ตอนที่ 322 ทักทายแบบทหาร

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 322 ทักทายแบบทหาร

ตอนที่ 322 ทักทายแบบทหาร

เสิ่นเถี่ยจวินและเสิ่นอวี้อิ๋งยืนอยู่ด้วยกัน พลางดูความกลมกลืนระหว่างตระกูลเฉินกับตระกูลเซี่ย และรู้สึกว่าพวกเขาสองพ่อลูกดูเป็นส่วนเกิน

เขาต้องการพาเสิ่นอวี้อิ๋งออกไปจากที่นี่ แต่ลูกชายของเขารอรับการรักษาอยู่ ในฐานะพ่อ ถ้าออกไปตอนนี้ เซี่ยหลานคงหย่ากับเขาเร็วขึ้น

นอกจากนี้ เขายังต้องการเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับเซี่ยเหลยบ้าง เพราะไม่ได้พบกันมานานกว่าสิบปี

ได้ยินมาว่าขาของเขาพิการ แสดงว่าอาจจะเป็นง่อย

ความทรงจำขาด ๆ หาย ๆ แสดงว่ามีอาการสมองเสื่อมด้วย

เสิ่นเถี่ยจวินยืนนิ่งด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ไม่พูดไม่จากับใครเลย

เราทุกคนล้วนต่างมีวุฒิภาวะกันแล้ว สถานที่แบบนี้ไม่ใช่ที่ที่จะมาแสดงความบาดหมางกัน เสิ่นเถี่ยจวินจึงเลือกเพิกเฉยไปซะ

เสิ่นอวี้อิ๋งมองลึกเข้าไปในแววตาอันน่ากลัวของเสิ่นเถี่ยจวิน เห็นว่าเขาพยายามยืนห่างจากเธอ ทั้งยังพยายามปั้นหน้าเพื่อแทรกตัวเองเข้าไปมีตัวตนต่อหน้าเซี่ยหลาน

ไม่ว่ายังไงก็ตาม เสิ่นอวี้อิ๋งยังเป็นลูกสาวของเธอ เซี่ยหลานรู้สึกผิดต่อเธอมาก และยังรักเธอมากเช่นกัน

เสิ่นอวี้อิ๋งมักเป็นคนชอบเล่นแง่ แต่สำหรับเซี่ยหลานแล้วพอจะเข้าใจได้ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเธอรู้สึกไม่มั่นคง อาจเกิดจากสภาพแวดล้อมของชีวิตในอดีตด้วย

ถึงอย่างนั้น ทั้งครอบครัวของเธอและคนอื่น ๆ ดูเหมือนจะไม่ชอบหน้าลูกสาวคนนี้เท่าไหร่นัก

ในที่สุดประตูห้องรักษาก็เปิดออก

หมอเย่พาเซี่ยเหลยออกมาจากห้องด้วยตัวเอง

เมื่อพวกเขาเปิดประตู และเห็นผู้คนมากมายยืนรอกันอยู่พร้อมหน้า ทั้งคู่ต่างทำหน้าประหลาดใจ

นางเซี่ยรีบก้าวไปข้างหน้าแล้วถามว่า “หมอเย่ ขาของลูกชายฉันเป็นยังไงบ้างคะ?”

“ไม่ต้องกังวลไปๆ การรมยาจะได้ผลดีต่อการรักษาอาการบาดเจ็บตรงกระดูกหัวเข่า”

เซี่ยหลานเงยหน้าขึ้น พอเห็นชายคนนั้นเดินกะโผลกกะเผลกออกมาจากประตู ทันใดนั้นเธอค่อย ๆ กำมือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวแน่น

ไม่มีความวุ่นวายใดเกิดขึ้นในใจของเธอ เขาเป็นแค่ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่และร่าเริงคนหนึ่งในความทรงจำ และตอนนี้เขากลายเป็นคนพิการไปแล้ว แววตาคู่นั้นว่างเปล่า ถึงอย่างนั้นหัวใจของเธอยังคงเต้นแรง

ได้ยินมาว่าเขาต้องผ่านความทุกข์ทรมานมาไม่น้อย ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะกลับมาพบเจอผู้คนได้ ตอนแรกเธอไม่รู้สึกอะไรมากนัก แต่ตอนนี้เมื่อได้เห็นเขากับตาตัวเอง เธอถึงสัมผัสได้ว่าผู้ชายคนนี้เหมือนตายแล้วเกิดใหม่จริง ๆ

อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป เธอไม่รู้สึกอะไรกับเขาอีกแล้วนอกเหนือจากความสงสารเห็นใจ

อีกด้านหนึ่ง ดวงตาของเสิ่นเถี่ยจวินเต็มไปด้วยความเย็นชา

เมื่อลดระดับสายตาลงมองขาของเซี่ยเหลย มุมปากของเขาก็โค้งงอขึ้นเล็ก ๆ

ช่างน่าสังเวชจริง ๆ

เขาหรี่ตาลงและเหลือบมองไปทางเซี่ยหลาน

แต่เซี่ยหลานนั้นดูสงบมาก เอาแต่สนใจสอบถามหมอเย่ว่าการรักษาเสิ่นอวี้หลงได้เรื่องยังไงบ้าง

ใช่แล้ว ความคิดทั้งหมดของเธอในตอนนี้อยู่ที่ลูกชาย

หลินเซี่ยสังเกตเห็นดวงตาของเสิ่นเถี่ยจวิน จึงก้าวไปข้างหน้าด้วยความโกรธ หมายบดบังการจ้องมองอันไร้มารยาทของเขา

เซี่ยไห่และเซี่ยอวี่ทักทายขึ้น “พี่ใหญ่ รู้สึกยังไงบ้าง?”

เซี่ยเหลยตอบกลับ “ดีขึ้นมากเลย”

“สวัสดี สหายเซี่ยเหลย”

“สหายเซี่ยเลย ผมชื่อเฉินต้าหลี่ อดีตผู้บังคับบัญชาของกรมทหารที่ 302 เราถือเป็นสหายร่วมหน่วยเดียวกัน”

ผู้เฒ่าเฉินยืนตัวตรง และทำความเคารพด้วยการวันทยหัตถ์อย่างเคร่งขรึม

ผู้เฒ่าเฉินทำความเคารพเซี่ยเหลยในแบบทหาร ทุกคนที่อยู่ที่นั้นต่างรู้สึกประทับใจ แม้เซี่ยเหลยจะจดจำตัวเองในอดีตไม่ได้ แต่เหมือนเขาจะรู้ตัวว่าครั้งหนึ่งตัวเองเคยเป็นทหาร

เขาทำท่าวันทยหัตถ์ทักทายผู้เฒ่าเฉินกลับทันที

เซี่ยเหลยทักทายเขาว่า “สวัสดีครับ ท่านผู้บังคับบัญชา”

ผู้เฒ่าเฉินรู้สึกสะเทือนใจอย่างมาก เมื่อเห็นว่าวินัยทางการทหารของเซี่ยเหลยนั้นยังคงมาตรฐานไว้ไม่เคยเปลี่ยน

แม้เขาจะสูญเสียความทรงจำ แต่จิตวิญญาณทหารไม่เคยสูญหาย

หลังจากผู้เฒ่าเฉินแสดงความเคารพต่อสหายทหาร สีหน้าเขาดูดีใจมากและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นอกจากนี้ผมยังเป็นปู่ของเฉินเจียเหอด้วย เราถือเป็น… คนรู้จักกัน”

เซี่ยเหลยพยายามปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงตัวตนของผู้เฒ่าเฉินได้อย่างเป็นธรรมชาติ “ด้วยความยินดีครับ คุณเฉิน”

ผู้เฒ่าเฉินดึงเฉินเจียวั่งเข้ามาแล้วพูดว่า “หลานชายผมก็มารับการรักษาจากหมอเย่เหมือนกัน เราน่าจะได้พบกันบ่อย ๆ ในวันข้างหน้านะ”

“ถือเป็นเกียรติครับ”

เฉินเจิ้นเจียงก็เข้ามาแนะนำตัวเองด้วยว่า “ผมชื่อเฉินเจิ้นเจียง เป็นพ่อของเฉินเจียเหอ และผมเองก็แก่กว่าคุณไม่กี่ปี คุณจะเรียกผมว่าพี่ก็ได้”

จริง ๆ แล้วพวกเราเป็นครอบครัวฝั่งสามีของลูกสาวคุณ

“สวัสดีครับ”

หลังจากเซี่ยเหลยสวัสดีสมาชิกตระกูลเฉิน เขาก็รู้สึกว่าดวงตามืดมนคู่หนึ่งกำลังจ้องมองมาที่เขา ทำให้รู้สึกขนลุกชันไปทั้งตัวโดยไม่มีสาเหตุ

เขามองไปยังทิศทางนั้น เห็นชายคนหนึ่งอายุน่าจะไล่เลี่ยกับเขากำลังยืนจ้องเขม็งมาทางนี้ แต่พอเขามองหน้าอีกฝ่ายกลับ ชายคนนั้นก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่น

นางเซี่ยกลัวว่าเสิ่นเถี่ยจวินจะใจร้อนและคิดทำอะไรบ้า ๆ เธอจึงบอกกับผู้เฒ่าเฉินและคนอื่นว่า “คุณปู่เจียเหอ เราอาจต้องขอตัวก่อน พวกคุณก็อยู่กันดี ๆ นะคะ”

ผู้เฒ่าเฉินยิ้มและพยักหน้า “อืม ไว้ไปทานมื้อเย็นด้วยกันเมื่อมีเวลานะครับ”

“คุณปู่ ผมกับเซี่ยเซี่ยก็จะกลับไปพร้อมพวกเขาเหมือนกัน คุณปู่กับพ่ออยู่รอเจียวั่งก่อนนะครับ”

“อืม รีบกลับเถอะ”

ขณะที่เซี่ยเหลยเดินผ่านเซี่ยหลาน พวกเขาดูเหมือนเป็นคนแปลกหน้าต่อกันไปโดยปริยาย

เซี่ยหลานอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเขาจากด้านข้าง

แค่มองแวบเดียว เธอก็ฟื้นความสงบและรีบปลีกตัวไปคุยกับหมอเย่เกี่ยวกับอาการของเสิ่นอวี้หลง

หมอเย่พูดกับเฉินเจียวั่งว่า “เจียวั่ง เดี๋ยวรอสักพักนะ ฉันขอตรวจดูอาการของเสิ่นอวี้หลงก่อน”

“ตามสบายเลยครับหมอเย่ พวกเราไม่รีบอยู่แล้ว”

หลังจากหมอเย่ตรวจตรวจดูอาการของเสิ่นอวี้หลงเสร็จ เสิ่นเถี่ยจวินจึงถามหมอเย่ว่า “หมอเย่ เสิ่นอวี้หลงมีอาการเป็นยังไงบ้างครับ? มีส่วนไหนในร่างกายเป็นอะไรอีกไหม?”

หมอเย่ตอบว่า “สภาพร่างกายส่วนอื่นก็ปกติดีครับ”

“อ้อ”

“ว่าแต่คุณคือพ่อของเสิ่นอวี้หลงใช่ไหม?” หมอเย่ถามอย่างเน้นย้ำกับเสิ่นเถี่ยจวินอย่างไม่คุ้นเคย

เสิ่นเถี่ยจวินรีบตอบกลับ “ใช่แล้วครับ ผมคือพ่อของเสิ่นอวี้หลง”

หมอเย่มองหน้าเขาและพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “จากที่ดูอาการ ผมพอจะรักษาเด็กคนนี้ได้ แต่ในฐานะหมอแผนจีน ผมรับประกันไม่ได้ว่าต่อจากนี้จะรักษาเขาได้มากน้อยแค่ไหน ได้แต่บอกว่าผมจะทำให้ดีที่สุด”

“คุณหมอเย่คะ ความหวังทั้งหมดของเราตอนนี้คงต้องฝากไว้กับคุณแล้ว”

หมอเย่มองไปทางเซี่ยหลานที่ดูกังวลและสีหน้าดูแย่มาก เขาถอนหายใจและตอบกลับว่า “ผมเข้าใจแล้ว”

ขณะหมอเย่กำลังคุยกับเซี่ยหลาน เสิ่นอวี้อิ๋งก็เข้ามาหาหมอเย่ พูดด้วยรอยยิ้มหวานว่า “หมอเย่คะ หนูเชื่อว่าคุณหมอจะต้องรักษาน้องชายได้แน่ ๆ เพราะตอนนั้นคุณหมอก็เคยช่วยชีวิตหนูไว้เหมือนกัน”

“เธอคือ…” หมอเย่มองไปทางเสิ่นอวี้อิ๋งด้วยความรู้สึกไม่คุ้นเคย

ฉันเคยช่วยชีวิตเธอไว้เหรอ?

เสิ่นอวี้อิ๋งจึงแนะนำตัวเอง “ชื่อเดิมของหนูคือหลินเซี่ย เป็นอดีตลูกสาวของหลินต้าฝู หนูเคยรับการรักษาจากคุณเมื่อนานมาแล้วค่ะ”

หลังจากได้ยินการแนะนำตัวของเสิ่นอวี้อิ๋ง หมอเย่มองเธออีกครั้งแล้วอุทานว่า “อ้อ เธอคือหนูน้อยตัวเล็ก ๆ คนนั้นเองเหรอ?”

เสิ่นอวี้อิ๋งเห็นว่าหมอเย่จำเธอได้ และเรียกเธอตามชื่อเล่นที่เขาเคยตั้งให้ เธอจึงเริ่มทำความคุ้นเคยกับเขาให้มากขึ้นทันที “ใช่แล้วค่ะ หนูคือหนูน้อยตัวเล็กคนนั้นเอง”

เมื่อเสิ่นอวี้อิ๋งได้พบคนรู้จักที่นี่ เธอจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร พลางมองหมอเย่แล้วพูดอย่างไพเราะว่า “คุณลุงเย่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาหนูคิดถึงคุณลุงมากเลยค่ะ ตอนที่หนูอยู่ในชนบทก็เคยอยากขอให้พ่อพาหนูไปเยี่ยมคุณลุง แต่น่าเสียดายที่พ่อของหนู…”

เสิ่นอวี้อิ๋งก้มหน้าลงขณะพูดถึงเรื่องนี้

หมอเย่ได้ฟังก็ถอนหายใจ และรู้สึกหนักใจมาก

เขามองไปทางเสิ่นเถี่ยจวินและเซี่ยหลาน ก่อนจะตำหนิพวกเขาด้วยความโกรธ

“พวกคุณเป็นพ่อแม่คนกันแล้วแท้ ๆ ทำไมถึงได้เลินเล่อนักถึงขนาดสับสนอุ้มเด็กกลับไปผิดคน? ตอนที่ต้าฝูมาหาผมพร้อมกับเด็กคนนี้ในอ้อมแขน เธอตัวผอมราวกับลูกหนูน่าสงสาร ทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ตอนนั้นผมคิดว่าเด็กคนนี้คงหมดหวังจะรอดแล้ว ถ้าไม่ใช่ต้าฝูคุกเข่ารออยู่หน้าประตูบ้านและขอร้องผมในวันที่หิมะตกหนัก ผมคงไม่กล้ารับเธอมารักษาแน่!”