จูจื่ออวี้ได้ยินว่าเจียงซื่อจะฟ้องทางการ ก็รักษาหน้านิ่งไม่ไหวอีกต่อไป พลันห้ามขั้นมาทันที
เจียงอีตะลึงตกใจด้วยอีกคน พลางดึงมือเจียงซื่อ “น้องสี่ จะไปฟ้องทางการได้อย่างไร”
ไฟในอย่านำออกไฟนอกอย่านำเข้า นี่คือความคิดของคนส่วนมาก โดยเฉพาะกับเจียงอีที่เป็นลูกสะใภ้ เป็นภรรยา แน่นอนว่าจัดการกันภายในนั้นดีที่สุด
ฟ้องทางการ? นี่คือสิ่งที่ไม่กล้าแม้แต่จะคิด
เจียงซื่อยิ้มขออภัย “แต่ว่าข้าส่งอาหมานไปฟ้องทางการแล้ว”
เจียงอีตะลึงพลางมองดูรอบๆ ไม่เห็นเงาของอาหมานแล้วจริงๆ
“น้องสี่ เจ้าให้อาหมานไปฟ้องทางการแล้วจริงๆ หรือ” เจียงอีไม่กล้าเชื่อว่าเจียงซื่อจะกล้าทำเช่นนี้
เจียงซื่อทำลายความหวังของเจียงอีจนหมดด้วยการผงกศีรษะ “เจ้าค่ะ ข้าได้ยินว่าใต้เท้าเจินแห่งศาลาว่าการพระนครไขคดีได้เสมอ ข้าจึงเชิญเขามาช่วยสืบเสียหน่อย แล้วเดี๋ยวความจริงจะต้องปรากฏเป็นแน่ ถ้าเช่นนั้น พี่เขยก็ไม่ต้องเสียแรงตรวจสอบแล้ว พี่เขยคิดว่าอย่างไรเจ้าคะ”
จูจื่ออวี้เสียหน้ามาก ถึงแม้ไม่เอ่ยคำใด แต่ภายในใจนั้นโกรธไม่น้อย แววตาที่ลุ่มลึกจับจ้องอยู่ที่เจียงอี
ภายใต้แววตานี้ เจียงอีรู้สึกทำอะไรไม่ถูก แต่ยังปกป้องเจียงซื่อและกล่าว “ท่านพี่ น้องสี่ยังเล็ก ไม่รู้เรื่องอะไร…”
จูจื่ออวี้หน้าดำทะมึนไม่เอ่ยคำใด
เรื่องของจวนจูถูกฟ้องไปถึงทางการโดยไม่ผ่านการอนุญาตจากเขา เพียงคำว่า ‘ไม่รู้เรื่องอะไร’ ก็สามารถปล่อยไปได้เลยอย่างนั้นหรือ
เจียงซื่อกะพริบตาปริบๆ แววตาทั้งไร้เดียงสาและสงสัย “พี่ใหญ่ วันนี้พวกเราเกือบได้รับอันตรายถึงชีวิต การที่ข้าขอใต้เท้าเจินมาตรวจดูเสียหน่อยเป็นเรื่องที่ควรทำมิใช่หรือ หรือว่าศักดิ์ศรีและหน้าตานั้นสำคัญกว่าชีวิตของพี่กับข้า พี่เขยเจ้าคะ ท่านคงมิได้คิดเช่นนั้นหรอกใช่ไหม”
จูจื่ออวี้ยิ้มฝืนออกมาหนึ่งที “ไม่คิดเช่นนั้นแน่นอน แต่เรื่องนี้ ทั้งๆ ที่จัดการภายในได้ เหตุไฉนถึงต้องฟ้องถึงทางการให้เป็นเรื่องน่าอายเล่า”
เมื่อถูกเจียงซื่อพูดจนมุมถึงเพียงนี้ จูจื่ออวี้มีไฟลุกอยู่เต็มทรวงอกแต่ไม่กลับระบายออกมาไม่ได้
เจียงซื่อยิ้มและกล่าว “พี่เขยเป็นคนมีการศึกษา น่าจะเคยได้ยินคำพูดของนักปราชญ์ ‘แต่ละคนมีด้านที่เก่งไม่เหมือนกัน’ พี่เขยต้องการจัดการเรื่องนี้กันภายในนับว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าตรวจสอบแล้วไม่พบสิ่งใดล่ะ? ถึงเวลานั้น ค่อยเชิญเจ้าหน้าที่ทางการเข้ามามีส่วนร่วม ถ้าเช่นนั้นเขาก็พลาดช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดไปแล้วมิใช่หรือ พี่เขยเป็นห่วงพี่ใหญ่เช่นนี้ คงไม่อาจทนเห็นคนที่ทำร้ายพี่ใหญ่อยู่อย่างสบายใจเหนือกฎหมายหรอกกระมัง”
จูจื่ออวี้ถูกถามจนทำได้เพียงยิ้มอย่างขมขื่น
“พี่ใหญ่เจ้าคะ นั่งรถข้ากลับไปดีกว่า” เจียงซื่อดึงเจียงอีเบาๆ
เจียงอีหันหน้ามองจูจื่ออวี้อย่างอดไม่ได้
“ออกจากที่นี่ก่อนเถอะ” สีหน้าของจูจื่ออวี้เต็มไปด้วยความจนใจ
ความลำบากใจของจูจื่ออวี้ทำให้เจียงอียิ่งรู้สึกอับอายขายหน้า
การที่นางออกมาถวายธูปเทียน แม่สามีก็ไม่ปลื้มใจอยู่แล้ว ตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้นอีก หลังจากกลับไปยังไม่รู้เลยว่าจะรายงานอย่างไร
เจียงซื่อแอบถอนหายใจ พลางดึงเจียงอีขึ้นรถม้าที่เช่ามา
นางเปิดม่านออก พร้อมกับยื่นใบหน้าอันงดงามออกมา “เหล่าฉิน บังคับให้นิ่งหน่อยนะ”
คำพูดนี้มีนัยแฝง เหล่าฉินนั้นเข้าใจเป็นอย่างดี จึงตอบกลับเสียงดัง “คุณหนูวางใจได้ จะขับให้นิ่งที่สุดอย่างแน่นอนขอรับ”
สายตาที่มองดูรถม้าคันเล็กเตี้ยเริ่มขยับช้าๆ แววตาของจูจื่ออวี้นิ่งสงบอยู่กับที่ไปครู่หนึ่ง แล้วถึงตะคอกใส่สาวรับใช้สองคนที่ถูกทิ้งไว้ “ยังไม่ขึ้นรถม้าอีก!”
อาหยากับอาจูไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่คำเดียว พลางปีนป่ายขึ้นไปยังรถม้าจวนจูริมถนนที่ใกล้จะแยกชิ้นส่วนออกจากกันอย่างกล้าๆ กลัวๆ
จูจื่ออวี้พลิกตัวกระโดดขึ้นบนหลังม้า แล้วขี่ตามหลังอยู่ข้างๆ รถม้าของสองพี่น้อง บนใบหน้าไม่มีสีหน้าใดจึงมองไม่ออกว่าคิดสิ่งใดอยู่
เจียงซื่อสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่หม่นหมองของเจียงอี หลังจากขึ้นรถม้าก็เงียบไปพักใหญ่
“พี่ใหญ่โกรธข้ารึ” เจียงซื่อไม่กลัวสิ่งใด นางกลัวแต่ในช่วงเวลาสำคัญ พี่ใหญ่จะเลือกอยู่ข้างเดียวกับจูจื่ออวี้และอยู่ห่างจากนาง
เจียงอียิ้มอย่างขมขื่นและถอนหายใจ นางยกมือขึ้นลูบผมที่ดำเงางามของเจียงซื่อ “พี่ใหญ่จะโกรธเจ้าลงได้อย่างไรกัน เพียงแค่เรื่องในวันนี้ น้องสี่ใจร้อนมากไปสักหน่อย ไม่ว่าเรื่องอะไรหากรู้ไปถึงทางการจะจบลงยาก”
“พี่ใหญ่ยังจำเรื่องของจวนหย่งชังปั๋วได้อยู่หรือไม่”
เจียงอีนิ่งไปครู่หนึ่งถึงพยักหน้า “จะจำไม่ได้ได้อย่างไรเล่า”
จวนหย่งชังปั๋วกับจวนตงผิงปั๋วเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงกันมาหลายปี สำหรับนางแล้ว สองสามีหย่งชังปั๋วก็เป็นผู้อาวุโสที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี เมื่อนึกถึงความโชคร้ายที่พวกท่านประสบ เจียงอีก็จะรู้สึกแย่ขึ้นมา
“พี่ใหญ่ลองคิดดู ในตอนนั้น หากว่าจวนหย่งชังปั๋วเลือกที่จะไม่ฟ้องทางการ สุดท้ายแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าฆาตกรคือแม่ครัวที่เกลียดชังหย่งชังปั๋วเป็นสิบปีเพราะความเข้าใจผิด หย่งชังปั๋วก็ต้องลงเอยด้วยการเป็นภาวะซึมเศร้าจากการฆ่าภรรยาจนตาย และเรื่องนี้ก็จะกลายเป็นความเจ็บปวดที่อยู่ภายในใจของพี่น้องตระกูลเซี่ยไปตลอดกาล”
ซึ่งเมื่อเทียบกับบิดาที่ฆ่ามารดาด้วยมือของเขาเอง ผลสรุปสุดท้ายก็เป็นที่ยอมรับได้มากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้ว่าเจียงอีเห็นด้วยกับคำพูดของเจียงซื่อ แต่นางก็ยังส่ายหัว “เรื่องของวันนี้จะเหมือนกับเรื่องของจวนหย่งชังปั๋วได้อย่าง…”
เจียงซื่อกุมมือเจียงอีแน่น “พี่ใหญ่เจ้าคะ มีคนคิดจะทำร้ายพี่นะ พี่นึกถึงเยียนๆ ด้วยสิเจ้าคะ”
เจียงอีพลันตัวสั่น
สตรีที่เป็นมารดาล้วนแข็งแกร่ง เยียนๆ เป็นจุดอ่อนของนางอย่างไม่ต้องสงสัย และเป็นต้นตอของความกล้าด้วยเช่นกัน หากว่ามีคนจะทำร้ายนางจริงๆ การถูกแม่สามีตำหนิต่อว่า ก็ยังดีกว่าเกิดเรื่องแล้วบุตรสาวของคนไร้คนพึ่งพา
“แต่ถ้าทางการตรวจไม่พบสิ่งใดเลยล่ะ”
เมื่อได้ยินเจียงอีถามเช่นนี้ เจียงซื่อถึงกับโล่งอก หากพี่ใหญ่พูดเช่นนี้แล้ว อย่างน้อยก็ไม่ตีตัวออกห่างกับนางเพราะเรื่องนี้
“ถึงตรวจสอบแล้วแต่ไม่พบ อย่างน้อยก็เป็นการส่งเสียงเตือนให้กับคนที่ต้องการทำร้ายพี่ใหญ่ ให้เขาได้รู้ว่าคนจวนตงผิงปั๋วอย่างพวกเรา ไม่ได้เป็นลูกพลับนุ่มนิ่มที่จะยอมให้ใครบีบขยี้ง่ายๆ”
เจียงอีถอนหายใจเบาๆ พลางพิงกับกำแพงรถม้าอย่างเหน็ดเหนื่อยและไม่เอ่ยคำใดอีก เริ่มจากศาลาในวัด ตามมาด้วยม้าตื่นตกใจ อุบัติเหตุเกิดขึ้นติดต่อกันถึงเพียงนี้ ช่างรู้สึกเหนื่อยจริงๆ
ภายในรถม้าเงียบสงบตลอดทางจนเข้ามาถึงในเมือง
เสียงจากภายนอกดังขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เป็นเสียงหัวเราะพูดคุยของผู้คนบนถนน เสียงตะโกนของพ่อค้าที่เดินอยู่บนถนนและเสียงเอี๊ยดของรถม้า มาบรรจบรวมกันเป็นภาพแห่งความรุ่งเรือง
เจียงซื่อไม่มีใจชื่นชมสิ่งเหล่านี้ จึงนั่งคิดสิ่งที่จะทำต่อไปอย่างเงียบๆ
รถม้าพลันนิ่ง ตามมาด้วยเสียงกรีดร้อง
“เหล่าฉิน ข้างนอกนั่นเกิดอะไรขึ้นรึ”
อีกด้านหนึ่งของผ้าม่านกั้นประตูรถม้า มีเสียงเรียบๆ ของเหล่าฉินดังเข้ามา “มีสตรีคนหนึ่งพุ่งออกมากะทันหัน จนเกือบชนม้าของคุณชายจูขอรับ”
เจียงอีพลันเบิกตาโตพร้อมกับเปิดม่านและมองออกไป
จูจื่ออวี้ลงจากม้าแล้ว พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน “แม่นางเป็นอะไรหรือไม่”
หญิงสาวดึงแขนเสื้อจูจื่ออวี้แน่นราวกับได้เจอที่พึ่งสุดท้าย และเอ่ยตอบเสียงหอบ “คุณ คุณชาย ช่วยข้าด้วย…”
จูจื่ออวี้หันกลับไปมองรถม้าและสบตากับเจียงอี สีหน้าเต็มไปด้วยความทำอะไรไม่ถูกและจนใจ
เจียงอีจัดเสื้อตามจิตสำนึก จากนั้นลงจากรถม้าเดินมาอยู่ข้างๆ จูจื่ออวี้ พร้อมกับเอ่ยถาม “เกิดสิ่งใดขึ้นหรือเจ้าคะท่านพี่”
เวลานี้ มีเสียงตะโกนดังขึ้นเป็นพักๆ “หลีกไปๆ!”
แล้วบุรุษร่างใหญ่สองคนก็ฝ่าฝูงชนที่ขวางทางออกแล้วเดินเข้ามาจับตัวหญิงสาวและจากไป ปากยังด่าทอ “เจ้ายังกล้าหนี? เจ้านี่มันกล้าพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินจริงๆ นะ!”
หญิงสาวจับแขนเสื้อจูจื่ออวี้ไม่ยอมปล่อยพร้อมกับร้องขอให้ช่วย “คุณชายช่วยข้าด้วย…”
จูจื่ออวี้ขมวดคิ้ว ไม่มีทีท่าอื่นใด
“ยังกล้าขอความช่วยเหลืออีก? ข้าว่าเจ้านี่มันไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา!” ชายร่างใหญ่คนหนึ่งยกมือขึ้นฟาดใส่หญิงสาวหนึ่งที
หญิงสาวที่ถูกตบจนล้มไป คลานเข้าไปกอดขาเจียงอีอย่างหมดแรง นางเงยหน้าขึ้นแล้วร้องขอความช่วยเหลือ “ฮูหยินเจ้าคะ ได้โปรดช่วยข้าด้วย ข้ายอมเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ท่าน…”