บทที่ 280 กระชากหน้ากากจิ่วถิง

เหล่าบัณฑิตในสำนักศึกษาต่างเคยอิจฉาเด็กทั้งสาม แต่เวลานี้พวกเขากลับเวทนาเด็กเหล่านั้น

“ท่านจิ่วถิงเคยกล่าวไว้ว่าเว่ยจื่ออั๋งเป็นหนอนหนังสือที่ไม่รู้จักยืดหยุ่น ท่านจิ่วถิงเป็นผู้รอบรู้ สิ่งที่เขาพูดย่อมถูกต้องแล้ว เว่ยจื่ออั๋งรู้แต่เพียงสิ่งที่อยู่ในตำราเท่านั้น ต่อให้ได้ไปสอบถึงหน้าพระที่นั่งก็คงเป็นเช่นเดิม”

“ใช่แล้ว อาจารย์ในเมืองเล็ก ๆ อย่างสำนักศึกษาหลวงจะไปเก่งกาจเท่าท่านจิ่วถิงได้อย่างไร ความรู้ของท่านจิ่วถิงสามารถเป็นได้ถึงผู้ตรวจสอบหน้าพระที่นั่งได้เลยนะ”

“จะรู้ว่าใครเก่งหรือไม่ก็คงต้องวัดจากการสอบหน้าพระที่นั่งนั่นแหละ”

นอกจากนี้แล้วยังมีสหายของเว่ยจื่ออั๋ง สวี่เจวี๋ย และจั๋วชูที่เสียใจมากเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น

“จื่ออั๋ง พวกเจ้าทั้งสามมีพรสวรรค์มาก การที่ท่านจิ่วถิงไม่ได้เชิญพวกเจ้า อาจจะมีบางอย่างผิดปกติในสมองของเขา”

“ใช่ ท่านพ่อข้าบอกว่าเขาเป็นแค่คนที่พยายามจะมีชื่อเสียงเท่านั้น”

คนที่พูดนั้นเป็นคนสกุลเฉิน บิดาของเขาเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษา เขามีนิสัยตรงไปตรงมา จนขัดแย้งกับท่านจิ่วถิงในบางเรื่อง เป็นผลทำให้บิดาของเขาถูกท่านจิ่วถิงตำหนิจนถูกกีดกันออกจากกลุ่มบัณฑิตของเมืองเหอตง

“ขนาดขงจื้อผู้ยิ่งใหญ่ยังต้องรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างของผู้อื่นได้เลย ท่านพ่อข้าถึงกับพูดว่าเหล่าบัณฑิตในเมืองเหอตงนั้นสมองมีปัญหากันไปหมดแล้ว”

คนเหล่านั้นหลับหูหลับตาเชื่อฟังจนกลายเป็นงมงายไร้เหตุผล พ่อของเขาบ่นพร่ำถอนหายใจทุกวันอย่างเหนื่อยหน่าย

ส่วนเจียงเฉิงเป่านั้นพูดอย่างตรงไปตรงมาเพียงประโยคเดียวว่า

“ข้าจะไม่ไปร่วมฟังการบรรยายนี้”

“ข้าเองก็เช่นกัน จื่ออั๋ง สวี่เจวี๋ย จั๋วชู ข้าจะอยู่กับพวกเจ้า”

“ใช่แล้ว ข้าด้วย”

เด็กหนุ่มหกเจ็ดคนรายล้อมพวกเขาทั้งสาม ดวงตาของเว่ยจื่ออั๋งกวาดมองไปยังสหายทีละคนก่อนที่จะมีรอยยิ้มที่มุมปาก อันที่จริงไม่ว่าอีกฝ่ายจะเชิญหรือไม่ได้เชิญเขา ต้าเป่าก็ไม่ได้สนใจ ท่านแม่บอกว่าคนแบบนั้นไม่สมควรที่จะเป็นอาจารย์ให้ใคร เขาไปฟังบรรยายแล้วจะได้อะไร? เป็นเรื่องเสียเวลาไปเปล่า ๆ แต่ต้าเป่ามีความสุขเพราะซาบซึ้งในน้ำใจของสหายเหล่านี้

สวี่เจวี๋ยสบตากับต้าเป่า พวกเขามีความคิดเห็นสอดคล้องเหมือนกันอยู่แล้ว

“ถึงแม้ว่าพวกข้าจะไม่สนใจที่ท่านจิ่วถิงไม่เชิญไปฟังคำบรรยายของเขา แต่พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องละทิ้งโอกาสนี้ ข้าคิดว่าพวกเจ้าควรไปฟังและตัดสินเองว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นอย่างไร” สวี่เจวี๋ยกล่าว

นี่คือประสบการณ์ชีวิตในวัยเยาว์ที่พวกเขาจะได้เรียนรู้ในการตัดสินใจถูกผิดด้วยตัวเอง

“ตกลง พวกข้าจะไปฟังดูว่าเขามีเล่ห์กลอะไรบ้าง”

มีเพียงเจียงเฉิงเป่าเท่านั้นที่ยังยืนกรานจะอยู่กับทั้งสามคนอย่างเงียบ ๆ หลังเลิกเรียนต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยกลับไปถึงบ้านและเล่าเรื่องนี้ในถังหลี่ฟัง

“จิ่วถิงเปิดบรรยายโดยเชิญศิษย์ทั้งสำนัก ยกเว้นพวกเจ้าสามคนหรือ?” ถังหลี่กล่าว

ดวงตาของหญิงสาวหรี่ลง นี่เป็นการแก้แค้นของท่านจิ่วถิงสินะ

ช่างร้ายจริง ๆ ก่อนหน้านี้เขายุยงไม่ให้เหล่าบัณฑิตเข้ามากินอาหารในร้านของนาง แล้วนี่ยังมารังแกลูกชายของนางอีกหรือ? ดวงตาของถังหลี่เย็นเยียบขึ้นมา ดูเหมือนว่าจะได้เวลากระชากหน้ากากของท่านจิ่งถิงแล้วกระมัง

“เสี่ยวหลี่!” ทันใดนั้นเองถังหลี่ก็ถูกกอดจากด้านหลัง

“กำลังคุยอะไรกันอยู่หรือ?” ตู้ชิงหยูวางคางของนางเกยไว้บนไหล่ของถังหลี่ กระพริบตาถามด้วยความสงสัย

ถังหลี่ไม่ได้พูดอะไร แต่ด้วยความสนิทสนมของต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยทำให้พวกเขาชิงเล่าเรื่องนี้ให้ตู้ชิงหยูที่ทั้งสองเคารพฟัง

“ท่านจิ่วถิง…” ตู้ชิงหยูเค้นน้ำเสียง “การบรรยายของเขาจัดขึ้นที่ไหนเมื่อใดหรือ?”

“คราวนี้เป็นการเชิญศิษย์ทั้งหมดของสำนักศึกษาดังนั้นจูเซียนจูจึงเล็กเกินไป ได้ข่าวว่าตระกูลฉินเตรียมที่ของหอเฟิงเหอจูไว้แล้ว การบรรยายจะเริ่มพรุ่งนี้เช้า” สวี่เจวี๋ยกล่าว

ตู้ชิงหยูลูบคางของนางอย่างครุ่นคิด ถังหลี่เองก็เช่นเดียวกัน

ตู้ชิงหยูกินอาหารเย็นที่บ้านของถังหลี่ก่อนจะกลับไป เมื่อกลับไปถึงบ้านสีหน้าของนางเย็นชาลง นางดีดนิ้ว เฉียนซานปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ อย่างเงียบเชียบ

“ตอนนี้ ‘ท่านจิ่วถิง’ ผลาญเงินของตระกูลฉินไปมากเท่าไหร่แล้ว?”

“เรียนนายท่าน ทั้งเครื่องเรือน ภาพวาดที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ สำเนาตำราที่หายากค่าใช้จ่ายรายวันก็เกือบห้าพันตำลึงขอรับ”

เฉียนซานกล่าว “เขาเจ้าเล่ห์มาก ชายคนนั้นนำของทุกอย่างไปแลกเปลี่ยนเป็นเงิน”

ห้าพันตำลึงนั้นยังไม่มากสำหรับพ่อค้าอย่างสกุลเจียง แต่สำหรับตระกูล ‘บัณฑิต’ อย่างสกุลฉินนั้นถือว่ามากทีเดียว

“ใกล้แล้ว”

ตระกูลฉินใกล้ล่มจมแล้ว และนางไม่ต้องการให้ลูกศิษย์ที่แสนมีค่าของนางทั้งสองคนถูกรังแก ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่จะเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของ ‘ท่านจิ่วถิง’