บทที่ 274 : เผ่าพันธุ์อันยิ่งใหญ่
บทที่ 274 : เผ่าพันธุ์อันยิ่งใหญ่
ชิ้นส่วนสิ่งมีชีวิตที่ลึกลับและน่ากลัวนั้นสร้างเป็นภาพลวงตาที่ใหญ่โตและอธิบายไม่ได้
ราวกับว่ามันเป็นประวัติศาสตร์ที่สมบูรณ์ของชาติพันธุ์หนึ่ง ที่ไหนสักแห่งที่ลึกเข้าไปในจักรวาล พวกมันกำลังกรีดร้องด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวมากมายหลายรูปแบบตรงหน้าเธอ
มันเป็นภาพที่มาจากสถานที่และช่วงเวลาอื่นที่ถูกฉายให้เห็น
ที่นั่น สายลมเย็นเฉียบหวีดหวิวพร้อมกับเงาร่างมหึมาที่ลอยตะคุ่มอยู่บนฟ้า เอี้ยวตัวลงมาแล้วกลืนกินร่างของชาวเผ่า ทำลายอารยธรรมที่รุ่งเรืองของพวกมันแล้วทำให้เกิดวิกฤติฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
พวกมันส่งเสียงร้องสุดท้ายเมื่ออยู่ต่อหน้าช่วงเวลาเป็นตาย
“จับมัน จับมันมาให้หมด…แทนที่พวกมันซะ!!!”
“จงเป็นมัน!!!”
เงาร่างที่มองเห็นได้บิดเบี้ยวสุดขีด แล้วมันก็พลันยืดลงมาอย่างมั่นคง แล้วภาพก็เปลี่ยนไปเป็นเกล็ดสีรุ้งและหนวดเส้นยาว…
ดวงตาของจี้จือซู่ไร้ชีวิตชีวาและยุ่งเหยิงเมื่อภาพเหล่านี้ประดังเข้ามาในความคิดของเธอ
“คุณต้อง…เรียนรู้ที่จะยอมรับเมื่อถึงเวลาต้องยอมรับ…เข้าใจไหมครับ?”
เสียงของหลินเจี๋ยวนเวียนในหูของจี้จือซู่อย่างเคย ทำให้หัวใจของเธอบีบแน่นแล้วสั่นสะท้าน
หนังหัวของเธอชาวาบเมื่อได้สติ
“นี่มันอะไรกันเนี่ย?!!”
จี้จือซู่พลันกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง ดวงตาของเธอเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ
แล้วเธอก็พบว่าเธอออกมานอกร้านหนังสือโดยไม่รู้ตัวแล้ว ไม่เพียงแต่หยิบหนังสือที่เจ้าของร้านหลินให้เธอมาติดตัวมาด้วยเท่านั้น เธอยังหยิบเอาสัญญาตัวแทนจำหน่ายของร้านหนังสือออกมาด้วย
“เดี๋ยวนะ…สัญญา?!”
จี้จือซู่รีบดึงเอกสารออกมาอ่านอย่างระมัดระวังแต่ต้นจนจบ
ข้อปฏิบัติชัดเจน การแบ่งผลประโยชน์ก็สมเหตุสมผลสมบูรณ์แบบ ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับประโยชน์ แม้ว่าจะด้วยมุมมองของจี้จือซู่ เธอก็หาปัญหาใด ๆ ไม่เจอเลย
ที่จริงแล้ว เธอเตรียมใจไว้แล้วว่าอาจจะเจอสัญญาที่พวกเธอต้องรับใช้ร้านหนังสืออย่างสมบูรณ์ สัญญาที่ยุติธรรมนี้กลับเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายของเธอ
ที่หลังสัญญาลงนามจี้จือซู่ไว้อย่างชัดเจน พร้อมด้วยตราประทับบริษัทของบริษัทโรลล์ ‘ขั้นบันไดกลับหัว’
จี้จือซู่อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง
ในร้านหนังสือ จากกระจกหน้าต่างก็จะเห็นมูเอนที่สวมเครื่องแบบพนักงานที่สั่งทำพิเศษกำลังชงชาให้หลินเจี๋ย และมีหนังสือสัญญาอีกฉบับวางอยู่บนเคาน์เตอร์
ดูเหมือนว่าตอนนี้มูเอนที่ง่วนกับงานที่ร้านข้าง ๆ เมื่อครู่จะเสร็จงานแล้วกลับมาที่ร้านหนังสือแล้ว และผู้ช่วยผู้มีประสิทธิภาพล้นฟ้านี้ก็เซ็นสัญญากับเธอ
เรื่องราวต่าง ๆ เป็นไปอย่างราบรื่นมาก
เว้นแต่ว่าจี้จือซู่จำไม่ได้เลยว่าตัวเธอเองทำอะไรลงไปบ้าง…
เมื่อเธอพยายามนึกให้ออก เธอก็พบว่าเหมือนจะทำบางอย่างลงไป แต่รายละเอียดเฉพาะเจาะจงของมันกลับพร่าเลือนราวกับมองผ่านกระจกฝ้า
ในตอนนั้น เหมือนกับว่ามีอีกตัวตนหนึ่งในตัวเธอ ควบคุมเธอและทำเรื่องเหล่านี้ให้เธอ
“ฟู่…”
จี้จือซู่หายใจเข้าลึก ๆ แล้วผ่อนออกช้า ๆ และเมื่อเธอมองหนังสือในมือของเธอ คำตอบก็แล่นเข้ามาในใจเธอ
หนังสือในครั้งนี้…พิเศษมาก
มันไม่ใช่หนังสือบันทึกวิธีการใช้พลังหรือกฏเกณฑ์ต่าง ๆ อย่างครั้งก่อน มันเรียกว่าหนังสือไม่ได้ด้วยซ้ำ นี่คือซากที่หลงเหลือของเผ่าพันธุ์หนึ่งทั้งเผ่า!
เผ่าพันธุ์ยิธอันยิ่งใหญ่!
พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตทางจิตวิญญาณที่แปลกประหลาด ไม่เพียงพวกมันควบคุมเวลาอันลึกลับเท่านั้น แต่ยังมีความสามารถพิเศษ นั่นก็คือ ‘ปรสิตฝังวิญญาณ’ ด้วย
เผ่ายิธสามารถแลกเปลี่ยนความคิดกับสิ่งมีชีวิตเผ่าอื่น ๆ ได้ แล้วยึดร่างของพวกเขาเพื่อได้รับทุกสิ่งทุกอย่างของเผ่าพันธุ์นั้นมา
เมื่อครู่นี้ วิญญาณของจี้จือซู่อาจจะสลับที่กับจิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของเผ่ายิธ ดังนั้นเธอจึงได้เป็นสักขีพยานถึงประวัติศาสตร์และข้อมูลทั้งหมดของเผ่าพันธุ์นี้
แล้วในขณะเดียวกัน จิตสำนักของยิธก็แทนที่จี้จือซู่แล้วทำเรื่องต่าง ๆ ให้เธอ
ส่วนเรื่องที่ทำไมมันจึงไม่ใช่ยิธตนใดตนหนึ่งนั้น จากภาพที่จี้จือซู่เห็น เผ่าพันธุ์อันยิ่งใหญ่นี้ สุดท้ายก็ล่มสลายลงเพราะศัตรูทางธรรมชาติของพวกมันเอง
สิ่งที่เหลืออยู่ในหนังสือเล่มนี้ก็คือวิญญาณที่เหลืออยู่ของเผ่ายิธเท่านั้น
อำนาจเฮือกสุดท้ายของมันคงอยู่ได้แค่ถึงตอนที่จี้จือซู่ได้รับสืบทอดความรู้และมรดกทั้งหมดของเผ่ายิธ แล้วตอนนี้มันก็สลายเป็นอากาศธาตุไปแล้ว
เผ่าพันธุ์อันยิ่งใหญ่ได้เสื่อมสลายไปอย่างสมบูรณ์แล้วในตอนนี้
แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง จี้จือซู่ก็ได้กลายไปเป็นสมาชิกคนสุดท้ายของเผ่านี้ไปแล้ว
คุณหลินให้หนังสือเล่มนี้กับเรา เขาคงคิดว่าความแข็งแกร่งเดิมของเรายังไม่พอที่จะรับหน้าที่ตัวแทนขายหนังสือของร้านหนังสือ ดังนั้นเราเลยยังต้องเติบโต
จี้จือซู่วางหนังสือกับสัญญาแล้วมองพวกมันอย่างตื่นเต้น แต่ตอนนี้ ถึงแม้ว่าความสามารถของเราจะยังไม่ถึงขนาดควบคุมกฏเกณฑ์ของเวลาได้ แต่พอเราใช้ปรสิตฝังวิญญาณควบคู่ไปกับเจตจำนงแห่งเหล็กกล้า เราก็ยังสามารถควบคุมคนหลาย ๆ คนไปพร้อม ๆ กันได้ ดูเหมือนเป็นตัวตายตัวแทนได้เลย
แต่แบบนี้ก็หมายความว่าทั้งแมงมุมและบริษัทโรลล์ก็จะแข็งแกร่งขึ้นได้!
เธอกระทั่งอยากจะลองฝึกมันแล้วอย่างคันไม้คันมือ
ทว่า…หลังจากที่เธอตื่นเต้นอยู่สักพัก จี้จือซู่ก็พลันคิดได้ว่าพ่อของเธอยังสติหลุดอยู่ เพราะเขาได้รับผลกระทบจากศิลานักปราชญ์ความบริสุทธิ์สูงจนคุมตัวเองไม่ได้
เธอหันไปมองด้านข้าง และแน่นอน จี้ป๋อหนงก็ยังคงอยู่ในสภาพตื่นกลัวจนทำอะไรไม่ถูก
เพราะเจ้าของร้านหลินไม่ได้ว่าอะไรเขามากนัก เขาจึงลงโทษนิด ๆ แล้วตักเตือนหน่อย ๆ ก่อนจะจบลง
การเสียสติระดับนี้หาได้ง่ายมากในสังคมของนักล่า วิธีแก้ก็ง่ายมาก พวกเขามักจะมียาที่จัดทำโดยนักเวทมนตร์ขาวติดมือกันอยู่ตลอด
จี้จือซู่รีบเทยาฟื้นสติลงคอพ่อของเธอ
“แค่ก…ๆ”
จี้ป๋อหนงหยุดตัวสั่นทันที เขาสำลักและไอค่อกแค่กอยู่ครู่หนึ่งแล้วสูดหายใจเข้าลึก ๆ
เขามองไปรอบ ๆ ด้วยความกลัวที่ยังหลงเหลือ แล้วก็พบว่าตัวเองออกมานอกร้านหนังสือแล้ว จากนั้นก็ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
“เดี๋ยวค่อยอธิบายอีกทีนะคะ เรื่องจบแล้วล่ะ เรากลับกันก่อนเถอะค่ะ”
จี้จือซู่มองจี้ป๋อหนงด้วยแววตาแฝงความนัย
จี้ป๋อหนงฟื้นคืนสติแล้วก็สงบลงทันที เขาพยักหน้าแล้วแสร้งสวมบทบาทคนขับรถต่อ เปิดประตูหลังรถให้จี้จือซู่เข้าไป แล้วเขาก็นั่งที่ที่นั่งคนขับอีกครั้ง
แม้ว่าในใจของเขาจะว่างเปล่า แต่ในฐานะพ่อที่รู้จักหญิงตรงหน้าดี เขาก็มองออกจากสีหน้าของจี้จือซู่ได้ว่าลูกสาวของเขากำลังมีความสุข ดังนั้นเขาจึงสงบใจลงได้
หลังจากขับรถห่างออกไปได้สักพัก เขาก็ถามด้วยเสียงสั่น ๆ “สำเร็จไหม?”
“ใช่ค่ะ เราทำสำเร็จแล้ว เราชนะเดิมพันค่ะ!”
มุมปากของจี้จือซู่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มปรีดาอย่างไม่ปิดบัง “บริษัทโรลล์จะไม่ต้องคอยพินอบพิเทาให้กับพวกผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นยักษ์ที่โค่นไม่ได้ค่ะ!”
“ดี! ดีมาก!”
จี้ป๋อหนงกำพวงมาลัยแน่น เกือบระเบิดหัวเราะออกมาแล้ว แต่แล้วสีหน้าของเขาก็พลันดูรู้สึกผิด “ขอโทษนะลูกสาวพ่อ พ่อไม่คิดเลยว่าจะกลายเป็นตัวถ่วงลูกไปซะได้…”
เขาทำได้เพียงยิ้มขื่น ๆ ในใจ เขามาที่นี่ก็เพราะอยากให้ลูกสาวของเขาได้รับผลประโยชน์เพิ่ม แต่มาถึงก็โดนอีกฝ่ายปิดปากเรียกเป็นคนขับรถไปทันที แถมยังถูก ‘ผนึก’ ไว้ข้างหลังอีก
ต่อหน้าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับนี้ ไม่มีจังหวะให้มนุษย์ธรรมดาได้ออกมาเปิดใจพูดแน่นอน
เขาแก่แล้วจริง ๆ…
ในอนาคตเขาก็ทำได้แค่หลีกทางให้คนรุ่นหลังได้เติบโตแล้ว
จี้จือซู่ส่ายหัวแล้วแตะต่างหูของเธอ “ไม่ค่ะ พ่อไม่มีทางเป็นตัวถ่วงหนูได้หรอก ตรงข้ามเลย หนูต้องขอบคุณพ่อด้วยค่ะ ไม่มีพ่อ ธุรกรรมนี้ก็สำเร็จไม่ได้”
เธอแสดงสีหน้าจนใจออกมา “คุณหลินตอบตกลง ทั้งหมดนี้ก็เพราะวัตถุโบราณในกระเป๋านั่นแท้ ๆ…”
—
จี้จือซู่กลับไปแล้ว
หลินเจี๋ยนั่งอยู่ที่เดิม ในขณะที่มูเอนกำลังจัดเรียงเอกสารที่เกี่ยวข้องกับสัญญาอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
เขาดื่มชานมไข่มุกที่ชงใหม่ ๆ แล้วเปิดกระเป๋าออกมาอีกครั้งเพื่อมองหาสมบัติล้ำค่าเหล่านั้นอีกรอบ
แกร๊ก!
กระเป๋าเปิดออก แต่ข้างในว่างเปล่า
มีเพียงเงาดำที่ ‘อาศัยอยู่’ ขยับไปมาแล้วก็เรอออกมาเบา ๆ