บทที่ 371 ความซาบซึ้งและการเปลี่ยนแปลง

สุดยอดชาวประมง

บทที่ 371 ความซาบซึ้งและการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 371 ความซาบซึ้งและการเปลี่ยนแปลง

คนที่รับประโยชน์มากที่สุดก็คือคนที่เคยเป็นซอบบี้แล้วกลับมาเป็นมนุษย์หลายหมื่นคน แม้คนเหล่านี้จะฟื้นฟูพลังมาได้ระยะหนึ่ง แต่พลังวรยุทธ์ก็ยังไม่ได้กลับสู่ขั้นเดิมที่เคยเป็น ถึงอย่างงั้นพอวันนี้สวรรค์มอบรางวัลให้พวกเขาพลังวรยุทธ์ก็ฟื้นฟูสู่จุดสุดยอกของพวกเขาทันที อีกทั้งยังเลื่อนระดับ 1-2 ระดับเป็นอย่างต่ำ

วันนี้ทั้งกองทัพส่วนมากกลายเป็นยอดฝีมือขึ้นทรราชดารากันหมดแล้ว ทำให้พวกเขาสามารถต่อกรกับเหล่าซอมบี้ได้อย่างเต็มความสามารถ โอกาศพิชิตเหล่าซอมบี้อยู่ไม่ไกลแล้ว!

ในสงครามนั้นวรยุทธ์สำคัญกว่าจำนวนคนมาก ถ้าอีกฝ่ายวรยุทธ์สูงส่งต่อให้มีกี่คนก็ไม่สำคัญแล้ว ดังนั้นการที่พวกเขาวรยุทธ์สูงขึ้นทั้งกองทัพจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งนัก

หลังจากสงบจิตใจแล้วฉู่เหินก็พาทุกคนกลับเมืองโบราณ สนามรบไม่ควรอยู่นาน หากอยู่นาน ๆ ก็มีความเป็นไปได้ที่พวกซอมบี้จะยกทัพมาปิดล้อมพวกเขา เมื่อถึงตอนนั้นคงไม่ดีแน่

ตอนที่ฉู่เหินพาทหารทั้งกองทัพกลับ ก็มีเสียงตะโกนโหร้องทั่วเมืองโบราณ ชาวเมืองไม่ว่าจะคนแก่หรือวัยรุ่น สาวเล็กสาวใหญ่ต่างก็เดินออกมาหน้าประตูบ้าน ตะโกนต้อนรับพวกเขาพร้อมทั้งกระโดดร้องเพลงไปด้วย

ชาวเมืองโบราณใช้วิธีนี้ต้อนรับฉู่เหินและเหล่าทหารกล้า ในใจพวกเขาทุกคนฉู่เหินกับทหารที่ร่วมรบเหล่านี้คือวีรบุรุษตัวจริง

หลังจากฉู่เหินกลับมาถึงเมืองพอเห็นทุกคนทำแบบนี้ จิตใจก็สั่นไหวหน่อย ๆ เดิมทีเขาคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงหน้าที่หนึ่งที่รีบ ๆ ทำจะได้รีบ ๆ กลับ ไม่ได้ใส่ใจอะไรขนาดนั้น แต่หลังจากเห็นชาวเมืองโบราณออกมาให้กำลังใจ ฉู่เหินก็อยากจะช่วยเหลือพวกเขาจริง ๆ

ชีวิตในเมืองโบราณนับพันนับหมื่นปีนั้น ช่างน่าสงสารอย่างแท้จริง พวกเขาไม่เคยแม้แต่จะเห็นแสงอาทิตย์ ไม่เคยเห็นดวงดาวไม่เคยเห็นต้นไม้ใบหญ้า แม้พวกเขาจะเป็นคนแต่ก็ถูกขังเอาไว้ภายในเมืองแห่งนี้ พวกเขาทำได้เพียงอยู่ในเมืองเท่านั้นออกไปข้างนอกได้ไม่กี่เมตร

สิ่งที่พวกเขาปรารถนาก็คืออิสระ ปรารถนาแสงอาทิตย์ ปรารถนาอิสรภาพที่จะออกไปจากเมืองนี้ แต่ผ่านมาพัน ๆ หมื่น ๆ ปีแล้วความหวังของพวกเขาเดี๋ยวก็เพิ่มขึ้น เดี๋ยวก็หายไป จนสุดท้ายพวกเขาก็ได้แต่เฉยเมยทุกสิ่ง เพราะพวกเขามองไม่เห็นความหวังเลยแม้แต่น้อย

จนฉู่เหินปรากฏตัว ทำให้พวกเขามองเห็นแสงสว่างแห่งความหวัง ฉู่เหินนำชัยชนะในครั้งนี้มาให้พวกเขา เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน และเพราะเหตุนี้เองชาวเมืองโบราณถึงได้นับถือฉู่เหินจากใจจริง ความรู้สึกเคราพนับถือแบบนี้ ทำให้ฉู่เหินรู้สึกเจ็บปวดใจ เพราะเขาแค่อยากทำภารกิจไม่ได้อยากช่วยพวกเขา แต่ตอนนี้ไม่แล้ว

หลังถอนหายใจยาวออกมาหนึ่งครั้ง ฉู่เหินก็แอบบอกกับตัวเองว่าจะช่วยชาวเมืองโบราณให้ได้ เขาบอกกับตัวเองหลังจากมาถึงเมืองโบราณ เขาเชื่อว่าขอแค่ตั้งใจไม่มีอะไรที่จะทำไม่ได้

หลังจากกสังสรรค์กับทุกคน เขาก็สั่งให้คนที่เหลือไปเฝ้าประตูสี่ทิศเอาไว้เพื่อป้องกันการจู่โจมของซอมบี้เหล่านั้น

พอชาวเมืองโบราณพอเห็นทหารที่บาดเจ็บล้มตายก็ยืนน้ำตาไหล ฉู่เหินเองก็รู้สึกเจ็บปวดใจ ทหารทั้งหมดก็รู้สึกแบบเดียวกับเขาเช่นเดียวกัน

ฉู่เหินรู้ว่าสงครามที่แท้จริงกำลังจะเริ่มขึ้น แม้ว่าศึกสองครั้งก่อนหน้านี้เมืองโบราณจะได้รับชัยชนะอย่างหมดจด แต่ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับศึกที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ฉู่เหินไม่อยากให้ทหารเหล่านี้เสียชีวิตโดยที่ยังเขาไม่รู้จักชื่อด้วยซ้ำ

พอฉู่เหินลองคิด ๆ ดูเขาก็ให้กระดาษทุกคนคนละหนึ่งใบ ให้ทุกคนเขียนชื่อและที่อยู่ตัวเอง หรือพรรคของตัวเองในโลกภายนอก หรือไม่ก็เขียนที่อยู่บ้านเกิดของตัวเอง อีกทั้งบนกระดาษให้เขียนพินัยกรรมเอาไว้ด้วย พินัยกรรมนี้จะเขียนให้กับญาติหรือคนที่รักที่สุดของตัวเอง

ฉู่เหินรู้ว่าไม่มีใครในโลกนี้อยากตาย แต่คนเราจำเป็นต้องก้าวต่อไปข้างหน้า บ้างทีในวันนี้พวกเราที่ยืนดื่มด่ำพูดคุยกันอยู่ตรงนี้ แต่ในวันพรุ่งนี้ใครจะรู้ว่าจะมีกี่คนที่นอนตายอยู่ด้านนอก

วันนี้เขาให้ทุกคนทิ้งพินัยกรรยไว้หนึ่งฉบับให้กับคนที่รักหรือครอบครัว ทำให้คนที่บ้านได้รู้ว่าต่อตายพวกเขาก็ยังคิดถึงคิดที่บ้านอยู่เสมอ บ้างทีพรุ่งนี้อาจมีคนตายในสนามรบ บ้างอาจเป็นเขาเองก็ได้

ที่จริงแล้วความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว ถ้าใจสู้พอเขาเชื่อว่าทุกคนต้องรอดกลับไปแน่ ๆ

เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นต่างก็คล้อยตาม พวกเขารับกระดาษไปแล้วเริ่มคิด เริ่มเขียน…

หลังจากทุกคนเขียนเสร็จ เขาก็ให้คนเก็บรวบรวมสิ่งที่เขียนเหล่านี้มาให้เขา เขารู้ว่าของเหล่านี้เป็นภาระหนักมากขนาดไหน ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้ว่าตัวเองมีภาระเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่าง ก็คือรักษาชีวิตผู้คนและพินัยกรรมของผู้ที่ตายในการต่อสู้ไปส่งให้ถึงมือคนที่พวกเขารัก

มีคนบอกว่าในสนามรบมีแต่ต้องสู้จนตัวตายเท่านั้นไม่ทางถอยถึงจะชนะ ฉู่เหินก็อยากให้ทุกคนสู้จนตัวตาย จะได้มีโอกาสรอดในสนามรบครั้งนี้มากที่สุด หลังจากเก็บพินัยกรรมเสร็จ ทุกคนก็ค่อย ๆ ทยอยกลับไปฝึกฝนวิชา หรือพักผ่อนตามที่ต้องการ

เวลาผ่านไปไม่นาน ทุกคนก็ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ตอนแรกคนในเมืองกับคนที่ฟื้นจากการเป็นซอมบี้ไม่ชอบกัน แต่ปัญหานั้นหายไปในหมอกควัน ทหารทั้งหมดตอนนี้สามัคคีกันมาก!

ตอนที่ทุกคนรวมตัวกัน ไม่มีการคุยโม้โอ้อวด ดื่มเหล้า หรือพูดเพ้อเจ้อให้เห็นเลยแม้แต้น้อย พวกเขาเมื่อรวมตัวกันต่างก็แลกเปลี่ยนวิชาความรู้ของตัวเอง วิชาต่าง ๆ รวมถึงการโจมตี การป้องกัน เรียกได้ว่าทั้งเมืองโบราณตอนนี้เต็มไปด้วยหัวข้อการฝึกฝนวิชา

คนแก่ในบ้านเมืองบ้างก็หยิบเอาเคล็ดวิชาของบรรพบุรุษมาให้ ส่วนมากแล้วจะเขียนเกี่ยวกับวิชาโจมตีต่าง ๆ นา ๆ ซึ่งเป็นความลับประจำตระกูล ปกติจะไม่ให้ใครได้รู้

แต่ในวันนี้คนเหล่านี้นำเคล็ดวิชาทั้งหมดออกมาให้ผู้อื่น แสดงให้เห็นว่าชาวเมืองโบราณนั้นมีปณิธานแน่วแน่ขนาดไหน เคล็ดวิชาเหล่านี้ฉู่เหินเองก็อ่านมาแล้วคราว ๆ ซึ่งเขาก็พบว่าข้างในมีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย ถึงกับทำให้ดวงตาของฉู่เหินสว่างวาบ

เคล็ดวิชาพวกนี้ ทำให้ฉู่เหินเข้าใจอะไรหลายอย่าง ดัชนีและฝ่ามือกิเลนก็พัฒนาขึ้นมาก หากดัชนีกิเลนและฝ่ามือกิเลนพัฒนาไปอีกขั้น พลังโจมตีของมันจะยิ่งน่ากลัว เมื่อคิดถึงตรงนี้ฉู่เหินก็ใช้เวลาศึกษาวิชากิเลนตัวเอง อย่างจริงจัง

ดัชนีกิเลนและฝ่ามือกิเลน ไม่เหมือนวิชาไหน ๆ มันสามารถโจมตีได้ทั้งระยะไกลและใกล้ แต่พลังดัชนีกิเลนไม่เหมือนฝ่ามือกิเลน มันเป็นวิชาที่แตกต่างกัน ทั้ง ๆ ที่ใช้พลังเดียวกัน เพราะแบบนี้เลยมีหลายครั้งที่เขาใช้ดัชนีกิเลนได้ไม่คล่องเท่ากับฝ่ามือกิเลน

หลังจากวิเคราะห์แล้วเขาก็คิดว่าดัชนีกิเลนสามารถเปลี่ยนวิธีโคจรพลังเป็นแบบอื่นได้ เช่นปล่อยหนึ่งนิ้วให้มันโจมตีแรงขึ้นได้ หรือจะใช้เป็นการโจมตีต่อเนื่องก็ได้

รูปแบบโจมตีจากเดี่ยวก็จะเปลี่ยนเป็นการโจมตีแบบกลุ่ม แถมพลังก็ไม่ได้ลงลดเพราะพลังดวงดาวของเขามีเหลือ ๆ จะใช้ยังไงก็คงไม่หมด ฉู่เหินคิดว่าถ้าทำได้ตามที่คิดจริง ๆ เขาคงแข็งแกร่งขึ้นแน่ ๆ เขาลองหาที่ ๆ ไม่มีคนแล้วเริ่มฝึกฝนวิชาทันที