ตอนที่ 545 คนจิตใจละโมบโลภมาก ตอนที่ 546 ฉิจฉา

ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล

ตอนที่ 545 คนจิตใจละโมบโลภมาก

เหมียวซื่อไม่รู้สึกจริงๆ ว่าตนทำผิดอะไร

นางคิดไว้เสร็จสรรพแล้วว่าเมื่อนางทำตามข้อตกลงของคนผู้นั้นเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็จะต้องดีกับเด็กสาวผู้นั้น ปฏิบัติต่อนางอย่างลูกสะใภ้แท้ๆ จะไม่ทำให้เด็กสาวรู้สึกถูกเอาเปรียบโดยเด็ดขาด!

นางเป็นแม่ม่ายคนหนึ่งไม่ใช่หรือ วันๆ เอาแต่ใส่ผ้าผืนบางคลุมหน้า ได้ยินว่าเพราะหน้าเสียโฉม เช่นนั้น…เช่นนั้นก็คงแต่งงานใหม่ไม่ได้เช่นกันแน่ เช่นนั้นบุตรชายของครอบครัวนางก็จะได้สบายหน่อย จัดการสู่ขอนางแต่งเข้าครอบครัว ไม่ถึงขั้นทำให้ครึ่งชีวิตหลังของนางไม่มีคนให้พูดคุยระบายความในใจได้เลยสักคน!

เมื่อเหมียวซื่อคิดเยี่ยงนี้ ความละอายที่อยู่ในใจก็ลดน้อยลงไปมาก

“ท่านแม่ เราต้องอยู่ที่นี่กันกี่วันหรือ ข้าอยากไปทางด้านพี่สะใภ้ใหญ่นั่น” ฮั่วเสี่ยวเฉียวกล่าวขึ้นอีกครั้ง

“พี่สะใภ้ใหญ่เจ้า…เกรงว่าจะเข้ากับพวกเราไม่ได้น่ะสิ” เหมียวซื่อสับสนเล็กน้อยเช่นกัน ไม่รู้ควรทำอย่างไร

นางนึกว่าชาวบ้านเจอเรื่องประเภทนี้ต่างก็ต้องช่วยเหลือพวกนาง อย่างไรเสียพวกนางทั้งครอบครัวก็มองดูน่าสงสารไม่น้อยเช่นกัน ไม่ว่าจะการกินหรือเสื้อผ้าที่สวมใส่ล้วนน่าเวทนาอย่างยิ่ง ซ่งอิงในฐานะลูกสะใภ้จึงไม่ควรหลบไปมองดูอยู่บริเวณหนึ่งเพียงอย่างเดียว

“นางมีสิทธิ์อะไรเข้ากับพวกเราไม่ได้! ท่านแม่ ท่านเป็นแม่สามีแท้ๆ ของนาง! มีลูกสะใภ้ที่ไหนทำเยี่ยงนี้หรือ!” ฮั่วเสี่ยวเฉียวสบถฮึ “ท่านย่าร่างกายไม่แข็งแรง นางหลานสะใภ้คนนี้ก็ควรมาดูแลปรนนิบัติสิ! ตอนนี้กลับกล้าดี ลำพังการให้เด็กคนนี้มาขับไล่พวกเราก็ว่าแย่แล้ว แต่กระทั่งเนื้อหมูก็ยังเสียสละแบ่งพวกเรากินไม่ได้ หมายความว่าอันใดกัน อกตัญญูเห็นๆ พวกเราไปฟ้องร้องนางได้นะเจ้าคะ!”

เหมียวซื่อถอนหายใจ “เจ้าจะรีบร้อนอันใด เจ้าพักก่อนสักสองวัน เราก็บอกกล่าวกับภายนอกว่าให้สาวน้อยผู้นั้นเตรียมๆ ตัว หากอีกสองวันนางยังไม่เพิ่มการดูแลเอาใจใส่เรา ก็ออกจะไม่สมเหตุสมผลไปแล้ว”

“ยังต้องคอยอีกตั้งสองวันหรือ” ฮั่วเสี่ยวเฉียวรู้สึกหงุดหงิดจะแย่

เมื่อก่อนตอนที่หนีความอดยากต้องเป็นเหมือนพวกไร้ศักดิ์ศรีคนหนึ่ง ผู้ใดเห็นล้วนเหมือนเห็นหมาแมวก็ไม่ปาน บัดนี้มาถึงที่นี่แล้วยังต้องเป็นเช่นนี้อีกหรือ!

“ท่านแม่ ข้าไม่ได้กินเนื้อสัตว์มานานมากแล้ว ให้ข้าได้สูดดมก็ยังดีนี่!” ฮั่วเสี่ยวเฉียวพร่ำบ่น ปรายตามองไปยังน้องชายที่อายุสิบกว่าขวบผู้นั้นของตน แล้วกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ท่านดูน้องชายข้า ผอมแห้งจนดูไม่ได้แล้ว ตอนแรกที่หนีความอดยากกันเราก็กินดินกินหญ้า ร่างกายทรุดโทรมหมดแล้ว ตอนนี้น่าจะคิดหาวิธีบำรุงกลับคืนมาได้แล้ว!”

เหมียวซื่อมองไปยังฮั่วผิงแวบหนึ่ง

บุตรชายคนเล็กนั่งยองอยู่ขั้นบันไดหินเล่นมดตรงหน้า

“อาตี้ เจ้าอยากกินเนื้อหมูหรือไม่!” ฮั่วเสี่ยวเฉียวส่งเสียงตะโกนขึ้นมาทันที

ฮั่วผิงได้ยินก็ลุกพรวดขึ้นมาทันใด โยนต้นหญ้าในมือทิ้งไป “อยาก! มีเนื้อหมูให้กินด้วยหรือ!”

“มีสิ!” ฮั่วเสี่ยวเฉียวรีบบอกกล่าว หลังขบคิดก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เจ้าไปหาเด็กคนนั้นที่มาวันนี้ชวนเล่นด้วยกันสิ เจ้าอายุน้อย ถึงอย่างไรพี่สะใภ้ใหญ่ก็คงไม่ขับไล่เจ้าออกมา! ถึงตอนนั้นเขากินอะไรเจ้าก็ได้กินเช่นกัน จากนั้นเอากลับมาให้ข้าหน่อยก็สิ้นเรื่อง!”

เหมียวซื่อได้ยินดังกล่าว ไม่ได้รู้สึกว่าวิธีการนี้จะมีปัญหาอันใด

นางมองออกแล้วว่าคนของหมู่บ้านนี้ค่อนข้างใจกว้างกับเด็กๆ มาก

ลูกชายคนเล็กของนางผู้นี้อายุมากกว่าลูกชายซ่งอิงเพียงไม่กี่ปี และถือเป็นญาติผู้ใหญ่ของหลานหลินผู้นั้นอีกด้วย จะว่าไปแล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะขับไล่ออกมาเช่นกัน

“ได้ ไปเถอะ” เหมียวซื่อพยักหน้า

ฮั่วผิงสนใจอะไรมากขนาดนั้นที่ไหนกัน เพียงแค่ได้ยินว่ามีของดีๆ ให้กินก็วิ่งแจ้นออกไปแล้ว

เพียงแต่เขาไม่รู้จักเส้นทาง เวียนวนอยู่หนึ่งรอบก่อนจะกลับมาอีกครั้ง ฮั่วเสี่ยวเฉียวเห็นดังกล่าว ครุ่นคิดแล้วตัดสินใจว่าจะพาเขาไปด้วยตัวเอง

ด้วยเหตุนี้สองพี่น้องจึงถามทางเพื่อมุ่งหน้าไปบ้านซ่งอิง

ตามจริงชาวบ้านระหว่างทางล้วนไม่อยากแยแสพวกเขา จึงมีสีหน้าไม่ดีและเย็นชาอย่างยิ่ง แต่ฮั่วเสี่ยวเฉียวและฮั่วผิงยังคงมองไม่ออก

“ลำบากแม่นางฮั่วแล้วจริงๆ มีน้องสาวและน้องชายสามีที่ใจละโมบโลภมากเยี่ยงนี้! ดูสีหน้าค่าตาสิ คิดจริงๆ หรือว่าคนอื่นไม่รู้ว่าพวกนางกำลังคิดอะไรอยู่!” ชาวบ้านที่อยู่ด้านหลังยังคงเอ่ยวิพากษ์วิจารณ์

ตอนที่ 546 อิจฉา

แต่เหล่าชาวบ้านพูดก็ส่วนพูด กลับไม่อาจยุ่งมากเกินไปได้ ทำได้เพียงลอบทอดถอนใจและชักสีหน้าใส่พวกฮั่วเสี่ยวเฉียว

ทว่ายังคงไม่อาจขัดขวางฝีก้าวของพวกนางได้

หลังอืดอาดยืดยาดอยู่พักหนึ่งก็มาถึงหน้าประตู

หมูบ้านซิ่งฮวาอากาศดี โดยปกติตอนกลางวันล้วนเปิดประตูบานใหญ่ของลานหน้าบ้านทิ้งเอาไว้ นอกเสียจากไม่มีคนอยู่ในบ้าน

ดังนั้นไม่ต้องเคาะประตูด้วยซ้ำ พวกนางเดินเข้ามาได้โดยตรง ครั้นเหยียบเข้าลานบ้าน มองเห็นสิ่งที่จัดวางอยู่ในลานบ้าน ฮั่วเสี่ยวเฉียวเกือบใจกระดอนออกมาก็ว่าได้

ลานหน้าบ้านแห่งนี้กวางใหญ่มาก บนพื้นปูไว้ด้วยอิฐเทา ต่อให้ฝนตกรองเท้าก็จะไม่เปียกชื้น สองด้านจัดวางของตกแต่งเอาไว้เล็กน้อย มีกระถางดอกเบญจมาศสี่ห้ากระถาง มองดูงดงามไม่น้อยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีต้นดอกเหมยที่ปลูกเอาไว้จำนวนหนึ่ง ไม่ได้ลำต้นหนาและสูงมาก แต่ค่อนข้างมีศิลปะ

พวกเขาไม่รู้เช่นกันว่าความมีศิลปะที่ว่านี้คืออะไร แต่ก็แค่รู้สึกว่าเมื่อเข้ามาในลานบ้านนี้ ราวกับข้างหูเงียบสงัดลงในชั่วพริบตา และลมหายใจถึงกับเปลี่ยนไปจากเดิม

นอกจากนี้…

ด้านหนึ่งของลานบ้านมีคอกสัตว์ที่ใหญ่โตอีกด้วย ซึ่งในนั้นมีลาสีขาวอยู่ตัวหนึ่ง

ลาสีขาวนี่นะ…พบเห็นได้น้อยครั้งจริงๆ หากไม่ใช่เพราะตัวค่อนข้างเตี้ย เกรงว่าพวกเขาจะอดคิดไม่ได้ว่าเป็นม้า

จริงสิ ลานหน้าบ้านแห่งนี้ยังมีต้นไม้ดอกไม้ที่ไม่รู้จักชื่ออีกด้วย ยามนี้เข้าสู่ฤดูหนาวใบไม้จึงร่วงหล่นแล้ว แต่หากเป็นฤดูร้อน ต้องเป็นพุ่มไม้ที่หนาแน่นช่วยบดบังแสดงตะวันและให้ความร่มเย็นได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ก็คือโถงทางเดิน…

แท่นหินริมโถงทางเดินเป็นภาพฉากที่ดูอบอุ่น

พี่สะใภ้ใหญ่ของนางผู้นั้นกำลังก้มหน้าอ่านหนังสือ ด้านข้างมีสาวน้อยสองคน คนหนึ่งโต คนหนึ่งเด็ก ก้มหน้าก้มตาปักดอกไม้ แล้วยังมีหลานหลินผู้นั้นอีกคน โต๊ะขนาดเล็กตัวหนึ่งวางอยู่ตรงหน้า บนโต๊ะมีขนมและหนังสือวางเอาไว้จำนวนหนึ่ง กำลังอ่านออกเสียงอย่างเอาจริงเอาจรัง

ฮั่วเสี่ยวเฉียวเกิดความอิจฉาขึ้นในใจทันทีทันใด

ทำไมนะ

ทำไมซ่งอิงชะตาชีวิตดีเช่นนี้ ได้แต่งงานกับพี่ใหญ่คนดีที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงผู้นั้น ได้ใช้ชีวิตชนิดที่แสนสบายและเป็นอิสระเช่นนี้?!

แล้วนางเล่า ระหกระเหินมาตลอดหนึ่งปีนี้ ร่างกายเสียหายแล้วยังต้องหิวท้องกิ่วอีก!

ถึงขั้นว่าหากมิใช่เพราะมารดานางจู่ๆ ก็เอ่ยปากบอกว่ามีพี่สะใภ้ใหญ่คนหนึ่ง นางก็ไม่รู้เลยว่าตนยังมีญาติที่มีเงินขนาดนี้

ยามนี้แม้อยู่ในระยะค่อนข้างห่าง แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคที่ฮั่วเสี่ยวเฉียวจะสังเกตเห็นใบหน้าซ่งอิงที่ไม่ได้อัปลักษณ์แต่อย่างใด

มารดานางกล่าวว่าบนใบหน้าพี่สะใภ้มีรอยแผล เป็นหญิงหน้าตาน่าเกลียด

แต่…

นางยืนอยู่ปากประตูลานบ้านแห่งนี้ ไม่เห็นรอยแผลเป็นใดๆ ทั้งสิ้น ไม่เพียงเท่านั้น นางยังหน้าตาขาวผ่องดุจหยก งดงามอย่างยิ่ง…

ฮั่วเสี่ยวเฉียวรู้สึกอิจฉาริษยา

“พี่สะใภ้ใหญ่! ข้าหิวแล้ว ท่านทำกับข้าวให้ข้ากินทีสิ!” ฮั่วผิงไม่ได้สนใจในส่วนนี้ เดินปรี่เข้าไปแล้วเอ่ยปากส่งเสียงตะโกน จากนั้นมองเห็นขนมที่อยู่บนโต๊ะฮั่วหลิน ฝีเท้าเล็กวิ่งทะยานเข้าไป มือสกปรกยื่นออกไป หลังคว้าได้ก็ยัดใส่ปากทันที

“…” ฮั่วหลินมองขนมของเขาที่หายไป ตั้งสติไม่ทันไปชั่วขณะหนึ่ง

อย่าว่าแต่เขาเลย ซ่งอิงก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าเจ้าเด็กน้อยเกเรคนนี้จะบุ่มบ่ามปานนี้

เป็นเพราะเหล่าเด็กๆ ในชนบทตอนนี้เห็นนางล้วนกลายเป็นหนูเห็นแมวก็ไม่ปาน ไม่มีผู้ใดกล้าไม่เคารพระเบียบปฏิบัติเช่นนี้ ดังนั้นนางก็ไม่ขอคิดอะไรให้มากความ…

ฮั่วผิงผู้นั้นยัดขนมเข้าไปสองสามคำ น่าจะเป็นการกลืนเข้าท้องลงไปในทันทีเสียมากกว่า ไม่ได้ลิ้มรสอะไรด้วยซ้ำ นี่ก็เตรียมจะยื่นมือออกมาอีกครั้งแล้ว

ฮั่วหลินไม่ยอมเขา ฟาดมือเข้าไปตีดัง ‘เพียะ’ โดยตีลงไปที่หลังมือของฮั่วผิง

“เจ้าทำอะไร นี่เป็นขนมของข้า!” กล้าขโมยของกินจากปากโสม รนหาเรื่องสินะ!

“เจ้าเป็นเด็กรุ่นหลัง สมควรเคารพข้า!” ฮั่วผิงสบถฮึ “ข้าต้องการกินขนมนี้ด้วยเช่นกัน เจ้าเอามาให้ข้าและหลีกให้ข้านั่งเสีย!”

ซ่งอิงเลิกคิ้ว

เจ้าเด็กคนนี้ อาจหาญดีนี่

ฮั่วหลินยิ้มทั้งที่โกรธเกรี้ยว “เจ้าเป็นก้อนหินบนเขาหรือเป็นขี้เถ้าในดินล่ะ มีสิทธิ์อะไรให้ข้าเคารพเจ้า! เจ้าไปไกลๆ เลย หากเอามือเปรอะเปื้อนของเจ้ามาคว้าขนมของข้าอีก ข้าก็จะจับหัวเจ้ายัดลงไปในดินเสียเลย!”