเพราะตกจากหลังม้าอย่างรุนแรง จึงขมวดคิ้วแน่นและพูดว่า “หมอหลวงบอกไว้ ฝ่าบาทไม่ควรตรัสสิ่งใด รักษาตัวอย่างว่าง่ายเสียจะดีกว่า”

ครั้นเอ่ยถึงเรื่องนี้ องค์จักรพรรดิจึงรู้สึกว่าอาการวิงเวียนและอยากอาเจียนได้กำเริบขึ้นอีกครั้ง

ในใจของเขาร้อนรุ่มดั่งเปลวไฟ ก่อนจะพูดอย่างโกรธเคืองกับเซี่ยเชียนว่า “ครานี้ชีวิตของข้า… เจ้าม้าตัวดี ตอนที่ข้าขี่มันก็ไม่เห็นจะผิดปกติอย่างไร แต่พอข้าง้างธนูเตรียมยิงเท่านั้น ก็เริ่มพยศทันที!”

เซี่ยเชียนขมวดคิ้ว “ฝ่าบาทสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของม้าตัวนั้นบ้างหรือไม่?”

องค์จักรพรรดิปวดเศียรระบม พระชงฆ์และพระพาหาถูกพันแน่นหนา ข้อต่อเริ่มแผ่ขยายความเจ็บปวดออกมาเป็นระลอก เพียงแต่ในส่วนเหล่านี้ล้วนถูกปิดคลุมไว้ เซี่ยเชียนจึงมองไม่เห็น

เขาครุ่นคิดและพูดว่า “ข้าจำไม่ได้”

เซี่ยเชียนพยักหน้า ในสมองเริ่มนับจำนวนองครักษ์ประจำวันของลานประลอง โดยไม่ได้พูดสิ่งใด

ในตอนแรกเริ่มสุดม้าน่าจะไม่ผิดปกติอะไร ยามที่องค์จักรพรรดิทรงขี่และยิงธนูนั้น กลับถูกใครคนหนึ่งลงมืออย่างนั้นหรือ?

ถ้าเป็นเช่นนี้ คนที่ลงมือก็คงอยากให้คนที่อยู่บนหลังม้าตกลงมาในขณะที่ม้ากำลังวิ่งด้วยความเร็ว จิตใจช่างอำมหิตยิ่งนัก!

กระทั่งเห็นองค์จักรพรรดิแยกเขี้ยวยิงฟันพึมพำอย่างฉุนเฉียวอีกครั้ง “จำคำพูดของอาจารย์เมื่อครั้งที่เราเรียนขี่ม้าด้วยกันก่อนหน้านั้นได้หรือไม่? ยามตกจากหลังม้า ไม่ว่าอย่างไรห้ามเอาหน้าลง…..โชคดีสติของข้ายังปราดเปรียวอยู่บ้าง หลายปีมานี้วรยุทธ์ของข้าก็ไม่ได้ถดถอย จึงแค่ตกอย่างโหดเหี้ยมเท่านั้น”

เซี่ยเชียนไม่เคยมีประสบการณ์เสี่ยงตายเช่นนั้น ได้ยินดังนั้นกลับตกใจไม่น้อย มืออดกำหมัดแน่นไม่ได้ จากนั้นก็พูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “ยิ่งฝ่าบาทตรัสก็ยิ่งไม่เข้าท่า! แค่โหดเหี้ยมอะไรกัน?”

ครั้นเห็นสีหน้าที่เข้มงวดนั้นของเขาฉายแววโกรธเคือง องค์จักรพรรดิจึงพูดว่า “ข้ายังไม่ตาย ท่านขุนนางยังกล้าตีฝีปากกับข้าเพียงนี้? เหตุใดต้องบ่นข้าด้วยเล่า?”

เซี่ยเชียนโกรธเคืองจนเกือบหงายหลังเพราะเขา ต่อให้เยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังอดที่จะด่ากราดไม่ได้

“ถ้าฝ่าบาทยังทรงเป็นเช่นนี้ กระหม่อมขอตัว!”

องค์จักรพรรดิยกมือกุมพระเศียรทันใด และเริ่มร้องเสียงต่ำ “ท่านขุนนาง ท่านขุนนางอย่าไป ข้าปวดหัว…”

เซี่ยเชียนทำได้แค่อดกลั้นไว้ “กระหม่อมจะไปเรียกหมอหลวง”

จากนั้นก็ได้ยินองค์จักรพรรดิตะโกนด้วยความโกรธเคือง “เซี่ยเชียน ข้าบอกว่าไม่อนุญาตให้เจ้าออกไป!”

เซี่ยเชียนเงียบลงในทันที

องค์จักรพรรดิที่ผ่านพ้นประตูแห่งนรกมาได้ก็คล้ายกับได้รับการปลดปล่อย เปิดเผยนิสัยเจ้าอารมณ์อย่างชัดเจน ครั้นเห็นเซี่ยเชียนคล้อยตามก็เริ่มเบิกบานใจ “อยู่เป็นเพื่อนข้านั่นแหละดีแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าออกจากวังไปเร็ว ข้าจะเบื่อหน่ายจนต้องไปหาความสุขในลานประลองไหมเล่า? ถ้าไม่ไปลานประลอง ก็คงไม่ตกจากหลังม้าที่พยศหรอก”

เซี่ยเชียนได้แต่นึกจนปัญญาอยู่ในใจ รู้สึกว่าหนังสือที่ตัวเองพร่ำเรียนมาตลอดหลายปี ไม่มีคติไหนของนักปราชญ์ที่สอนการรับมือสถานการณ์ตรงหน้าได้เลย

เขาเพียงแค่พูดว่า “เป็นความผิดของกระหม่อมเอง”

องค์จักรพรรดิกะพริบพระเนตรปริบ ๆ ในที่สุดก็เงียบลง

ทั้งสองคนไม่มีใครพูดสิ่งใด เป็นเช่นนี้ครู่หนึ่ง กระทั่งได้ยินสุรเสียงแหบแห้งขององค์จักรพรรดิ “อาเชียน ข้าปวดหัว”

เซี่ยเชียนพยายามบังคับเสียงไม่ให้เย็นชามากนัก โดยการพูดเสียงเบากับองค์จักรพรรดิว่า “กระหม่อมเองก็ไม่ใช่หมอหลวง ฝ่าบาททรงอนุญาตให้กระหม่อมออกไปตามหมอหลวงเข้ามา ดีหรือไม่?”

องค์จักรพรรดิส่ายพระพักตร์ “ไม่”

เซี่ยเชียนจนใจทำได้แค่รออยู่ในอากัปกิริยาเดิม คุกเข่าอยู่หน้าแท่นพระบรรทมเฝ้าองค์จักรพรรดิ

กระทั่งอีกฝ่ายค่อย ๆ หลับตาลงภายใต้การเฝ้าสังเกตของตัวเอง…

เขาขยับขาคู่นั้น เตรียมจะลุกขึ้น แต่กลับสัมผัสได้ว่าบาดแผลฉีกขาดบนหัวเข่าเริ่มปริแตกอีกครั้ง ประกอบกับอาการเหน็บชาจากการนั่งเป็นเวลานานไม่ยอมขยับ ร้าวรานเหมือนมีเข็มนับพันทิ่มแทง

เซี่ยเชียนอดขมวดคิ้วไม่ได้ “อ่า…”

บางทีอาจเพราะองค์จักรพรรดิที่กำลังกึ่งหลับกึ่งตื่นได้ยินเสียงนี้ เขาจึงพลันลืมตาด้วยความฉงน

“อาเชียน?”

เซี่ยเชียนตอบรับ “พะยะค่ะ”

องค์จักรพรรดิพยักหน้า เหมือนกับวางใจและหลับตาลงอีกครั้ง

ครานี้เซี่ยเชียนรอให้องค์จักรพรรดิหลับจนสนิท ยามที่ได้ยินเสียงลมหายใจคงที่ จึงได้เกาะข้างแท่นพระบรรทมแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน

เขายืนอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง แล้วเดินห่างแท่นพระบรรทมไปอย่างเงียบเชียบ

ทุกคนที่เฝ้าอารักษ์อยู่ด้านนอกเห็นเซี่ยเชียนออกมา ก็รีบรุดหน้าเข้ามา

ต๋ากงกงเอ่ยถามอย่างร้อนใจ “ใต้เท้าเซี่ย ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง?”

เซี่ยเชียนพูดเสียงราบเรียบ “บรรทมไปแล้ว”

ต๋ากงกงรีบถามหมอหลวงทันที “ฝ่าบาทฟื้นกลับมาได้ไม่นานแล้วบรรทมต่อ มีปัญหาอะไรหรือไม่?”

หมอหลวงผู้นี้คือหมอหลวงเจียงที่พันหัวเข่าให้เซี่ยเชียนเมื่อเช้า ทักษะการรักษาถือว่าดีที่สุดในวังหลวง ครั้นได้ยินจึงพูดว่า “ฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บในระดับนี้ ควรต้องบรรทมพักนานสักหน่อย บางทีเมื่อครู่อาจจะฝืนลืมพระเนตร ย่อมไม่มีเรี่ยวแรงเป็นธรรมดา ไม่นานจึงหลับไปอีกครั้ง”

ต๋ากงกงถอนหายใจอย่างผ่อนคลายในใจ กระทั่งได้ยินหมอหลวงพูดอีกว่า “ในเมื่ออีกไม่นานก็คงฟื้น พิสูจน์ได้ว่าอาการบาดเจ็บของฝ่าบาทไม่น่าเป็นห่วง แค่ต้องรักษาตัวอย่างเงียบ ๆ หลายวัน ใช้ยากล่อมประสาทบ้าง เพียงแต่…”

จิตใจของต๋ากงกงที่เดิมทีโล่งใจแล้วกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง กลั้นหายใจเฝ้ารอประโยคต่อไปของหมอหลวง

หมอหลวงอาวุโสลูบเครา และพูดอย่างทอดถอนใจว่า “หลายวันนี้ฝ่าบาทอาจจะต้องทุกข์ทรมานไม่น้อย วิงเวียนศีรษะและตาพร่ามัวไม่ร้ายแรงนัก แต่อาจจะมีอาเจียนและไม่อยากอาหารร่วมด้วย เกรงว่าความเอาแต่ใจของเขาคงจะระเบิดไม่น้อย ถึงกระนั้นก็คล้อยตามเขาไปเป็นพอ”

ต๋ากงกงได้ยินว่าไม่ได้มีผลกระทบร้ายแรงนัก จึงวางใจลงในที่สุด

เซี่ยเชียนส่งเสียงร้องออกมาทันใด “หมอหลวงเจียง นอกจากฝ่าบาทจะได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะแล้ว ยังมีตามร่างกายอีกหรือไม่?”

……………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ผู้แปลยิ้มไม่หุบเลย ช่วยด้วยค่ะ เคมีของสองคนนี้มันรุนแรงเกินไป ลำบากใต้เท้าเซี่ยแล้ว ต้องคอยเอาอกเอาใจคนป่วยเยอะๆ เลยนะคะ /กรีดร้องเสียสติอยู่หน้าคอมฯ/

มีใครลอบทำร้ายเซี่ยเชียนทางอ้อมหรือเปล่านะ

ไหหม่า(海馬)