บทที่ 227 ลงโทษ
ครั้งนี้ที่ฮ่องเต้เสด็จออกนอกวังพร้อมกับเซวียนผิงโหว เพราะพวกเขามีจุดประสงค์ร่วมกัน รวมถึงท่านเหล่าโหวด้วย เดิมพวกเขาทั้งสามนัดกันไว้แล้วอย่างดี

เพียงแต่ดันเกิดเรื่องเสียก่อน

จากนั้นพวกเขาก็เข้าไปยัง… โรงงิ้ว

ใช่แล้ว โรงงิ้ว

ทุกคนต่างรู้กันว่าเซวียนผิงโหวมักจะมาเยือนที่นี่อยู่บ่อยๆ แต่ไม่มีใครรู้เลยว่านี่เป็นหนึ่งในธุรกิจของเขา

ทั้งสามคนเข้าไปยังห้องรับรอง จากนั้นมีบ่าวมาปิดประตูให้

ฮ่องเต้ยังคงรู้สึกเจ็บเจียนตายที่แผล พอเขาได้นั่งลง ก็เอ่ยถามเรื่องราวอย่างไม่สบอารมณ์ “ขอสั้นๆ ซิ เรื่องราวมันเป็นยังไง!”

ท่านเหล่าโหวไม่กล้าเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ เขาถวายบังคมให้ ก่อนเอ่ยตอบ “ทูลฝ่าบาท พอข่าวที่กระหม่อมกลับมายังเมืองหลวงได้ถูกแพร่สะพัดออกไป ไม่ว่ากระหม่อมจะไปที่ใดมักจะมีคนคอยสะกดรอยตามตลอดพ่ะย่ะค่ะ”

“พวกตระกูลจวงรึ” ฮ่องเต้เอ่ยถาม

เซวียนผิงโหวคว้าเมล็ดทานตะวันขึ้นมาแทะ

ฮ่องเต้เลยจ้องเขม็งไปที่เขา

“เฮ้อ” ให้กินแค่นี้ก็ไม่ได้ ดูท่าฝ่าบาทคงทรงกริ้วจริงๆ เซวียนผิงโหวทำได้แค่วางเมล็ดทานตะวันกลับที่เดิม

ท่านเหล่าโหวพยักหน้า “ใช่แล้วขอรับ วันนี้กระหม่อมเดินทางไปที่วัด อันจวิ้นอ๋องก็สะกดรอยตามกระหม่อมมาขอรับ”

ฮ่องเต้เลิกคิ้ว “ถึงกับออกโรงเองเลยรึ”

ส่วนท่านเหล่าโหวไม่ได้มองว่านี่เป็นเรื่องแปลกใหม่อะไร “กระหม่อมรู้จักทหารคนสนิทของเขา เขาก็เลยออกโรงเองกระมังขอรับ”

ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรู้ได้ว่าอันจวิ้นอ๋องตามเขามา เพราะตลอดทางไม่มีอะไรผิดปกติเลย แต่มารู้อีกทีคือตอนที่อันจวิ้นอ๋องขึ้นรถม้าก่อนเขา ถึงได้เห็นว่าอันจวิ้นอ๋องตามเขามา

ส่วนสาเหตุที่แท้จริงนั้น ท่านเหล่าโหวเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

สีหน้าของฮ่องเต้เริ่มเคร่งขรึมและจริงจังมากขึ้น “ไทเฮาล่ะ มีใครเป็นหูเป็นตาให้บ้าง”

ท่านเหล่าโหวเอ่ยตอบ “กระหม่อมมองว่า…ตอนนี้ไทเฮาน่าจะอยู่ในเมืองหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ขมวดคิ้วจนเป็นปม “เหตุใดจึงพูดเช่นนี้”

ท่านเหล่าโหวอธิบาย “แม้พวกตระกูลจวงจะยังทำเป็นตามหาไทเฮาอยู่ แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่รีบร้อนเท่าแต่ก่อนแล้ว อีกทั้งในตอนแรกที่อันจวิ้นอ๋องเดินทางออกจากเมืองหลวง แม้เขาจะบอกว่าแค่เดินทางเป็นเพื่อนน้องสาว แต่เป้าหมายที่แท้จริงก็คือการตามหาไทเฮา จากนั้นเขาก็ใช้วิธีขอกลับเมืองหลวงในนามผู้เข้าสอบ…กระหม่อมขอทูลอย่างตรงๆ ไม่อ้อมค้อมนะขอรับ กระหม่อมมองว่าอันจวิ้นอ๋องยังเด็กนัก เขาไม่มีทางล้มเลิกการตามหาไทเฮาเพียงเพื่อจะสอบเคอจวี่แน่นอน”

ฮ่องเต้นิ่งไปพักหนึ่ง คิดว่าที่ท่านเหล่าโหวพูดมาก็ดูมีเหตุผล “ที่เจ้าเห็นว่าเขากลับเมืองหลวง ก็เพราะเขาเจอไทเฮาแล้วใช่ไหม แต่ในเมื่อเจอแล้ว เหตุใดถึงไม่พากลับวังเล่า”

ในเมื่อไทเฮากลับเมืองหลวงแล้ว คนที่ควรจะกลัวที่สุดคงหนีไม่พ้นฮ่องเต้ ตระกูลจวงถือไพ่เหนือไว้ในมือแล้วแต่กลับไม่เล่น พวกเขามีแผนอะไรซ่อนอยู่สินะ

ท่านเหล่าโหวทำหน้าครุ่นคิด “คือว่า…กระหม่อมเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน หรือว่าจะเป็นเพราะ…โรคเรื้อนของไทเฮายังรักษาไม่หาย พวกเขาก็เลยแอบรักษาให้อยู่ก็เป็นได้นะขอรับ”

ไทเฮาผู้เป็นโรคเรื้อน ไม่แปลกที่จะถูกใครต่อใครรังเกียจเหยียดหยาม ตอนนั้นพวกเขาเองยังนึกดีใจอยู่เลยว่าโอกาสที่จะล้มไทเฮามาถึงแล้ว แต่ใครจะไปคิดละว่าอยู่ๆ นางจะหลบหนีออกไปได้

หากพวกเขาแพร่งพรายออกไปว่าไทเฮาหนีออกจากวัง ราชครูจวงคงมีสิทธิ์กล่าวหาพวกเขาว่าสมคมคิดประทุษร้ายไทเฮาได้

พวกเขาไม่ยอมเสี่ยง ก็เลยต้องอ้างว่าไทเฮาทรงพระประชวรอย่างกะทันหันและเสด็จไปที่สถานพักฟื้น

หลังจากนั้น พวกตระกูลจวงก็พบว่าไทเฮาเป็นโรคเรื้อน และหลบหนีออกไป

พวกเขาเองก็กลัวว่าหากข่าวนี้เล็ดรอดออกไปจะเป็นการทำลายชื่อเสียงของไทเฮา ก็เลยต้องเก็บเงียบไว้ แล้วแอบตามหาไทเฮาอยู่ลับๆ

แม้ต่างฝ่ายต่างได้รับความสมดุล

แต่ความสมดุลนี้ เกรงว่าสักวันคงถูกทำลายลง

หากพวกเขาตามหาไทเฮาจนเจอ และรักษานางจนหายกลับไปเป็นปกติ เช่นนั้น ความสมดุลที่ว่าก็คงใกล้จะหายเข้าไปทุกที

ด้วยความที่จากโรงหมอไปยังสำนักชีค่อนข้างไกล แถมยังเจอเรื่องระหว่างทางอีก พอกู้เจียวกลับมายังตรอกปี้สุ่ย รู้ตัวอีกทีก็เป็นเวลาโพล้เพล้แล้ว

แสงตะวันอันสวยงามบนขอบฟ้าตกลงมาบนผนังสีแดงและกระเบื้องสีเขียว สาดแสงสีส้มอันอบอุ่น

กู้เจียวรู้สึกราวกับตัวเองได้กลับมาที่บ้านจริงๆ

ความรู้สึกเช่นนี้ หากเป็นชาติก่อน กู้เจียวแทบไม่เคยได้สัมผัส

วันที่นางอาศัยอยู่กับพ่อแม่ของนางช่างน้อยนิด ว่างเปล่า เย็นชา ไม่มีความอบอุ่นจากบ้านเลยแม้แต่น้อย

บ้านหรือ ก็แค่ที่พักอาศัยเท่านั้น

แต่ในเวลานี้ กู้เจียวได้พบเจอกับความรู้สึกอันแปลกใหม่นี้เข้าแล้ว

หลังจากวันที่วุ่นวาย ในที่สุดก็ได้กลับมายังบ้าน และพบเจอกับสมาชิกในบ้านเสียที

ไม่ใช่ว่ากู้เจียวไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เพียงแต่เหนื่อยจนชินไปเอง ไม่มีใครเข้ามาปลอบโยนอะไรได้อยู่แล้ว และกู้เจียวก็ไม่อยากได้รับความสงสารเห็นใจจากใครด้วย

“เจียวเจียว!”

เสียงเรียกเจื้อยแจ้วของเสี่ยวจิ้งคงทำลายความคิดของกู้เจียวไปชั่วขณะ

เสี่ยวจิ้งคงนั่งรอกู้เจียวที่หน้าประตูอีกแล้ว

เมื่อตอนเช้ายังหกล้มร้องไห้งอแงอยู่เลย พอมาตอนนี้กลับมีแรงวิ่งแล้วเสียอย่างงั้น จากนั้นก็วิ่งเข้ามาสวมกอดกู้เจียว

กู้เจียวครั้นทำท่ากำลังจะอุ้มเขาขึ้นมา เสี่ยวจิ้งคงกลับส่ายหัว พลางเอ่ย “ไม่เอา ไม่เอา วันนี้เจียวเจียวเหนื่อยมากแล้ว”

เขาไม่ยอมให้กอด แต่เปลี่ยนเป็นจับมือแทน

“ยังเจ็บอยู่ไหม” กู้เจียวก้มลงแล้วยืดขาสั้นป้อมให้เขา

เสี่ยวจิ้งคงส่ายหัว “ข้าไม่เจ็บแล้ว!”

ที่จริง เสี่ยวจิ้งคงยังรู้สึกเจ็บอยู่บ้าง แต่เขาไม่อยากทำให้กู้เจียวลำบากใจ เลยตอบไปอย่างนั้นเอง

“ท่านพี่!” กู้เสี่ยวซุ่นพอได้ยินเสียงดังจากหน้าเรือน ก็วางงานไม้ในมือลงแล้วรีบวิ่งออกมาช่วยกู้เจียวถือตะกร้า “มา ข้าช่วยเอง!”

กู้เสี่ยวซุ่นแบกตะกร้าของกู้เจียวแล้วเอาไปวางไว้ที่ห้องของนาง

ส่วนกู้เหยี่ยนกำลังง่วนอยู่กับการตักมูลไก่ ด้วยความที่เขาไม่ได้ว่างเหมือนเสี่ยวจิ้งคง และไม่ได้เร็วเหมือนเสี่ยวซุ่น ก็เลยได้เจอกู้เจียวช้ากว่าใครเพื่อน ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยรอยเปื้อนดำๆ

กู้เจียวหัวเราะกับท่าทางของเขา

กู้เหยี่ยนเบือนหน้าหนี

กู้เจียวเลยเข้าไปโอ๋เขา

คนอื่นอาจง้อกู้เหยี่ยนได้ยาก แต่พอเป็นกู้เจียว แค่นางเข้าไปคว้ามือของเขามาจูงก็หายโกรธแล้ว

แม่นางเหยาออกมาจากครัวพร้อมกับขนมนึ่งที่เพิ่งทำสดๆ ใหม่ๆ เมื่อเห็นบุตรสาวกลับมาที่เรือนแล้ว ดวงตาของแม่นางเหยาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “เจียวเจียวกลับมาแล้ว ข้าเพิ่งทำขนมเสร็จ เสี่ยวจิ้งคงไปดูทีว่าท่านย่าตื่นหรือยัง”

“ได้เลย!” เสี่ยวจิ้งคงชอบไปที่ห้องหญิงชรา และเขามักจะพบบางสิ่งบางอย่างที่แปลกใหม่ และนั่นทำให้เขารู้สึกสนุกและพอใจเป็นอย่างมาก!

เสี่ยวจิ้งคงวิ่งไปที่ห้องของหญิงชรา

นางกำลังกอดขวดโหลใส่ผลไม้อบแห้ง และกินมันอย่างเพลิดเพลิน

ส่วนจี้จิ่วอาวุโสที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามได้แต่มองนางกินมาแล้วทั้งบ่าย

กินเก่งอะไรปานนี้

ฮ่องเต้องค์ก่อนปล่อยท่านให้อดอยากหรืออย่างไร

“ท่านย่า!” เสี่ยวจิ้งคงวิ่งเข้ามาหา!

หญิงชราเมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบยัดขวดโหลให้จี้จิ่วอาวุโสถือแทน

จี้จิ่วอาวุโสที่จู่ๆ ก็ได้ขวดโหลมาอย่างไม่รู้ตัว “…”

พลางนึกในใจ ที่เจ้าให้ข้ามาเฝ้าทั้งบ่ายก็เพื่อเรื่องนี้ใช่ไหม

จี้จิ่วอาวุโสไม่อยากซวยไปด้วย เขาจึงรีบคืนขวดโหลให้หญิงชรา

พอเสี่ยวจิ้งคงเปิดประตูเข้ามาในห้อง เห็นจังหวะที่จี้จิ่วอาวุโสกำลังยื่นขวดโหลให้หญิงชรา ส่วนหญิงชรานั่งกอดอกแน่นพลางทำหน้าปฏิเสธ

หญิงชราทำเสียงฮึดฮัด “ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่าไม่กิน ต่อให้บังคับกันก็ไร้ประโยชน์น่า!”

จี้จิ่วอาวุโส “…”

แล้วผลไม้อบแห้งครึ่งโหลที่หายไป ผีกินเข้าไปหรืออย่างไร

ช่วยทำตัวให้เหมือนไทเฮาจอมโหดหน่อยได้ไหม

จี้จิ่วอาวุโสถอนหายใจ

ไม่แปลกเลยที่อาเหิงไว้ใจให้ไทเฮามาอยู่นี่ เพราะไทเฮาในตอนนี้แทบไม่ได้มีพิษสงใดๆ เลย

ลำบากหน่อยนะ

ทุกวันนี้ ทั้งโดนขโมยเงินเอย โดยด่าเอย มันช่างลำบากใจเสียจริง!

พอหลังจากที่อันจวิ้นอ๋องแยกย้ายกับกู้เจียวแล้ว เขาก็รีบมุ่งหน้าไปยังโรงหมอและสั่งซื้อยาห้ามเลือดจำนวนหนึ่ง

วันนี้ดันเผลอทำนางโกรธจนได้ เลยต้องมาใช้บริการโรงหมอของนางเป็นการตอบแทนเสียหน่อย

พอซื้อเสร็จก็นั่งรถม้ากลับวัง

ราชครูจวงรอเขาอยู่ที่นั่นแล้ว

ราชครูจวงมัวแต่พะวงเรื่องไทเฮามาโดยตลอด ใบหน้าของเขาจึงดูซูบเซียวลง

“ท่านปู่” อันจวิ้นอ๋องเดินเข้ามา คำนับให้เขา

“ทำไมกลับมาดึกนักล่ะ สะกดรอยตามทั้งวันเลยรึ” ราชครูจวงพูดถามอย่างใจเย็น

อันจวิ้นอ๋องเบือนหน้า “ไม่ขอรับ ระหว่างทางข้ามีแวะซื้อของด้วย”

ราชครูจวงหลับตาลง สูดหายใจลึก ก่อนจะถามต่อ “มีอะไรผิดสังเกตบ้างไหม”

“เขาเดินทางไปยังสะพานแขวนที่เพิ่งซ่อมแซมเสร็จ น่าจะไปดูความเรียบร้อยมากกว่าขอรับ” อันจวิ้นอ๋องตอบ

สะพานแขวนเดิมอยู่ในความรับผิดชอบของท่านโหวกู้ แต่ได้ข่าวว่าท่านโหวกู้ถูกท่านเหล่าโหวเล่นงานถึงขั้นต้องพักฟื้น ท่านเหล่าโหวจึงมาตรวจงานให้แทน

แต่ความที่ท่านเหล่าโหวเป็นคนเก่าแก่ผู้ชำนาญการ เขาก้าวเท้าหนึ่งเก้าเพื่อคำนวณอีกสิบก้าวที่เหลือที่ยังไม้ได้ก้าวต่อ

ราชครูจวงเริ่มสงสัยว่าที่ท่านเหล่าโหวรังแกท่านโหวกู้นั้นมิใช่เรื่องบังเอิญ เพื่อที่เขาจะได้ออกมาสังเกตุการณ์ได้ง่ายขึ้น

ด้วยความที่งานของกรมโยธากระจายอยู่ทั่วเมืองหลวง ดังนั้น หากท่านเหล่าโหวจะไปปรากฏกายที่ไหน ก็คงไม่มีใครนึกสงสัยได้

คนอื่นอาจไม่สงสัย แต่ราชครูจวงสงสัย

ราชครูจวงเลิกคิ้วถามต่อ “แค่ไปดูสะพานแขวนแค่นั้นรึ ไม่มีเรื่องอื่นแล้วรึ เช่น ไปเจอใครมา เจอเรื่องอะไรมา”

ท่านเหล่าโหวบังเอิญเจอกับจิ้งไท่เฟย…และกู้เจียว

อันจวิ้นอ๋องเอามือซ่อนไว้ในแขนเสื้ออย่างแนบเนียน ก่อนเอ่ยตอบ “เขาเดินเล่นรอบๆ วัด ข้าไม่เห็นว่าเขาจะเจอกับใครนะขอรับ”

ราชครูจวงลูบหนวดตัวเอง ทำหน้าครุ่นคิด “น่าแปลก หรือว่าเขาจะไปตรวจสะพานจริงๆ ”

อันจวิ้นอ๋องเบือนหน้าลง

ไม่พูดอะไร

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเลือกที่จะโกหกท่านปู่

อันจวิ้นอ๋องเป็นเด็กดีมาโดยตลอด ถูกส่งไปอยู่แคว้นเฉินตั้งแต่แปดขวบ แทบไม่เคยบ่นอะไรซักคำ ราชครูจวงเองก็ไม่ได้สงสัยว่าอันจวิ้นอ๋องจะโกหกเขา

ราชครูจวงโบกมือให้เขา “เจ้าออกไปเถิด ท่านเหล่าโหวเป็นคนระแวดระวังมาก วันนี้ที่ส่งเจ้าไปสอดแนมเขา ข้าว่าเขาคงรู้แล้วล่ะ ครั้งหน้าเจ้าไม่ต้องไปแล้ว ข้าจะส่งคนอื่นไปแทน”

“ขอรับ”

อันจวิ้นอ๋องถวายบังคมลา แล้วเดินออกไป

“ท่านพี่!”

ขณะที่เขาเดินผ่านสวน จู่ๆ จวงเย่ว์ซีโผล่ออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่

“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร” อันจวิ้นอ๋องมองนาง ก่อนจะมองไปรอบๆ

จวงเย่ว์ซีพยายามส่งสายตากระพริบปริบๆ “ข้าก็มารอท่านพี่อย่างไรเล่าเจ้าคะ”

“ข้าเหนื่อยแล้ว ขอกลับตำหนักก่อน” อันจวิ้นอ๋องพูดด้วยเสียงเหนื่อยล้า เอ่ยจบก็เดินผ่านจวงเย่ว์ซีไป

จวงเย่ว์ซีมองตามเขาไป ก่อนจะวิ่งเข้าไปใกล้ๆ “ทำไมท่านพี่ถึงไม่พูดความจริงละเจ้าคะ”

อันจวิ้นอ๋องหยุดฝีก้าวลง หันมามองน้องสาวตัวเองด้วยสายตาประหลาดใจ

จวงเย่ว์ซีทำหน้าไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น พลางเอ่ยต่อ “เห็นๆ อยู่ว่าท่านพี่เจอท่านเหล่าโหวกับ…”

“หุบปาก!” อันจวิ้นอ๋องขึ้นเสียง

จวงเย่ว์ซีถึงกับนิ่งไป

อันจวิ้นอ๋อง ชายหนุ่มผู้มีภาพลักษณ์อ่อนโยนสุภาพมาโดยตลอด

แทบไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาทำเสียงแบบนี้เลย

“เจ้า… สะกดรอยตามข้ารึ” น้ำเสียงของอันจวิ้นอ๋องทั้งเย็นชาและดุดัน

แม้การที่เขาเป็นแบบนี้จะดูแปลกไปบ้าง แต่ความจริงแล้ว นี่แหละคือตัวตนที่แท้จริงของเขา ผู้ที่อยู่เอาตัวรอดในแคว้นเฉินดินแดนที่เต็มไปด้วยผู้คนที่มีแต่แผนการสลับซับซ้อนและหวังแต่จะชิงดีชิงเด่นกัน

“ข้าเปล่านะเจ้าคะ” จวงเย่ว์ซีรู้สึกกลัวกับมุมนี้ของอันจวิ้นอ๋อง รีบส่ายหัวปฏิเสธ “วันนี้ข้าไม่มีเรียน เมิ่งเตี๋ยเลยพาข้าไปไหว้พระ ถ้าท่านพี่ไม่เชื่อก็ไปถามนางได้เลย”

“นางก็เห็นข้าด้วยรึ”

“นางไม่เห็น”

คนอย่างจวงเมิ่งเตี๋ยเอาแต่ห่วงกินอาหารวัดอยู่ลูกเดียว

“ถ้าเจ้าจะบอกท่านปู่ เจ้าก็ไปบอกสิ” อันจวิ้นอ๋องหมดแรงจะพูดต่อ แล้วเดินออกไป

จวงเย่ว์ซีรู้สึกเจ็บในหัวใจ

นางไม่เอาไปบอกท่านปู่อยู่แล้ว

นางทนดูพี่ชายตัวเองโดนทำโทษไม่ลงหรอก

แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องโกหกด้วย หรือเขากลัวว่าจะลากหญิงคนนั้นมาลำบากด้วย

เป็นเพราะนางสินะ นางทำให้ท่านพี่เปลี่ยนไป

ท่านพี่เริ่มพูดโกหกกับท่านปู่ ดุด่าว่านาง เปลี่ยนไปเป็นคนละคน

เป็นเพราะนางผู้นั้นคนเดียว!

จวงเย่ว์ซีกำหมัดแน่น

ท้ายที่สุด ท่านเหล่าโหวก็ถูกลงทัณฑ์จนได้

แม้เขาจะไม่ได้ตั้งใจทำร้ายฮ่องเต้ แต่เขาจงใจทำร้ายหมอเทวดา

เป็นเพราะฮ่องเต้รู้สึกถึงความเจ็บปวดของแส้ ทำให้เขานึกภาพออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหมอเทวดาโดนแส้นั้นไปด้วย

เซวียนผิงโหวเองก็โดนลงโทษด้วยเช่นกัน

ด้วยความที่ทั้งคู่เป็นชายชาติทหาร ดังนั้นการลงโทษด้วยการเฆี่ยนอาจเบาไปสำหรับพวกเขา ฮ่องเต้จึงสั่งให้พวกเขาคัดตำรายุทธการทหาร

ซึ่งก็เหมือนกับการสั่งให้ราชเลขาโดนโบย เพื่อให้พวกเขาหลาบจำ

ท่านเหล่าโหวคุกเข่ามองดูโต๊ะที่เต็มไปด้วยตำราทหารและพู่กันจนหัวแทบฟู!

ส่วนเซวียนผิงโหวเขวี้ยงพู่กันทิ้งอย่างไม่แยแส

คัดบ้าคัดบออะไรกัน พอกันที!

ออกไปหาลูกชายดีกว่า!