ทหารม้านายนั้นกล่าวตอบ “แม่ทัพเฉินไล่ตามพวกเขาด้วยตนเอง อาศัยข่าวกรองภายในทำให้จับพวกเขาทั้งหมดได้ในคราวเดียว แม่ทัพเฉินรายงานว่ากองทหารราชองครักษ์สามพันนายถูกพวกเราแบ่งกำลังออกล่าทำลาย ส่วนราชนิกุลทั้งหมดถูกจับตัว จ้าวเจียถูกจับมัด คาดว่าพรุ่งนี้จะส่งตัวมาถึงเจี้ยนเย่พ่ะย่ะค่ะ”
หลี่จื้อออกคำสั่งไป “นำคำสั่งไปให้แม่ทัพหวง ให้เขาพาคนไปสนับสนุน จะต้องนำตัวจ้าวเจียกลับมาเจี้ยนเย่อย่างปลอดภัยให้ได้”
กล่าวจบหลี่จื้อก็แย้มยิ้มพราย “นับว่าสำเร็จภารกิจแล้ว หากจับตัวจ้าวเจียไม่ได้ การมาของพวกเราคงเสียเปล่า ซือหม่าสยง จำเรื่องที่ข้ามอบหมายเจ้าไว้ได้หรือไม่ ข้ารู้สึกไม่วางใจ เจ้ารีบไปด้วยตนเองสักเที่ยวเถิด จะต้องปกป้องที่นั่นให้ปลอดภัยให้ได้”
ซือหม่าสยงรับคำสั่ง จากนั้นจึงกำชับให้ผู้ช่วยคุ้มครองยงอ๋องให้ดีแล้วบึ่งทะยานออกไปด้วยความสงสัยที่อัดแน่น ก่อนเข้าเมืองยงอ๋องสั่งให้เขาส่งคนไปยังพื้นที่บริเวณชานเมืองทางเหนือ ให้เขาปกป้องที่นั่นอย่างแน่นหนา เขารู้มาคร่าวๆ ว่านั่นเป็นจวนของขุนนางหนานฉู่คนหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดองค์ชายจึงเห็นคนผู้นั้นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด
เมื่อมาถึงชานเมืองทางเหนือ ซือหม่าสยงก็เห็นเคหาสน์หลังเล็กอยู่ไกลๆ ด้านนอกมีทหารม้าร้อยกว่านายล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนา กระทั่งน้ำสักหยดก็มิอาจไหลผ่าน ซือหม่าสยงควบม้าเข้าไปใกล้ เห็นว่าบนป้ายหน้าเคหาสน์มีคำว่า ‘เคหาสน์ชางอวิ๋น (ซ่อนเมฆา)’ เขียนอยู่ แม้ซือหม่าสยงจะมีความรู้ทางอักษรเพียงงูๆ ปลาๆ แต่ก็รู้สึกว่าตัวอักษรสง่างามพลิ้วไหวดูวิจิตรยิ่ง เมื่อเขาควบม้าเข้าไปใกล้ ต้วนเสี้ยวเว่ยที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูพลันเดินเข้ามา ถือดาบคารวะ
ซือหม่าสยงเอ่ยถาม “สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”
ต้วนเสี้ยวเว่ยรีบตอบ “ท่านแม่ทัพขอรับ หลังจากพวกเราล้อมที่นี่ไว้แล้วก็มีเด็กคนหนึ่งออกมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าตอบว่านี่คือคำสั่งทัพของยงอ๋อง เขาก็กลับเข้าไป จากนั้นด้านในก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอีก”
ซือหม่าสยงส่ายศีรษะด้วยความฉงน เขาไม่รู้ว่าเหตุใดยงอ๋องจึงทำเช่นนี้ ทั้งยังให้ตนเองมาส่งต่อคำพูดแทนเสียด้วย เขากระโดดลงจากม้า เดินไปเคาะประตู ไม่นานก็มีเด็กรับใช้หน้าตาหล่อเหลากระจ่างใสอายุราวสิบห้าสิบหกปีคนหนึ่งออกมาเปิดประตู มองเขาด้วยสีหน้าสุขุมสงบนิ่ง ถามว่า “ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพมีสิ่งใดจะรับสั่งหรือขอรับ”
ซือหม่าสยงตอบ “ข้าคือซือหม่าสยง ได้รับพระบัญชาจากยงอ๋องให้มาพบท่านเจียง เจียงเจ๋อ”
เด็กรับใช้ผู้นั้นแย้มยิ้มเล็กน้อย “ท่านแม่ทัพ เชิญเข้ามาเลยขอรับ”
ซือหม่าสยงเดินตามเด็กรับใช้ผู้นั้นเข้าไปในเคหาสน์ ในใจยิ่งรู้สึกพิสดารนัก เคหาสน์แห่งนี้แม้จะไม่ใหญ่ แต่มีศาลาและหอน้อยอยู่หลายแห่ง ระหว่างศาลาแต่ละแห่ง บ้างก็เป็นน้ำพุไหลแผ่วเบา บ้างก็เป็นไม้เลื้อยหรือต้นไผ่ต้นสน ให้ความรู้สึกสดชื่นเปรมปรีดิ์ เด็กรับใช้ผู้นั้นเดินด้วยฝีเท้าแผ่วเบาว่องไว พาซือหม่าสยงเดินเลียบไปตามถนนหินเล็กๆ ไม่นานก็ไปถึงหอน้อยแห่งหนึ่งที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางป่าไผ่เขียวขจี
บริเวณประตูมีบุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาขาวเนียนคละเคล้าไปด้วยกลิ่นอายสงบนิ่งยืนอยู่ เขามองซือหม่าสยงยิ้มๆ ถามว่า “ท่านแม่ทัพขอรับ เดิมทีคุณชายของข้าควรออกไปต้อนรับด้วยตนเอง เพียงแต่คุณชายเป็นบัณฑิตของหนานฉู่ ไม่สะดวกออกไปต้อนรับ ขอท่านแม่ทัพโปรดอภัย”
ซือหม่าสยงได้ยินเสียงของคนผู้นี้พลันเกิดความรู้สึกหนาวยะเยือก จากนั้นจึงสั่นสะท้าน รีบจับกระบี่ที่เอวโดยพลัน คนผู้นี้หน้าตาหล่อเหลาเนียนใส แต่เสียงกลับแหลมเล็กดังสตรี ซือหม่าสยงติดตามข้างกายยงอ๋องอยู่บ่อยๆ รู้ดีว่าคนประเภทหนึ่งจะมีลักษณะพิเศษเช่นนี้ จึงถามไปด้วยความสงสัย “เจ้าเป็นใคร เหตุใดมาอยู่ที่นี่”
ในดวงตาของคนผู้นั้นเกิดประกายเย็นเยียบ “บ่าวหลี่ซุ่น เดิมทีทำงานในวังหลวงหนานฉู่ สนิทสนมกับใต้เท้าเจียง ต่อมามิอาจทนการต่อสู้แย่งชิงในวังหลวงจึงออกจากวังมาอยู่ปรนนิบัติข้างกายคุณชายแทน ทำให้ท่านแม่ทัพสงสัยแล้ว”
ซือหม่าสยงพยักหน้าอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “รบกวนพาข้าเข้าไปพบใต้เท้าเจียงด้วย”
หลี่ซุ่นหันไปเปิดประตูหอน้อย เชิญซือหม่าสยงเข้าไป ซือหม่าสยงมองเขาเพียงชั่วขณะแล้วเดินเข้าไปในหอ เพียงมองไปก็พบบุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหล่าอ่อนโยนดุจบัณฑิตนั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือตัวหนึ่ง อีกฝ่ายกำลังมองมาที่ตนด้วยสายตาเรียบเฉย บนโต๊ะหนังสือเบื้องหน้ามีตำราที่ถูกเปิดทิ้งไว้เล่มหนึ่งและกระดาษร่างอักษรจำนวนหนึ่งวางอยู่ พู่กันขนแกะชั้นยอดเปื้อนหมึกถูกวางไว้บนชั้นสำหรับวางพู่กัน ดูท่าทางก่อนตนมาเขาคงกำลังเขียนอะไรบางอย่างอยู่กระมัง
ซือหม่าสยงเห็นบุรุษหนุ่มผู้นี้พลันนึกถึงคนที่เขาเคยพบในสู่จงเมื่อสามปีก่อน ตนเคยเจอเขาที่ค่ายใหญ่ ยามนั้นเขามากับเต๋อชินอ๋องแห่งหนานฉู่ ทั้งยังเคยสนทนาลับกับยงอ๋องครู่หนึ่งด้วย ต่อมาในงานเลี้ยงอำลา บุรุษผู้นี้ใช้บทกวี ‘แตกสลายเพียงครู่’ บีบบังคับสู่อ๋องจนตาย น่าเสียดายที่ตนจำได้เพียงว่าคนผู้นี้คือที่ปรึกษาเจียง แต่กลับไม่รู้ว่าเขาคือใต้เท้าเจียงที่ตนต้องมาเข้าพบวันนี้
เขาคารวะอย่างทหารตามสัญชาตญาณ คนผู้นี้คือคนที่เขาเคารพเลื่อมใสเป็นการส่วนตัว แม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดยามสู่อ๋องได้ยินบทกวีของอีกฝ่ายแล้วจะต้องฆ่าตัวตายก็ตาม
เขาเอ่ยอย่างเคารพนอบน้อม “ข้าซือหม่าสยงเป็นแม่ทัพคนสนิทของยงอ๋อง ได้รับพระบัญชาจากองค์ชายให้มาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบต่อใต้เท้า องค์ชายกล่าวว่าวันนี้องค์ชายยุ่งอยู่กับกิจทหาร จะมาเยี่ยมเยียนท่านตอนฟ้ามืด หวังว่าท่านจะยอมพบสักครั้ง”
ข้ากล่าวอย่างเฉยเมย “ตอนนี้ผู้แซ่เจียงเป็นเพียงปุถุชน ทั้งยังคล้ายถูกกักขังอยู่ในบ้าน จะมีคุณสมบัติอันใดไปปฏิเสธการเยี่ยมเยียนของยงอ๋องเล่า กลับไม่รู้ว่าผู้น้อยกระทำความผิดอันใด ยามผู้แซ่เจียงรับราชการก็เป็นเพียงซือตู๋ขุนนางอันดับสี่เท่านั้น ได้ยินว่าขุนนางอันดับสามขึ้นไปจึงจะถูกคุมขัง เหตุใดข้าที่เคยเป็นเพียงขุนนางอันดับสี่จึงถูกกักบริเวณด้วยเล่า”
ซือหม่าสยงตอบอย่างกระอักกระอ่วน “ใต้เท้าเจียงกล่าวหนักไปแล้ว องค์ชายให้ความใส่ใจและดูแลท่านอย่างพร้อมพรัก ทรงเป็นกังวล กลัวว่าท่านจะถูกรบกวนจากสถานการณ์วุ่นวายของการศึกจึงส่งคนมาปกป้องคุ้มครองเท่านั้น ท่านอย่าได้เข้าใจผิด หากมีสิ่งใดไม่ครบถ้วน โปรดเห็นแก่หน้าองค์ชาย อย่าได้ตำหนิคนหยาบกร้านเช่นพวกเราเลย”
ข้าหัวเราะเบาๆ “ในเมื่อท่านแม่ทัพมาแล้ว เช่นนั้นเสี่ยวซุ่นจื่อ เจ้าไปรินชามาเสียหน่อย เชิญท่านแม่ทัพนั่งก่อน”
ซือหม่าสยงรีบร้อนกล่าว “ท่านเจียงไม่จำเป็นต้องมากมารยาท ข้าจะกล้ารบกวนท่านที่ไหนกัน หากท่านสะดวก โปรดเตรียมห้องว่างให้ข้าห้องหนึ่ง และอนุญาตให้ข้าจัดการกิจทหารได้เป็นพอ”
ข้ามองเขาปราดหนึ่ง พูดว่า “เต้าหลี เจ้าพาแม่ทัพท่านนี้ไปพักผ่อนที่ห้องรับรองแขกก่อน”
เต้าหลีส่งเสียงตอบรับขณะเดินออกมาจากด้านหลังข้า คารวะไปทางซือหม่าสยงครั้งหนึ่ง “ท่านแม่ทัพเชิญตามข้ามาขอรับ”
ซือหม่าสยงมองเด็กรับใช้ที่เมื่อครู่คล้ายมิได้สังเกตเห็น จากนั้นจึงกล่าวลาข้าแล้วเดินออกไป
ข้าหัวเราะ กล่าวพึมพำกับตนเองว่า “มิน่าเล่า ชื่อของยงอ๋องจึงดังเลื่อนลั่นไปทั้งใต้หล้า แม่ทัพคนสนิทล้วนเข้าใจมารยาทเพียงนี้ รู้จักรับรู้จักถอย”
เสี่ยวซุ่นจื่อกล่าวเสียงต่ำ “คิดไม่ถึงว่ายงอ๋องจะใส่ใจท่านเพียงนี้ ท่านว่าพวกเราจะไปกันตอนนี้เลยดีหรือไม่”
ข้าส่ายหน้า “จะช้าจะเร็วแผ่นดินก็ต้องเป็นของต้ายง หากข้าไปเช่นนี้คงกลายเป็นนักโทษอย่างมิอาจเลี่ยง รอเขามาค่อยคุยกันให้ชัดเจนเถิด”
หลี่จื้อมายังพระราชวังของหนานฉู่ สั่งให้ทหารปิดตำหนักทุกตำหนัก ส่วนตนอยู่ทำงานที่ตำหนักแห่งหนึ่ง จัดการกิจทหารไปพลาง รอข่าวขององค์หญิงฉางเล่อไปพลาง โชคดีที่ไม่นานก็มีองครักษ์นายหนึ่งเข้ามารายงาน “องค์ชาย องค์หญิงกลับมาอย่างปลอดภัยแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ทรงรออยู่นอกตำหนักแล้ว”
หลี่จื้อยินดียิ่ง รีบเดินออกไปยังประตูตำหนักพลางตะโกนว่า “ฉางเล่อ ฉางเล่อ เจ้ามาแล้วหรือ”
สิ้นเสียงของเขาก็มีสตรีในอาภรณ์สามัญนางหนึ่งวิ่งเข้ามาจากนอกตำหนัก เขารีบกอดร่างผอมบางของน้องสาวตน พูดยิ้มๆ ว่า “น้องพี่ ในที่สุดเจ้าก็กลับมาอยู่ข้างกายพี่รองแล้ว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าไม่จำเป็นต้องหวั่นกลัวเรื่องใดอีก จริงสิ คนที่มาส่งเจ้าเล่า เหลียงหวั่นเล่า”
ในดวงตาขององค์หญิงฉางเล่อพลันมีประกายหวาดผวาปรากฏ “เสด็จพี่ พี่เหลียงบ้าไปแล้ว ส่วนคนอื่นๆ อยู่ด้านนอก”
หลี่จื้อขมวดคิ้ว “บอกให้พวกเขาเข้ามา”
หลังสิ้นเสียง บุรุษสวมชุดธรรมดาสิบกว่าคนก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้าซีดเซียว สองคนที่เดินอยู่หลังสุดกำลังลากเหลียงหวั่นที่ร้องห่มร้องไห้เข้ามาด้วย เมื่อเห็นยงอ๋อง ดวงตาของพวกเขาพลันเกิดประกายยินดี รีบคุกเข่าถวายความเคารพโดยพลัน หลี่จื้อบอกให้พวกเขาลุกขึ้น ถามว่า “เกิดอะไรขึ้น เหลียงหวั่นเป็นอะไรไป”
ชายฉกรรจ์ผู้เป็นหัวหน้ากล่าวขึ้นว่า “องค์ชาย เหลียงหวั่นหันไปพึ่งพิงรัชทายาทแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการตัดสินใจของเจ้าสำนักเฟิงอี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของหลี่่จื้อเย็นยะเยือก เขาคาดเดาเรื่องนี้ได้นานแล้ว เพียงคิดไม่ถึงว่าเจ้าสำนักเฟิงอี้จะโอหังปานนี้ เขาถามไปว่า “พวกเจ้ารู้ได้อย่างไร อีกอย่าง เกิดอะไรขึ้นกับเหลียงหวั่นกันแน่”
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นคิดในใจว่า หากตนยังพูดต่อไปอีก เกรงว่าคงพูดในสิ่งที่ไม่สมควรเป็นแน่ บุรุษที่น่าพรั่นพรึงปานนั้น หากกลายเป็นศัตรูขององค์ชายเพราะเรื่องนี้จริงๆ องค์ชายที่มีภัยอันตรายรอบด้านจะต้องยิ่งอันตรายขึ้นเป็นแน่ เขาจึงคารวะอีกครั้ง “องค์ชาย ยามกระหม่อมอยู่ที่เจียงหนานไม่เคยลืมคำสั่งสอนขององค์ชายแม้เพียงนิด เรื่องในวันนี้เป็นเหตุสุดวิสัย องค์ชายโปรดดูแลครอบครัวกระหม่อมด้วย”
กล่าวจบเขาก็หยิบมีดพกมากวัดแกว่งสังหารตนเองจนดับดิ้น ขณะที่เขาชักมีดออกมา เหล่าองครักษ์ขององค์ชายล้วนคิดว่าพวกเขาจะลอบสังหาร กำลังจะเข้ามาขัดขวาง แต่ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายกลับฆ่าตัวตายเสียได้ หลี่จื้อตกใจยิ่ง กำลังจะถามคนอื่นแต่กลับพบว่าพวกเขาพูดอย่างพร้อมเพียงว่า “องค์ชายโปรดดูแลครอบครัวกระหม่อมด้วย องค์ชายโปรดรักษาพระวรกายให้ดี”
กล่าวจบก็ใช้มีดฆ่าตัวตายไปด้วยกัน ชั่วขณะนั้นในตำหนักเต็มไปด้วยโลหิตที่หลั่งไหลราวสายธารา องค์หญิงฉางเล่อตกใจจนกรีดร้องเสียงดัง เบือนหน้าหนีไม่กล้าหันกลับไปมอง
หลี่จื้อสับสนมิคลาย เขามองภาพอันพิสดารเบื้องหน้าด้วยความตะลึงพรึงเพริด ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี เมื่อถามองค์หญิงฉางเล่อ องค์หญิงฉางเล่อรู้เพียงว่าตนและคนเหล่านี้ถูกลักพาตัวไป แต่ตนไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย หลังจากนั้นไม่นานตนและสายลับเหล่านี้ก็ถูกปล่อยตัว เพียงแต่เหลียงหวั่นกลับเป็นบ้าเสียสติ ครั้นตนถามสายลับเหล่านั้น พวกเขากลับเงียบงันไม่พูดจา
เมื่อได้ยินคำตอบขององค์หญิงฉางเล่อ หลี่จื้อก็ยิ่งสับสน ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ตอนต่อไป