หยานชิงเจ๋ออุ้มซูสือจิ่นมาที่สือมูเฉินละคนอื่นๆ กำลังจะเอ่ยพูด ฟู่สีเกอก็ถามว่า : “ชิงเจ๋อ สือจิ่นเป็นอะไรไป?”
ถึงอย่างไร วันนี้ก็มีผู้อาวุโสอยู่ด้วย ฟู่สีเกอจึงเกรงใจที่จะเรียกฉายาของซูสือจิ่น
“เธอข้อเท้าพลิก ฉันจะพาเธอไปส่งโรงพยาบาล” หยานชิงเจ๋อพูดจบ ก็หันไปบอกกับผู้อาวุโสว่า : “คุณลุงคุณป้า คุณพ่อคุณแม่ครับ ฉันจะพาเสี่ยวจิ่นไปโรงพยาบาล ตอนกลางคืนก็จะไปร่วมงานปาร์ตี้ที่บ้านอาเฉิน จึงไม่ได้กลับบ้านนะครับ!”
“โอเค ชิงเจ๋อ ดูแลเสี่ยวจิ่นดีๆนะ!” หยานเว่ยคุนพยักหน้าแล้วพูด
หยานชิงเจ๋ออุ้มซูสือจิ่น เดินผ่านดอกไม้สดทั้งสองข้าง มาที่ลานจอดรถข้างสนามหญ้า
เขานำเธอวางลงบนที่นั่งข้างคนขับ ดูเหมือนลังเลใจเล็กน้อย แล้วก้มลงช่วยเธอคาดเข็มขัดนิรภัย จากนั้นก็เดินอ้อมไปยังที่นั่งคนขับ แล้วสตาร์ตรถ
ซูสือจิ่นเห็นว่าเขาเงียบมาตลอดทาง ทันใดนั้น อารมณ์ที่ต่อต้านในใจก็ผุดขึ้นมา : “คุณไม่ต้องไปส่งฉันที่โรงพยาบาลหรอก คุณทิ้งฉันไว้ข้างทางก็ได้”
หยานชิงเจ๋อได้ฟังคำพูดของเธอ ก็หันไปมองแล้วยิ้มเล็กน้อย : “ถึงเวลาที่แม่ฉันซักถามขึ้นมา ฉันก็จะรับผิดชอบไม่ไหวนะสิ!”
ซูสือจิ่นได้ยินคำพูดของเขา ตัวก็แข็งทื่อ ไม่รู้ทำไม รู้สึกเหมือนเลือดจะพุ่งออกมา เธอจับที่เปิดประตูไว้ ออกแรงดึงเปิดออก ต้องการจะกระโดดลงจากรถ!
เสียงล้อรถเสียดสีกับพื้นถนนอย่างรุนแรงจนมีเสียงดังขึ้น หยานชิงเจ๋อแทบจะเหยียบเบรกจนมิด อีกทั้งยังดึงเบรกมือ ทำให้รถหยุดอย่างกะทันหัน
และซูสือจิ่นที่ดึงประตูเปิดออกแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะว่าก่อนหน้านี้เธอคาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ เวลานี้เกรงว่าเธอคงกระโดดลงจากรถไปแล้ว
“ซูสือจิ่น สมองคุณมีปัญหาหรือไง?!” หยานชิงเจ๋อรู้สึกว่าความโกรธที่อยู่ในหัวระเบิดออกมาทันที ขมับของเขาเต้นขึ้นมา เขาเปิดประตูที่นั่งคนขับออก จากนั้นก็เดินอ้อมไปตรงหน้าซูสือจิ่นแล้วกดเธอกลับไปยังที่นั่ง
“ฉันบอกแล้วไง ว่าไม่ต้องรบกวนคุณหรอก!” ซูสือจิ่นเงยหน้าขึ้นมองหยานชิงเจ๋อ : “สิ่งที่คุณพูดกับฉันในงานแต่งงาน ฉันยอมรับ!”
เธอแทบจะร้องตะโกนออกมา : “คุณไปหาเจียงซีหยู่เถอะ ฉันไม่รบกวนอะไรคุณแล้ว! พวกคุณจะมีอะไรกันฉันก็ไม่สนใจ ท้ายที่สุดแล้วเด็กที่เกิดมา ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเป็นคนตระกูลหยานของคุณอยู่ดี!”
“เกี่ยวอะไรกับซีหยู่ด้วย?!” หยานชิงเจ๋อโมโหอย่างมาก ไม่สนใจว่าพวกเขาจะกำลังอยู่บนถนนใหญ่ พูดจาตะคอกใส่ซูสือจิ่นว่า : “คุณเป็นประสาทหรือเปล่า? โดดลงจากรถอย่างไร้เหตุผลนี่นะ?! คุณตายไปฉันก็ต้องติดคุกนะสิ!”
ที่แท้เมื่อกี้ที่เขาโกรธขนาดนั้น ไม่ใช่เป็นห่วงเธอว่ากระโดดลงจากรถแล้วจะเป็นอันตราย แต่ไม่อยากติดคุกใช่ไหม?!
ซูสือจิ่นรู้สึกได้ถึงหัวใจที่แตกสลายลงทีละน้อยๆ เธอเงยหน้าขึ้นมองหยานชิงเจ๋อ : “ทำไมจะไม่เกี่ยวข้องกับเจียงซีหยู่? คุณไม่ได้บอกเหรอ ว่าเดิมทีคุณกับเธอเป็นคู่กัน? ได้เลยตอนนี้ฉันก็ปล่อยคุณไป คุณจะไปหาเธอ! ฉันก็จะไม่สนใจ ไม่ว่าคุณกับผู้หญิงคนไหน!”
หยานชิงเจ๋อหรี่ตามอง มองซูสือจิ่นอย่างเจาะลึกลงไป น้ำเสียงเฉียบคมราวกับใบมีดบนรองเท้าสเกต : “ทำไม รู้สึกว่าทนฉันไม่ไหว ฉะนั้นจึงไม่สนใจแล้วใช่ไหมล่ะ?”
ซูสือจิ่นจับที่จับประตูแน่น เพราะว่าออกแรง มือจึงสั่นเทาเล็กน้อย : “ใช่ ฉันไม่สนใจคุณแล้ว แล้วคุณก็ไม่ต้องมาสนใจฉัน! เดิมทีฉันก็คู่กันกับลั่วฝานหวา คุณดูสิ ฝานหวาสือจิ่นดูเข้ากันมากๆเลย! คุณไปหาเจียงซีหยู่ ฉันไปหาลั่วฝานหวา เราก็ต่างคนต่างอยู่!”
“คุณกล้าเหรอ?!” รูม่านตาของหยานชิงเจ๋อเบิกกว้างทันที เขาคว้าไหล่ของซูสือจิ่นไว้ สายตาโกรธเกรี้ยวน่ากลัว : “ซูสือจิ่น คุณกล้าพูดอย่างเมื่อกี้อีกครั้งไหมล่ะ?!”
เป็นครั้งแรกจริงๆที่ซูสือจิ่นเห็นหยานชิงเจ๋อโกรธเช่นนี้
หรือพูดได้ว่า เธอเคยเห็นเขาเป็นอย่างนี้ แต่ไม่ใช่กับเธอ แต่เป็นกับคนเหล่านั้นที่รังแกเธอ
ที่ผ่านมาเขารักและเอ็นดูเธอมากขนาดไหน ก็จะปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นที่มาทำร้ายเธอ อย่างน่ากลัวมากเช่นกัน
แต่เวลานี้ คาดไม่ถึงว่าเขาจะใช้การแสดงออกเช่นนี้กับเธอ!
ซูสือจิ่นรู้สึกกลัวเล็กน้อย หัวใจเธอเต้นแรงมาก แต่ก้นบึ้งหัวใจของเธอก็มีเสียงหนึ่งโห่ร้องออกมาไม่หยุด อย่างมากก็แค่ถูกเขาทำร้ายจนตาย มีอะไรที่ต้องกลัวล่ะ!
ใช่สิ บางทีลึกๆในใจยังคิดว่า ท้ายที่สุดแล้วเขาก็โกรธเธอ เมื่อเทียบกับการเยาะเย้ยถากถาง เทียบกับการเย็นชาไม่รับรู้อะไร ดูเหมือนว่ามันจะดีกว่ามาก
เขาเป็นคนใจเย็นขนาดนั้น คาดไม่ถึงว่าเธอจะสามารถส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเขาได้!
นึกถึงตรงนี้แล้ว ซูสือจิ่นก็ยิ้มขึ้นมา
ด้วยเหตุนี้เธอจึงยิ้มแล้วมองไปที่เขา จากนั้นก็พูดท้าทายเกียรติศักดิ์ศรีของเขา : “ฉันบอกว่า เราต่างคนต่างอยู่ดีกว่า คุณไปหาเจียงซีหยู่ของคุณ ฉันไปหาลั่วฝานหวาของฉัน ถึงอย่างไรลั่วฝานหวากับฉันก็คู่กันอยู่แล้ว หากไม่ใช่คุณ ไม่แน่เราอาจจะแต่งงานกันแล้ว ฝานหวาสือจิ่น ฟังดูเข้ากันดี……”
ซูสือจิ่นยังไม่ทันพูดจบ ก็เห็นหยานชิงเจ๋อยกมือขึ้นทันที
สายตาของเขาดุร้ายบ้าคลั่ง แววตาดูลึกลับราวกับค่ำคืนที่ไร้ดวงดาว
ทั้งตัวเขาถูกบีบให้เย็นชาลง เพราะว่าโกรธจัด ร่างกายจึงสั่นเทาเล็กน้อย เส้นเลือดบนหน้าผากผุดขึ้นมา หน้าอกแปรปรวน จากนั้นก็ทุบกำปั้นลงมา!
ถึงแม้ว่าจะเตรียมใจไว้ดีแล้ว แต่เมื่อลมของหมัดพัดผ่านแก้มไป ซูสือจิ่นก็ยังคงหลับตา
“แป๊น——”
เสียงแตรดังอย่างมาก และในขณะเดียวกัน รถก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ซูสือจิ่นค่อยๆลืมตาขึ้นมา พบว่าหมัดของหยานชิงเจ๋อนั้น ทุบอยู่ที่พวงมาลัย
เพราะอยู่บนถนน ฉะนั้นการกระทำของเขาจึงเป็นที่ดึงดูดความสนใจของรถคันอื่นๆ
มีรถเก๋งมาจอดอยู่ข้างๆ ชายวัยรุ่นคนหนึ่งลดกระจกลงมา แล้วถามว่า : “พี่ชาย เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
“ไสหัวไป!” หยานชิงเจ๋อตวาดใส่คนคนนั้นโดยไม่สนใจไยดี
“ไอ้บ้าเอ๊ย หวังดีด้วยก็คิดว่าเจตนาร้าย!” คนคนนั้นด่าออกมาหนึ่งประโยค แล้วขับรถออกไป
หยานชิงเจ๋อเห็นว่ารอบๆยังมีรถที่จงใจชะลอความเร็วลง ต้องการมองดูอย่างตื่นเต้น เขาจึงลุกขึ้นตัวตรง กวาดสายตาเย็นชามองไปทางทุกๆคน ความดุร้ายเต็มไปทั่วทั้งใบหน้า ชั่วขณะคนโดยรอบก็แยกย้ายกันไป เกรงว่าจะทำให้เกิดปัญหาอะไรขึ้น
เขาโน้มตัวลงเล็กน้อย มือค้ำไปที่สองข้างของที่นั่งคู่คนขับ จากนั้นก็มองไปยังซูสือจิ่น
ครั้งนี้ซูสือจิ่นกลัวจริงๆ
เธอแทบจะไม่เคยเห็นหยานชิงเจ๋อที่ยั้งสติไม่อยู่แบบนี้จริงๆ
ชัดเจนว่าเขาเพิ่งระบายอารมณ์ออกมา แต่เธอรู้สึกว่า ท่าทีของเขาเวลานี้ มีความอึดอัดกลัดกลุ้มไปด้วยความตึงเครียด แย่กว่าเมื่อกี้นี้เป็นพันๆเท่า!
ร่างกายของเธอ ถอยไปด้านหลังโดยสัญชาตญาณ
“ซูสือจิ่น ฉันจะบอกคุณเอาไว้เลยนะ” หยานชิงเจ๋อมองตาของซูสือจิ่น: “ตราบใดที่คุณยังดำรงตำแหน่งคุณนายหยานอยู่ ก็อย่าคิดกระทำการใดๆที่ไม่เหมาะสม!”
ซูสือจิ่นใจเต้นระรัว กัดริมฝีปาก มองหยานชิงเจ๋อ
เขาพูดจบ ก็ปลดเนกไทออกอย่างหงุดหงิด แล้วปลดกระดุมคอเสื้อสองเม็ดแรกออก
คล้ายกับรู้สึกว่าแบบนี้หายใจได้โล่งขึ้นเล็กน้อย หยานชิงเจ๋อสูดลมหายใจเข้าลึกๆสองที จากนั้น ก็ก้มลงทันที แล้วเข้าไปใกล้ซูสือจิ่น
“คุณจะทำอะไร?” ซูสือจิ่นถูกท่าทีในเวลานี้ของเขาทำให้ตกใจ จึงถอยตัวหนี
หยานชิงเจ๋อไม่ได้ตอบกลับเธอ แต่อุ้มเธอขึ้นมา จากนั้น ก็ดึงเปิดประตูนี่นั่งแถวหลัง แล้ววางเธอลงบนที่นั่ง
“คุณ——” ซูสือจิ่นกำลังจะขยับ แต่กลับถูกหยานชิงเจ๋อกดลงมาทันที
ซูสือจิ่นใจเต้นรัวเหมือนกลอง เบิกตาโพลง จ้องมองหยานชิงเจ๋ออย่างไม่อยากจะเชื่อ
มือของเขาลูบคลำไปยังด้านหลังของเธอ ขณะที่ซูสือจิ่นตกใจการกระทำของเขาจนตัวแข็งทื่อ ก็ได้ยินเสียงของโลหะดังขึ้น เขาใช้เข็มขัดนิรภัยมัดช่วงบนของเธอเอาไว้ จากนั้น ก็ล็อกเข็มขัดนิรภัย
ขณะที่ซูสือจิ่นกำลังตกตะลึง หยานชิงเจ๋อก็ทำตามแบบเดิม ต้องการจะมัดขาของซูสือจิ่นด้วย
เธอได้สติกลับมา จึงออกแรงถีบขา: “คุณจะมามัดฉันได้ยังไงห๊ะ?! หยานชิงเจ๋อ คุณปล่อยฉันนะ!”
ซูสือจิ่นสวมรองเท้าส้นสูง ตอนแรกหยานชิงเจ๋อไม่ได้คว้าขาของเธอเอาไว้ ถูกเธอถีบเข้าไปสองสามครั้ง ก็รู้สึกเจ็บที่หน้าอกขึ้นมาทันที
เขาอดทนต่อความเจ็บปวดไม่ไหว ในที่สุดก็จับขาของเธอเอาไว้แน่น จากนั้นก็มัดด้วยเข็มขัดนิรภัยอีกครั้ง
ด้วยมือของซูสือจิ่นถูกมัดเอาไว้ ดังนั้น จึงไม่สามารถปลดเข็มขัดนิรภัยได้ ดังนั้น เธอจึงถูกล็อกนอนอยู่ที่นั่งด้านหลัง
เธอตะโกนใส่เขาว่า: “คุณมีสิทธิ์อะไรมามัดฉัน หยานชิงเจ๋อ ตกลงคุณหมายความว่ายังไง?!”
เขาโน้มตัวลง เว้นระยะห่างจากแก้มของเธอ 30 เซนติเมตร แล้วกล่าวว่า: “อยากไปหาลั่วฝานหวาเหรอ ล้มเลิกความตั้งใจไปได้เลย!”
ซูสือจิ่นนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย
หยานชิงเจ๋อลุกขึ้น จากนั้น ก็ปิดประตูที่นั่งหลังแถวหลัง แล้วกลับไปยังที่นั่งคนขับ ล็อกประตูรถทั้งสี่บาน แล้วเคลื่อนรถขับไปยังโรงพยาบาล
หัวใจของซูสือจิ่นที่เดิมทีทั้งโมโหทั้งเป็นทุกข์ เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายนั้นของหยานชิงเจ๋อแล้ว กลับสงบลงจนผิดปกติ
เขาพูดว่า ไม่ให้เธอไปหาลั่วฝานหวา ใช่ไหม หมายความว่า อันที่จริงเขาสนใจความสัมพันธ์ของเธอกับลั่วฝานหวา?
หรือว่าเขาจะหึง?
เมื่อคิดแบบนี้แล้ว ซูสือจิ่นก็รู้สึกดีใจเล็กน้อย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยตัวเอง
เขาโหดร้ายกับเธอขนาดนี้ เมื่อกี้ตอนที่เขาจับไหล่ของเธอ เธอรู้สึกเหมือนถูกเขาบีบจนกระดูกแทบแตก ถ้าเขามีความรู้สึกรักต่อเธออยู่บ้างจริงๆ เขาจะมาเยาะเย้ยถากถางเธออยู่แบบนี้เหรอ?
หัวใจของซูสือจิ่นที่เดิมทีเต้นด้วยความดีอกดีใจ ก็ค่อยๆสงบลงมาทีละน้อยๆ
หยานชิงเจ๋อขับรถมาถึงที่จอดรถของโรงพยาบาล ดับไฟรถแล้ว ก็รู้สึกว่าหน้าอกเจ็บเล็กน้อย จึงอดไม่ได้ที่จะเปิดคอเสื้อแล้วก้มหน้าลงไปดู
ก็ได้เห็นว่าบนผิวหนังที่ขาวหมดจด มีรอยแดงช้ำสองสามรอย หนึ่งในสองรอยนั้น ยังมีผิวถลอกเล็กน้อยด้วย
เมื่อกี้เธอถีบมาอย่างโหดเหี้ยมจริงๆ!
เขาเดินไปถึงที่นั่งด้านหลัง ดึงเปิดประตู คิดเล็กน้อย แล้วตัดสินใจปลดเข็มขัดนิรภัยช่วงบนของซูสือจิ่นก่อน ไม่เช่นนั้น ถ้าเขาถูกเธอถีบอีกสองสามที ก็คงต้องนอนโรงพยาบาลเป็นแน่!
เพียงแต่ เมื่อหยานชิงเจ๋อปลดเข็มขัดนิรภัยให้ซูสือจิ่นแล้ว เธอก็ไม่ได้มีการตอบสนองใดๆ
เมื่อเขาอุ้มเธอขึ้นมา เธอก็ไม่มองเขา แต่สายตามองไปยังทิวทัศน์ที่เปล่าเปลี่ยวเงียบเหงา
พอหยานชิงเจ๋อก้มหน้าลงมา ก็เห็นบนไหล่ของซูสือจิ่นที่อยู่ในอ้อมกอด มีรอยแดงสองสามรอย เหมือนกับว่า จะเป็นรอยตอนที่เขาบีบด้วยความโมโหเมื่อกี้นี้
หัวใจของเขาก็พรั่งพรูอารมณ์ที่หงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง ชัดเจนจนทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น
เพราะตอนที่มาไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า ดังนั้น ซูสือจิ่นจึงยังสวมเดรสเพื่อนเจ้าสาวอยู่ ด้วยความที่เป็นฤดูหนาว ถึงแม้หยานชิงเจ๋อจะโอบกอดเธอเอาไว้ แต่ตอนที่ถูกอุ้มออกมา ก็ยังตัวสั่นอย่างรุนแรง จากนั้น ก็จามอีกสองสามที
หยานชิงเจ๋อหยุดชะงักลงเล็กน้อย ก้มหน้าลงไปมองซูสือจิ่นอีกครั้ง จากนั้น ก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นทันที
เขาแทบจะวิ่งเข้าไปในห้องโถงใหญ่ที่มีฮีตเตอร์ จากนั้น ก็เดินไปยังแผนกลงทะเบียน
เพราะพวกเขาสวมเสื้อผ้าที่ไม่เข้ากับฤดูกาล ดังนั้น พอเข้ามาจึงดึงดูดสายตาของคนทั้งหมด
หยานชิงเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย ในระหว่างรอคิว ก็เห็นเจียงซีหยู่เดินลงมาจากบันไดเลื่อน