ตอนที่ 314 บ่มพิษ ความเกลียดชังของหนิงเซ่าอวี่ (2)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 314 บ่มพิษ ความเกลียดชังของหนิงเซ่าอวี่ (2)

ฮ่องเต้มอบสมรสพระราชทานให้แล้ว เพียงแค่รอให้พิธีปักปิ่นของมั่วเชียนเสวี่ยในกลางเดือนนี้ผ่านไป ตระกูลหนิงก็จะจัดพิธีแต่งงาน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตัดสินใจไปแล้ว ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้

มั่วเชียนเสวี่ยอาบน้ำแต่งกายและออกนอกจวน รอรถม้าเดินทางไปถึงหน้าประตูจวนจย่า อาอู่ก็ก้าวขึ้นมารายงานว่า เป็นเวลาเที่ยงตรงแล้ว

วันนี้ มั่วเชียนเสวี่ยแต่งกายได้มีกลิ่นอายสูงศักดิ์มาก เรือนผมสีนิลกองซ้อนกันเป็นทรงผีเสื้อ ด้านบนเสียบปิ่นทองหยกม่วง และยังคงเป็นชุดสีฟ้าทั้งตัว แต่กลับเป็นสีฟ้าราวกับน้ำในทะเลสาบอันงดงามทั้งตัว

ก่อนออกจากจวน ชูอีกับหมัวมัวสองคนทำผมให้นาง สืออู่ จื่อจู้ และจื่อเหอสามคนสวมอาภรณ์ให้นาง พิถีพิถันยิ่งกว่าตอนไปสวนป่าท้อในคราแรกมากกว่านัก

มั่วเหนียงกล่าวว่า ตอนนี้ฐานะนางไม่เหมือนเดิม ไม่ใช่แค่บุตรีจวนกั๋วกงอีกแล้ว แต่เป็นว่าที่ฮูหยินของตระกูลขุนนางเก่าแก่ อีกอย่าง นางกลับเมืองหลวงเพื่อที่จะไว้ทุกข์เจ็ดวันให้กับท่านพ่อท่านแม่นางที่เสียชีวิตไปก็ผ่านมาสิบวันแล้ว แม้ว่าจะไม่สามารถแต่งกายด้วยอาภรณ์ฉูดฉาดโดดเด่นได้ แต่ก็ไม่สามารถเรียบง่ายเกินไปเช่นกัน จะทำให้พวกคนใจแคบดูถูกเอาได้

ยังกล่าวอีกว่า วันนี้เป็นครั้งแรกที่นางไปเยี่ยมเยียนท่านแม่บุญธรรมอย่างเป็นทางการ แต่งกายเรียบง่ายเกินไปจะทำให้คนเกิดความรู้สึกไม่เคารพขึ้นในใจได้…

มั่วเชียนเสวี่ยคิดดูแล้ว ก็มีเหตุผลเช่นกัน

การไปจวนจย่าในครั้งแรกนั้นอาศัยฐานะบุตรีไปเข้าเยี่ยม คงจะไม่สามารถแต่งกายเรียบง่ายเกินไปได้จริงๆ อีกอย่าง แม้ว่านางจะไม่ยินยอม แต่ก็ต้องรักษาหน้าตาหนิงเซ่าชิงด้วย คราวที่แล้วไม่ใช่เพราะว่าแต่งกายจืดชืดเกินไป ทำให้ย่วนอ้ายเวิงจู่ที่ไม่รู้ว่าผู้อื่นกำลังกล่าวถึงเรื่องอะไรผู้นั้นรังเกียจเข้าให้หรือ

ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง บางครั้งการสวมอาภรณ์ที่งดงาม ก็ช่วยลดความวุ่นวายได้ไม่น้อยจริงๆ

นางส่องกระจก มองตนเองในบานกระจกแล้ว ก็เห็นสตรีที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายสูงศักดิ์ผู้หนึ่ง นางเกือบจะจำตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว…กระโปรงตัวยาวรัดด้วยสายคาดเอว แขนเสื้อกว้างปักลวดลายงดงาม เรือนผมสีนิลประดับด้วยหยกหลานเถียน[1]เส้นผมนุ่มสลวยปักด้วยปิ่น ลำแขนขาวราวกับหิมะสวมกำไลรัดต้นแขนดอกไม้ทองคำ มืองามดั่งหยกสองข้างสวมกำไล ไหนจะยังมีรองเท้าที่ปักด้วยไข่มุกอีก…

ทว่ามั่วเหนียงพิจารณาดูซ้ายดูขวาแล้ว ก็คล้ายกับพบว่ามีอะไรบางอย่างที่ผิดพลาดไป และชี้มาที่หูของนาง พลางกล่าวว่า “ไม่ได้ ดูเหมือนว่าต่างหูคู่นี้จะไม่เข้าคู่กับอาภรณ์ในวันนี้เจ้าค่ะ”

มั่วเชียนเสวี่ยยังไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ชูอีกับสืออู่ก็ถอดต่างหูออกมากันคนละข้างแล้ว

มั่วเหนียงค้นหาในกล่องเครื่องประดับหน้าโต๊ะกระจกอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้หยิบต่างหูหยกหนักอึ้งคู่หนึ่งออกมาใส่ให้นาง มั่วเชียนเสวี่ยถอนหายใจทันที พลางเอ่ยเพิ่มกลอนที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ประโยคหนึ่งว่า “ต่างหูหยกบนใบหู”

หลังจากอาอู่ก้าวเข้ามารายงานแล้ว จวนจย่าก็เปิดประตูหลักออกกว้างเพื่อต้อนรับ ฮูหยินจย่าพาลูกสะใภ้สองคน อนุภรรยาสองคน และบุตรของอนุภรรยาสามคนมารอต้อนรับอยู่นานแล้ว

เมื่อพบกับฮูหยินจย่า มั่วเชียนเสวี่ยก็แย้มรอยยิ้ม “คารวะยามเช้าเจ้าค่ะ ท่านแม่บุญธรรม” นางทำความเคารพด้วยท่าวั่นฝูหลี่[2]

ในสายตาฮูหยินจย่าแม้ว่าวันนี้มั่วเชียนเสวี่ยจะมีกลิ่นอายสูงศักดิ์ แต่ก็ไม่ได้สูญเสียความเรียบง่ายและสง่างามไป เหมาะสมกับฐานะของนางพอดี จึงเผยสีหน้าพึงพอใจออกมาทันที นางก้าวเข้าไปจับมือของมั่วเชียนเสวี่ยอย่างเป็นธรรมชาติ จูงนางเข้าประตูใหญ่จวนจย่าไป

ตอนที่สมาชิกในตระกูลผู้เป็นสตรีที่อยู่ด้านหลังฮูหยินจย่าเห็นมั่วเชียนเสวี่ย ล้วนปรากฏความตกตะลึงขึ้นในนัยน์ตา จากนั้นก็เป็นความเคารพนับถือ เรื่องพวกนี้ล้วนหลบสายตานางไม่พ้น มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มบางๆ ดูท่าวิธีการของมั่วเหนียงจะถูกต้อง อาภรณ์ราคาแพงผู้อื่นก็ย่อมให้ความสำคัญและให้เกียรติ

เมื่อทราบว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะมาเยี่ยมเยียนที่จวน คนตระกูลจย่าย่อมอยู่กันครบ ยุคนี้แม้ว่าชายหญิงจะแตกต่างกัน แต่กลับไม่ได้เข้มงวดขนาดนั้น

สวนบุปผาจวนจย่า ดูแล้วก็ไม่ได้มีทิวทัศน์ที่บุปผานับร้อยแข่งกันเบ่งบาน ภายในศาลาพักผ่อนล้วนจัดวางตั่งเขียนหนังสือเอาไว้ สิ่งต่างๆ ที่ไม่เข้าพวกกัน ถูกวางผสมปนเปเอาไว้ด้วยกัน ดูเหมือนว่าจะจัดวางอย่างตามใจ แต่ความจริงแล้วพิถีพิถันเป็นอย่างมาก

ทำให้คนที่เห็นเกิดความรู้สึกเรียบง่ายของบุคคลที่ผู้ที่เกิดในตระกูลบัณฑิต

รอถึงตอนที่พานางไปยังห้องโถงหลัก ฮูหยินจย่าก็แนะนำคนที่อยู่ด้านหลังให้นางฟังทีละคนหมดแล้ว

คนในจวนจย่านั้นนับว่าไม่มาก บุตรของภรรยาเอกสองคน ตอนนี้คุณชายใหญ่จย่าผู้เป็นบุตรก็ได้สืบทอดกิจการของผู้เป็นบิดาแล้ว และยังเป็นบัณฑิตของสถานศึกษาประจำแคว้นอีกด้วย สถานศึกษาประจำแคว้นแห่งราชวงศ์เทียนฉีก็เหมือนกับกั๋วจื่อเจียน[3]แห่งราชวงศ์ชิง ขอเพียงแค่เข้าสถานศึกษาประจำแคว้น เป็นบัณฑิตก็ไม่ได้ตัวเปล่าอีกแล้ว อย่างน้อยก็ยังเป็นจู่ปู้[4] ลู่ซื่อ[5] ตำแหน่งขุนนางเริ่มจากขั้นสามไปจนถึงขั้นเก้าต่างกันไปแต่ละตำแหน่ง

คุณชายรองจย่ามีตำแหน่งในราชสำนัก ตอนนี้เป็นรองเจ้ากรมพิธีการ ขุนนางขั้นหก

ด้านหลังที่สวมชุดงดงามสีท้อคือสะใภ้ใหญ่เจียงซื่อ โนเวล-พีดีเอฟ

ด้านหลังที่สวมชุดสีเหลืองคือสะใภ้รองเหยาซื่อ

บัณฑิตผู้เฒ่าจย่ายังมีอนุภรรยาอีกสองคนคือ จางอี๋เหนียงกับหลี่อี๋เหนียงให้กำเนิดบุตรีแก่บัณฑิตผู้เฒ่าจย่าสามคน

แค่มองดูสีหน้าท่าทางและการแต่งกายของอนุภรรยาทั้งสองและบุตรีทั้งสามคนแล้ว ก็แสดงให้เห็นถึงความมีน้ำใจของฮูหยินจย่าได้

……

เรือนใหญ่ตระกูลหนิง

เซี่ยซื่อตัดแต่งดอกไม้ในกระถางที่เรือนของตนเองด้วยอารมณ์ไม่เลว

เดิมนางยังกังวลมาตลอดว่าเมื่อหนิงเซ่าชิงครองตำแหน่งผู้นำตระกูลแล้วจะมาคิดบัญชีย้อนหลัง แต่ผ่านมาหลายวันขนาดนี้แล้ว กระทั่งมาปรากฏกาย หนิงเซ่าชิงก็ยังไม่มา

ส่วนเรื่องการวางยาพิษหนิงเหล่าเหยีย[6] แม้ว่ายาจะถูกส่งออกจากมือนาง แต่ตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่ใช่นางเป็นคนลงมือด้วยตัวเอง

เรื่องอาหารการกินในจวนทั้งหมดล้วนอยู่ในมือเหล่าฮูหยิน นางจะแอบทำอะไรบางอย่างกับอาหารของหัวหน้าตระกูลได้อย่างไร นางทำได้เพียงแค่จัดการมอบยาให้กับผู้อาวุโสแปดก็พอแล้ว ตอนนี้ผู้อาวุโสแปดตายไปแล้ว ตายไปอย่างไร้หลักฐาน นางยังมีสิ่งใดต้องกลัวกันเล่า!

บวกกับหนิงเหล่าเหยียได้ย้ายออกจากเรือนตนเองแล้ว กระทั่งหลายวันมานี้ล้วนอาศัยอยู่ที่เรือนของอี๋เหนียง งานกินโต๊ะหลิวสุ่ยสี[7]ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ที่จัดติดต่อกันเจ็ดวันเจ็ดคืนเพื่อฉลองการผลัดเปลี่ยนผู้นำตระกูลคนเก่าและคนใหม่ หนิงเหล่าเหยียก็ให้นางออกหน้าจัดการร่วมกับยายเฒ่านั่น และไม่ได้ชักสีหน้าใส่เลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเรื่องที่หนิงเหล่าเหยียถูกพิษ นางก็สบายใจ

วันนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่ ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่อหนิงเหล่าเหยียสละตำแหน่ง และออกจากเรือนประชุมของเขาแล้ว ตามกฎระเบียบจะต้องมาที่นี่แน่นอน

เซี่ยซื่อนึกไตร่ตรอง ขอเพียงแค่ไม่ถือสาเรื่องนั้นแล้วจริงๆ ตนเองเป็นแม่เลี้ยงเขา นอกจากยายเฒ่าผู้นั้น ตนเองก็นับว่าเป็นสตรีสูงศักดิ์ของตระกูลหนิง ลองคิดหาวิธีการดูคงจะสามารถอดทนจนผ่านพ้นไปได้

อีกอย่าง ตำแหน่งหัวหน้าตระกูลของหนิงเซ่าชิงก็ไม่แน่ว่าจะสามารถนั่งได้อย่างมั่นคง

นางยังมีทางหนีทีไล่…

ด้านนอกมีเสียงไอดังลอยมา เสียงฝีเท้าที่กำลังมุ่งหน้าตรงมาทางนี้ ใบหน้าของเซี่ยซื่อก็เผยรอยยิ้มออกมา

นี่เพิ่งจะช่วงกลางวันก็มาเสียแล้ว คงจะไม่มีความรู้สึกโกรธแค้นชิงชังนานแล้ว คิดอยากจะมารับประทานอาหารมื้อกลางวันกับนางที่นี่แล้วค่อยพักผ่อนเล็กน้อย โชคดีที่นางเตรียมเอาไว้แต่เนิ่นๆ นางเก็บกรรไกรตัดแต่งบุปผาไป ใบหน้าของเซี่ยซื่อเต็มไปด้วยแววลำพองใจ ขณะหันไปถามหมัวมัวที่ปรนนิบัติอยู่ว่า “อาหารที่เตรียมเอาไว้ให้นายท่านนั้นเรียบร้อยหรือยัง”

หมัวมัวผู้นั้นตอบว่า “เรียนฮูหยิน ล้วนเตรียมเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”

นางคือหมัวมัวข้างกายฮูหยิน นางย่อมรู้เรื่องของฮูหยิน แม้ว่าในใจนางจะดูถูกการกระทำของฮูหยิน แต่ถ้าหากว่าฮูหยินได้รับบาดเจ็บอะไร คนแรกที่จะต้องประสบหายนะคือนางแน่นอน ดังนั้นนางจึงต้องพยายามใช้สติปัญญามากกว่าผู้ใด

“อืม รอนายท่านเข้าห้องมา คอยดูสายตาข้าแล้วค่อยจัดสำรับ”

“เจ้าค่ะ”

ระหว่างที่กล่าว หนิงเหล่าเหยียหนิงก็ก้าวเข้ามาในเรือนเล็กแห่งนี้แล้ว

ถ้าหากไม่ใช่เพื่อเซ่าอวี่ ถ้าหากไม่อยากให้พี่น้องวางแผนทำร้ายซึ่งกันและกัน เขาคงสั่งคนปิดที่นี่ไปนานแล้ว ชั่วชีวิตนี้จะไม่ย่างก้าวเข้ามาอีก

เซี่ยซื่อรีบก้าวขึ้นไปทักทาย “หนิงเหล่าเหยีย ท่านมาแล้ว”

หมัวมัว สาวใช้และผอจื่อภายในเรือนล้วนคุกเข่าอยู่บนพื้น “คาระหนิงเหล่าเหยียยามเช้าเจ้าค่ะ”

หนิงเหล่าเหยียเดินตรงเข้าไปในห้องหลักอย่างไม่สนใจเซี่ยซื่อกับสาวใช้และผอจื่อภายในเรือนโดยไม่หยุดฝีเท้า เซี่ยซื่อก็หมดหนทาง หนิงเหล่าเหยียผู้นี้ปฏิบัติตนด้วยความเฉยชามาตลอด ราวกับยืนอยู่เหนือผู้คน สำหรับท่าทีไม่แยแสนั้นก็มีเช่นกัน

[1] หยกหลานเถียน หรือเรียกกันว่าหยกฟ้า เป็นหยกที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ มักมีสีขาวและสีอื่นๆ ทั้งยังมีลวดลายคล้ายเมฆสีขาว

นางยังมีทางหนีทีไล่…

นี่เพิ่งจะช่วงกลางวันก็มาเสียแล้ว คงจะไม่มีความรู้สึกโกรธแค้นชิงชังนานแล้ว คิดอยากจะมารับประทานอาหารมื้อกลางวันกับนางที่นี่แล้วค่อยพักผ่อนเล็กน้อย โชคดีที่นางเตรียมเอาไว้แต่เนิ่นๆ นางเก็บกรรไกรตัดแต่งบุปผาไป ใบหน้าของเซี่ยซื่อเต็มไปด้วยแววลำพองใจ ขณะหันไปถามหมัวมัวที่ปรนนิบัติอยู่ว่า “อาหารที่เตรียมเอาไว้ให้นายท่านนั้นเรียบร้อยหรือยัง”

ด้านนอกมีเสียงไอดังลอยมา เสียงฝีเท้าที่กำลังมุ่งหน้าตรงมาทางนี้ ใบหน้าของเซี่ยซื่อก็เผยรอยยิ้มออกมา

หมัวมัวผู้นั้นตอบว่า “เรียนฮูหยิน ล้วนเตรียมเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”

[2] วั่นฝูหลี่ คือการทักทายของหญิงสาว โดยใช้มือทั้งสองข้างวางซ้อนกันที่ด้านขวาแล้วย่อตัวลง เป็นท่าสัญลักษณ์ที่อวยพรให้มีความสุขและโชคดี

[3] กั๋วจื่อเจียน คือสำนักศึกษาในราชสำนัก มีหน้าที่สนับสนุนกิจการสอบไล่ขุนนางของราชสำนัก มีภารกิจหลักสำคัญคือจัดการเรียนการสอนเพื่อผลิตสุดยอดบัณฑิตของแผ่นดิน และควบคุมดูแลความประพฤติของบัณฑิตมีคุณธรรม ตั้งอยู่ในศีลธรรมจรรยา ทั้งยังมีอำนาจในการกล่าวโทษ ฟ้องร้องต่อราชสำนักให้ปลดหรือไล่ออกต่อบัณฑิตที่ประพฤติมิชอบดังกล่าวด้วย

[4] จู่ปู้ คือตำแหน่งเจ้าหน้าที่ดูแลเอกสารและตราประทับในหน่วยงานต่างๆ

[5] ลู่ซื่อ คือตำแหน่งเจ้าหน้าที่บันทึกในหน่วยงานต่างๆ

[6] เหล่าเหยีย หัวหน้าตระกูลผู้เฒ่า ในที่นี้หมายถึงบิดาของหนิงเซ่าชิง

[7] หลิวสุ่ยสี เป็นงานกินโต๊ะที่อาหารทุกจานต้องมีน้ำซุป และจะต้องทำการเสิร์ฟอาหารโดยไม่ขาดตอน ประหนึ่งสายน้ำไหล จึงได้รับการเรียกขานว่างานเลี้ยงสายน้ำไหล

0

———————————————-