ลูกศิษย์ของลู่โจวรู้ดีว่าคำพูดของผู้เป็นอาจารย์หมายความว่าอะไร
ศิษย์คนแรกของต้วนมู่เฉิงได้เคลื่อนไหวคนแรก ตัวเขาได้ยกหอกราชันย์ขึ้นมาก่อนที่จะควงไปบนอากาศด้วยกำลังทั้งหมดที่มี
หอกราชันย์ถูกห่อหุ้มไปด้วยพลัง ปลายของมันได้ส่องแสงระยิบระยับออกมาในระหว่างที่ลอยอยู่บนอากาศ
ใครก็ตามที่มีสายตาที่เฉียบแหลมจะมองออกอย่างง่ายดายว่ามันเป็นอาวุธระดับสรวงสวรรค์
อาวุธระดับสรวงสวรรค์ได้พูดแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ ระดับที่ถูกแบ่งออกยังเป็นอะไรที่ไม่แน่ชัด ความแตกต่างของอาวุธระดับสรวงสวรรค์ที่แตกต่างกับชิ้นอื่นๆ อย่างชัดเจนก็คือดาบยืนยาวของยู่ฉางตง มันเป็นดาบที่สามารถทำหลายดาบคู่ของซู่ผิงได้อย่างง่ายดาย นอกเหนือจากความแข็งแกร่งของอาวุธแล้วความแข็งแกร่งของผู้ถือครองเองก็ยังมีส่วนสำคัญ เมื่อผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีพลังร่างอวตารดอกบัว 1 กลีบครอบครองอาวุธเทียบกับผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีพลังร่างอวตารดอกบัว 5 กลีบ ผู้ที่มีพลังวรยุทธสูงกว่าจะสามารถใช้อาวุธระดับสรวงสวรรค์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น
ฝูงชนเริ่มส่งเสียงเชียร์เมื่อต้วนมู่เฉิงเริ่มควงหอก
ปั๊ง!
หอกราชันย์ได้กระแทกกับพื้นหินอ่อนที่อยู่ห่างจากวู่เหนียน แม่ชีผู้ปกครองวิหารเมฆาสว่าง
พื้นหินอ่อนที่ถูกกระแทกได้แตกกระจายไปไกลกว่าหลายสิบเมตร
หยวนเอ๋อเองก็ใช้สายสะพายนิพพานของตัวเอง นางได้กลิ้งตัวไปตามท้องฟ้าด้วยผ้าสีแดงสดก่อนที่จะขวางทางเหล่าแม่ชีพวกนั้นเอาไว้
หมิงซี่หยินได้เดินมาอย่างสบายใจ เขาได้ใช้เคียวพื้นพิภพขวางทางไปของเหล่าแม่ชีเอาไว้ รอยยิ้มที่ดูสบายๆ ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
เหล่าผู้ชมต่างก็ตกอยู่ในความวุ่นวายอีกครั้ง บางทีอาจเป็นเพราะความคิดที่เปลี่ยนไป ฝูงชนทั้งหลายต่างก็ระส่ำระสายกันเป็นพิเศษ หลังจากที่ค้นพบกับการกระทำที่น่ารังเกียจของสำนักดาบสวรรค์พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกรังเกียจแม่ชี้ที่เข้าข้างลั่วซิงกง
“อามิตตาพุทธ…ประสกกำลังหมายความว่าอะไรกันแน่? “
ลู่โจวมองไปที่แม่ชีวู่เหนียน ก่อนที่เขาจะหันไปมองแส้หยกหางม้าแทน “เจ้าจะออกไปได้ก็ต่อเมื่อทำลายพลังวรยุทธของตัวเองทิ้งไปและทิ้งแส้หยกหางม้าเอาไว้ที่นี่ก็เท่านั้น”
วู่เหนียนที่ได้ฟังแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก “…”
น้ำเสียงของลู่โจวไม่ได้ฟังดูเร่งรีบอะไร น้ำเสียงของเขาไม่ได้เคร่งขรึมหรือไม่ได้อ่อนนุ่มจนเกินไป บางทีนี่อาจจะเป็นพลังรูปแบบหนึ่งของลู่โจว พลังที่ทำให้ทุกคนจะต้องเงียบเพื่อฟัง แม้ว่าจะไม่ใช้พลังลมปราณแต่ถึงแบบนั้นทุกคนต่างก็ได้ยินคำพูดของเขาอย่างชัดเจน
“ประสก แม่ชีแห่งวิหารเมฆาสว่างไม่ได้ทะเลาะเบาะแว้งอะไรกับศาลาปีศาจลอยฟ้า ทำไมท่านจะต้องทำให้ข้าลำบากใจแบบนี้ด้วย? ” วู่เหนียนได้ถามออกมาอย่างไร้เดียงสา
ลู่โจวถอนหายใจก่อนที่จะส่ายหัว ถึงแม้จะได้ยินแบบนั้นแต่เขาก็ไม่ได้ใจอ่อนอะไร “จิงหยานไม่ได้บอกอะไรเจ้าอย่างงั้นหรอ? “
วู่เหนียนรู้สึกงุนงง สัญชาตญาณได้บอกนางเอาไว้ว่าอาจารย์ของนางอย่างจินหยานมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างกับปรมาจารย์ศาลาปีศาจลอยฟ้าคนนี้ ในตอนที่วู่เหนียนยังเป็นเด็ก นางได้เข้ามาอยู่ในวิหารเมฆาสว่างก่อนที่จะเติบโตอยู่ที่นั่น นางเติบโตอยู่ภายใต้การดูแลของจิงหยานมาเป็นเวลากว่าศตวรรษแล้ว แต่ถึงแบบนั้นนางก็ไม่เคยได้ยินผู้เป็นอาจารย์พูดถึงศาลาปีศาจลอยฟ้าเลย ในตอนท้ายนางได้เหยียดฝ่ามือตรงๆ ก่อนที่จะพูดขึ้น “ประสก ข้าไม่เข้าใจความหมายที่ท่านพูด ท่านช่วยอธิบายให้ข้าฟังทีจะได้ไหม? “
ลู่โจวได้พูดขึ้น “ชั่วช้า” เมื่อนึกย้อนไปถึงความทรงจำของจีเทียนเด๋า ตัวเขาก็นึกถึงอะไรหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นมาในช่วงชีวิต เวลาเปลี่ยนทำให้ผู้คนนั้นเปลี่ยนไป แม้ว่าจะมีอะไรหลายอย่างเปลี่ยนไปแต่ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม
“ทำไมประสกถึงต้องพูดแบบนั้นด้วย? ” แม่ชีทั้งสิบได้ก้าวไปข้างหน้า พวกนางกำลังล้อมรอบวู่เหนียนเอาไว้
เมื่อล้อมวู่เหนียนได้เหล่าแม่ชีก็เริ่มสวดพระสูตรแปลกๆ ออกมาอีกครั้ง
แม่ชีทั้งสอบได้พนมมือขึ้นมาในระหว่างสวดพระสูตร
วู่เหนียนโค้งคำนับลู่โจวที่ยืนอยู่บนรถม้าก่อนที่จะพูดต่อไป “แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าประสกมีความสัมพันธ์แบบไหนกับท่านอาจารย์ของข้า แต่ถึงแบบนั้นท่านกำลังใช้อารมณ์ตำหนิติเตียนข้าอยู่ ถ้าหากท่านสงบสติอารมณ์ได้แล้วข้าอยากจะเชิญประสกไปที่วิหารเมฆาสว่างเพื่อที่พวกเราจะได้แลกเปลี่ยนพูดคุยให้เข้าใจกันมากกว่านี้ ตอนนี้เห็นทีข้าจะต้องขอลา! “
ซู่ววว
ที่ใต้เท้าของเหล่าแม่ชีมีแสงสว่างส่องออกมา แสงทั้งหมดนี้เป็นพลังที่ได้มาจากวิชากระจกแห่งแสง มันเป็นพลังที่ทำให้เหล่าแม่ชีสามารถเคลื่อนที่ไปด้วยกันได้ดีมากยิ่งขึ้น วงกลมแสงสีเขียวที่อยู่ด้านล่างเปล่งประกายแสงที่มีรูปแบบสลับซับซ้อนออกมา มันเป็นพลังอันเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร นี่เป็นเคล็ดวิชาที่ยากต่อการฝึกฝนของวิถีพุทธมากที่สุดแล้ว
แม่ชีทั้ง 11 ได้ลอยไปบนอากาศอย่างพร้อมเพรียงกัน ทั้งหมดได้ล้อมรอบแม่ชีวู่เหนียนเอาไว้เป็นวงกลมโดยที่มีวู่เหนียนอยู่ที่ตรงกลาง
ต้วนมู่เฉิงได้บินขึ้นไปบนอากาศ หอกราชันย์ที่อยู่บนมือของเขาเองก็สั่นสะเทือนด้วยพลังอันมหาศาล
ต้วนมู่เฉิงที่เก็บกดมานานได้พุ่งตรงไปยังเหล่าแม่ชี
เมื่อเห็นแบบนั้นวู่เหนียนก็ได้ส่ายหัวก่อนที่จะถอนหายใจออกมา “ประสกคือศิษย์คนที่สามของศาลาปีศาจลอยฟ้า ต้วนมู่เฉิงอย่างงั้นสินะ ข้าได้ยินมาว่าพลังวรยุทธของประสกอยู่ที่ขั้นศักดิ์สิทธิ์เพียงเท่านั้น แต่ถึงแบบนั้นกลับทรงพลังและยังเกรี้ยวกราดมาก จากที่ข้าได้ยินมาดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องจริงอย่างงั้นสินะ”
ต้วนมู่เฉิงที่ได้ยินไม่หยุดพูดคุยแต่อย่างใด
ตู๊ม!
หอกราชันย์ได้พุ่งโจมตีแม่ชีทั้ง 11 คนที่กำลังล้อมรอบกันเป็นวงกลม
ต้วนมู่เฉิงจ้องมองไปที่เหล่าแม่ชีก่อนที่จะพูดออกมา “พลังอวตารแห่งร้อยวิถี”
สิ้นสุดเสียงพลังอวตารที่มีดอกบัว 2 กลีบก็ได้ปรากฏขึ้นที่หลังของต้วนมู่เฉิง ดอกบัวทั้ง 2 กลีบได้หมุนรอบตัวเองจนเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ มันได้หมุนไวจนเหมือนกับมีดอกบัวถึง 10 กลีบด้วยกัน
วู่เหนียนที่เห็นแบบนั้นก็รีบสั่งการขึ้น “อามิตตาพุทธ…หยุดซะ! ” แส้หยกหางม้าได้เปล่งประกายขึ้นมาในอากาศ ในตอนนั้นเองละอองพลังงานที่อัดแน่นไปด้วยพลังก็ได้เปล่งประกายออกมาราวกับสายฝน แม่ชีทั้งสิบที่เหลือต่างก็สวดพระสูตรเสียงดังมากยิ่งขึ้น
เป็นเรื่องยากที่จะเห็นชาวพุทธได้ต่อสู้ในลักษณะนี้ เหล่าผู้ชมคนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์หัวใจเต้นแรง เขาได้แต่อ้าปากค้างในระหว่างที่ฟังบทสวด บทสวดของเหล่าแม่ชีทำให้ผู้ชมรู้สึกเจ็บปวดนั่นเอง ต้วนมู่เฉิงที่เห็นการโจมตีจากแส้ก็ได้เหวี่ยงหอกราชันย์เพื่อปัดป้องการโจมตีพวกนั้นไป
ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!
แม้ว่าตัวของต้วนมู่เฉิงจะหลบได้ แต่ถึงแบบนั้นพลังร่างอวตารของเขาก็ไม่อาจที่จะหลบได้ ต้วนมู่เฉิงถูกบีบบังคับให้ถอยกลับไปหลังจากที่รับการโจมตี
ตู๊ม!
มีเสียงระเบิดดังขึ้นมาจากบนอากาศ ต้วนมู่เฉิงในตอนนี้ถูกบีบให้ร่วงหล่นสู่พื้น เศษหินอ่อนของแท่นประลองได้กรัดจัดกระจายไปทั่ว
เหล่าผู้ชมที่เห็นแบบนั้นต่างก็ถอยหนี
“ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง” ฮั๊วยู่จิงได้ยกแขนของนางขึ้นมา ทันใดนั้นก็มีธนูรวมไปถึงลูกธนูพลังลมปราณปรากฏขึ้น นางได้ใช้ธนูและลูกธนูที่สร้างขึ้นมาโจมตีไปได้อย่างลื่นไหล
ตู๊ม!
วงล้อมของเหล่าแม่ชีสามารถป้องกันลูกธนูของฮั๊วยู่จิงเอาไว้ได้
“พวกเขามีมือธนูด้วยอย่างงั้นหรอ? “
“ศาลาปีศาจลอยฟ้าจะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว! “
“แม้ว่าลูกธนูจะไม่สามารถทำลายพลังของวงล้อมกระจกแห่งแสงได้ก็จริง แต่ถึงแบบนั้นก็มีแต่มือธนูที่มีพลังวรยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะยิงธนูได้แบบนั้น”
หลังจากสิ้นสุดเสียงผู้ชม ในตอนนั้นเองลูกธนูพลังกว่า 10 ลูกก็ถูกยิงออกมา พวกมันกลายเป็นแสงสีทองลอยล่องอยู่บนอากาศ
ในตอนนั้นเองหยวนเอ๋อและหมิงซี่หยินก็ได้พุ่งไปหาเหล่าแม่ชีด้วยความเร็วสูงสุด
สายสะพายนิพพานสีแดงขยายใหญ่ราวกับดอกกุหลาบที่กำลังผลิบาน มันดูสะดุดตากว่าทุกๆ ครั้ง
หมิงซี่หยินด้พุ่งไปอย่างมุ่งมั่น ตัวเขาได้ถือเคียวพื้นพิภพที่อยู่ในมือเอาไว้อย่างมั่นใจ
เมื่อเห็นแบบนั้นวู่เหนียนก็พูดออกมาอย่างเย้ยหยัน “อามิตตาพุทธ พวกเจ้าบีบบังคับข้าเองนะ”
วู่เหนียนได้สะบัดแส้หยกหางม้าออกไป ในตอนนั้นแม่ชีทั้งสิบก็เริ่มที่จะขยายวงล้อมของพวกนาง วงล้อมของแม่ชีทั้งหมดได้ขยายขนาดใหญ่จนล้อมรอบใจกลางของแท่นประลองดอกบัวเอาไว้ได้ ในตอนนั้นเองก็ได้มีพลังเอ่อล้นออกมาจากใจกลางวงล้อม
“แม้แต่ก้นบึ้งของอเวจีก็ยังไม่มีขอบเขต! “
คลื่นพลังงานที่แผ่ออกมาเป็นเหมือนกับคลื่นยักษ์ เสียงสวดพระสูตรเป็นเหมือนกับเสียงแห่งความเศร้าที่กำลังทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไป ผู้ชมทั้งหลายในตอนนี้กำลังจมอยู่ในความทุกข์ ความเจ็บปวด และความทรมานจนไม่อาจหนีได้
ฮั๊ววู่เด๋าที่กำลังจะลุกขึ้นยืนถูกลู่โจวห้ามเอาไว้ซะก่อน “ข้าเป็นคนที่เริ่มเรื่องนี้เอง เพราะงั้นข้าจะเป็นคนหยุดมันเอง”
ฮั๊ววู่เด๋าได้แต่หยักหน้า
หยวนเอ๋อ, หมิงซี่หยิน และต้วนมู่เฉิงต่างก็ถูกพลังอันมหาศาลล้อมรอบตัวเอาไว้จนไม่อาจเคลื่อนไหวไปได้ ลู่โจวได้เคลื่อนไหวจากรถม้าล่องเมฆาแล้ว
ในตอนนี้สายตาของทุกคนต่างก็จับจ้องมาที่ลู่โจว
พลังออร่ารอบตัวของลู่โจวไม่ได้ดูทรงพลังหรือมีอะไรเป็นพิเศษ ตัวเขาได้ยกมือขึ้นก่อนที่จะเปล่งเสียงออกมา “ชั่วช้า! ” เสียงของเขาฟังดูนุ่มลึกแต่ก็เปี่ยมไปด้วยพลัง มันได้แผ่ออกไปทั่วทั้งแท่นประลองดอกบัว
เสียงของเขาได้ไปถึงหูของแม่ชีวู่เหนียนและเหล่าสาวกของนาง เมื่อเห็นลู่โจวกำลังลอยมา แม่ชีทั้งหมดต่างก็รู้สึกประหม่า ‘ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าเคลื่อนไหวแล้ว! ‘
ลู่โจวได้ยกแขนขึ้นมาก่อนที่จะสะบัดเบาๆ สีหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยนไป มันยังดูไร้อารมณ์เช่นเหมือนกับเช่นเคย
พลังอันมหาศาลได้หลอมรวมกันบนมือของลู่โจว มันอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาแล้วนั่นเอง
ในตอนนั้นพลังก็ได้หลอมรวมกันจนเป็นตัวอักษรคำหนึ่ง มันเป็นคำว่า ‘ผนึก’ พลังผนึกได้ถูกปล่อยออกมาจากฝ่ามือของลู่โจว
ผู้ที่มีความรู้กว้างขวางมากกว่าผู้ชมทั่วไปรู้จักตัวหนังสือพวกนี้ดี
“นี่มันพลังผนึกมนตรา! “
พลังผนึกมนตราได้พุ่งเข้าหาแม่ชีทั้งหลายด้วยความเร็วสูง มันเร็วกว่าลูกธนูของฮั๊วยู่จิงซะอีก แม้ว่าจะรวดเร็วกว่าแต่มันก็ไม่ได้ส่องแสงสว่างเหมือนกับลูกศรพลังลมปราณ
ตู๊ม!
พลังผนึกที่ถูกปล่อยออกไปรวดเร็วและทรงพลังราวกับดาวตก มันได้พุ่งผ่านวงล้อมของแม่ชีทั้งหลายโดยที่ไม่ยากเย็นอะไรนัก
“เป็น…เป็นไปได้ยังไงกัน? “
ก่อนที่วู่เหนียนจะตอบสนองอะไรได้ทัน นางก็ถูกพลังผนึกมนตราไปที่ตัวเองแล้ว ในตอนนั้นเสียงสวดพระสูตรก็ได้หยุดลงในทันที
แม่ชีทั้งสิบไม่สามารถรักษาพลังในวงล้อมได้อีกต่อไป การรวมตัวของพวกนางถูกพังทลายลงไปในทันที
เคล็ดวิชาของชาวพุทธมักจะใช้จิตใจที่ว่างเปล่าเป็นแหล่งพลัง ยิ่งกระจกแห่งแสงมีพลังมากขนาดไหน ผู้ใช้ก็จะต้องใช้พลังในการรักษาวิชานี้มากขึ้นเท่านั้น
ถ้าหากไม่มีวู่เหนียนอยู่ที่ใจกลาง พวกแม่ชีทั้งหลายก็ไม่อาจที่จะคงพลังเอาไว้ได้ พลังของกระจกแห่งแสงได้หายไป ไม่ว่ามันจะเป็นเคล็ดวิชาที่ทรงพลังมากแค่ไหนแต่เมื่อไม่มีแหล่งพลังแล้วก็ไม่อาจที่จะใช้งานได้
คลื่นพลังได้กระเพื่อมออกไปรอบๆ แม่ชีทั้งสอบต่างก็กระอักเลือดออกมา พวกนางได้กระเด็นบินไปกว่าหลายเมตรจากใจกลางแท่นประลองดอกบัว
สีหน้าของวู่เหนียนเปลี่ยนไปมาก เมื่อนางพยายามจะเดินพลังลมปราณอีกครั้ง นางก็พบว่าร่างกายของตัวเองมีแต่ความว่างเปล่า พลังลมปราณที่เคยมีได้หายไปหมดแล้วนั่นเอง
หยวนเอ๋อได้ดึงสายสะพายนิพพานกลับไป
เมื่อเห็นแบบนั้นหมิงซี่หยินก็ได้พูดออกมา “กลอุบายของพวกเจ้าช่างอ่อนแอ…” หลังจากพูดจบเขาก็ได้เดินจากไป
ต้วนมู่เฉิงเองก็ควงหอกราชันย์กลับไป หอกราชันย์ของเขาได้แทงลงบนพื้นหินอ่อน ในตอนนี้ตัวเขากำลังยืนกอดอกอยู่ต่อหน้าวู่เหนียน
วู่เหนียนล้มลงไปบนพื้นหินที่แตกละเอียด ร่างกายที่ไร้พลังลมปราณได้ล้มลงไปกับพื้น แม้ว่าจะไร้พลังแต่ถึงแบบนั้นร่างกายของนางก็ยังแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปอยู่ดี
ความเงียบได้เข้าปกคลุมแท่นประลองดอกบัวอีกครั้ง
เหล่าผู้ชมได้แต่ขยี้ตาเมื่อได้เห็นแบบนั้น ‘ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในวิหารเมฆาสว่างได้พ่ายแพ้ให้กับปรมาจารย์ศาลาปีศาจลอยฟ้าเพียงแค่การโจมตีเดียวเท่านั้น’
ในทางกลับกันลู่โจวยังคงดูสงบเสงี่ยมอยู่ ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ใช้ความพยายามอะไรมากเลยในการต่อสู้ครั้งนี้
ฮั๊ววู่เด๋าที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดออกมาด้วยความตื่นตกใจ “ทักษะของท่านทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ ท่านปรมาจารย์” ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าถือเป็นคนที่มีทั้งความรู้กว้างขวางและยังเป็นผู้ที่มีประสบการณ์โชกโชน ฮั๊ววู่เด๋าไม่รู้มาก่อนเลยว่าพลังผนึกมนตราจะสามารถใช้กับผู้ฝึกยุทธยอดฝีมือได้ ยิ่งไปกว่านั้นวู่เหนียนยังคงได้รับพลังจากวิชากระจกแห่งแสงเสริมพลังอยู่ แต่ถึงแบบนั้นนางก็ถูกผนึกได้อยู่ดี
ลู่โจวได้ลงมาจากรถม้า เขาได้เอามือข้างหนึ่งเอาไว้ที่ด้านหลังก่อนที่จะใช้มืออีกข้างลูบไปที่เคราของตัวเอง
เหล่าผู้ชมไม่แม้แต่จะกล้าส่งเสียงหายใจดังๆ ออกมา ที่ตรงหน้าของพวกเขาตอนนี้มีปรมาจารย์มหาวายร้ายที่น่ากลัวที่สุดในใต้หล้า
หยวนเอ๋อได้ขยับเข้าไปใกล้วู่เหนียน
แม่ชีทั้งสิบที่นอนอยู่บนพื้นได้พยายามเงยหน้าขึ้นมาด้วยความยากลำบาก
ลู่โจวได้มาถึงข้างๆ ของวู่เหนียนแล้ว ในตอนนี้เขากำลังเหลือบมองไปที่แม่ชีผู้ไร้พลัง
ดวงตาของวู่เหนียนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นางแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้พ่ายแพ้แบบนี้…มีรอยเลือดอยู่ที่มุมปากของนาง ใบหน้าของนางซีดเผือดไปอย่างน่ากลัว ริมฝีปากเองก็สั่นเครือไม่หยุด นางไม่สามารถที่จะขยับไปไหนได้เลย
ลู่โจวโบกมือของตัวเอง ในตอนนั้นแส้หยกหางม้าก็ได้ลอยมาสู่มือของเขา
“ติ้ง! ได้รับแส้หยกหางม้า จำเป็นจะต้องขัดเกลาก่อนใช้”
ลู่โจวจำเรื่องที่เกิดขึ้นได้ดี แม้ว่าจะเป็นจากความทรงจำของจีเทียนเด๋าก็ตาม แต่ตัวเขากับรู้สึกราวกับเจอเรื่องทั้งหมดมาด้วยตัวเอง ตัวเขาไม่สามารถที่จะทนสนทนากับวิหารเมฆาสว่างได้อีกต่อไป เรื่องราวในความทรงจำที่เคยเกิดขึ้นยังคงชัดเจนเหมือนกับเรื่องในวันวาน ลู่โจวอยากที่จะรื้อฟื้นความทรงจำให้ได้ซะก่อน “จิงหยานเป็นยังไงบ้าง? “
ดวงตาของวู่เหนียนเบิกกว้าว “ท่านอาจารย์ของข้า…จากไปนานแล้ว” เมื่อได้ยินแบบนั้นสีหน้าของลู่โจวก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป ตัวเขาได้ถอนหายใจก่อนที่จะพูดออกมา “…เกิดแก่เจ็บตายถือเป็นเรื่องธรรมชาติ ถ้าหากไม่มีวัฏจักรพวกนี้อยู่…การมีชีวิตอยู่ในโลกก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว”
หยวนเอ๋อแอบตกใจที่เห็นอาจารย์ของตัวเองพูดถึงสหายแบบนี้ นับตั้งแต่ที่นางได้เข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้า นางก็ไม่เคยได้ยินเรื่องสหายของอาจารย์คนนี้มาก่อน ใครจะไปรู้กันว่ามหาวายร้ายจะมีเพื่อนเป็นแม่ชีชาวพุทธ ถ้าหากดูจากความสัมพันธ์หยวนเอ๋อก็พอจะเดาได้ว่ามันเป็นความสัมพันธ์ที่ดี นางได้ถามออกมาอย่างสงสัย “ท่านอาจารย์คะ…ใครคือจิงหยานกันแน่? “
ลู่โจวไม่ได้ตอบกลับหยวนเอ๋อ เขาได้หันไปหาวู่เหนียนก่อนที่จะถามออกมา “แล้วใครกันที่สั่งให้เจ้าเข้ามายุ่งเรื่องของข้าแบบนี้? “
วู่เหนียนอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว “ไม่…ไม่มีใคร…ไม่มีใครสั่งข้ามาทั้งนั้น ทั้งหมดเป็นการเดิมพันของข้าเอง…”
‘เดิมพันอย่างงั้นหรอ? ‘ ลู่โจวพบว่าสิ่งที่วู่เหนียนพูดมันแปลกแค่ไหน ‘นางได้เดิมพันอะไรไป? เดิมพันว่าสำนักดาบสวรรค์จะชนะอย่างงั้นหรอ? เดิมพันว่าท้ายที่สุดแล้วศาลาปีศาจลอยฟ้าจะพ่ายแพ้สินะ? ‘
วู่เหนียนได้ไอก่อนที่จะกระอักเลือดออกมา นางพยายามดันตัวเองลุกจากพื้น นางได้ใช้แรงทั้งหมดที่มีจนในที่สุดก็ลุกออกมาจากพื้นหินอ่อนได้
เมื่อเห็นท่าทางสะบักสะบอมของนางเหล่าผู้ชมต่างก็กลืนน้ำลายอย่างตกใจ ไม่มีใครคิดเลยว่ามหาวายร้ายคนนี้จะยังน่ากลัวและยังแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้
“จิงหยานถูกฝังอยู่ไหนกัน? “
“ใกล้ๆ กับยอดเขาเมฆาสว่างกับทะเลสาบร้อยใบ…”
ลู่โจวได้ส่ายหัวอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าจำได้ว่าแส้หยกหางม้าอันนี้ยอมรับจิงหยานให้เป็นผู้ครอบครอง…แล้วมันตกอยู่ในมือเจ้าได้ยังไงกัน? ตอบตามความจริงข้ามาซะ ถ้าหากคำพูดของเจ้ามีคำโกหกแม้แต่คำเดียว วันนี้ในปีหน้าจะต้องเป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของเจ้าแน่”
วู่เหนียนตัวสั่น นางพยายามใช้ความคิดในตอนนี้ ถ้าหากพึ่งพาพลังที่มีได้ ตอนนี้นางก็คงจะหนีเอาตัวรอดไปได้ นางไม่คิดว่าก่อนว่าวันนี้จะตกอยู่ในเงื้อมมือของศาลาปีศาจลอยฟ้า ในตอนนั้นเองวู่เหนียนก็รู้ตัวแล้วว่ากำลังคิดเพ้อเจ้อไป ท้ายที่สุดนางก็ได้ตอบกลับไป “หลังจากที่อาจารย์ของข้าจากไป ข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกซะจากรับตำแหน่งเจ้าวิหารของวิหารเมฆาสวรรค์ อาจารย์ของข้าได้มอบแส้หยกหางม้าเอาไว้ให้กับข้า” หลังจากพูดจบนางก็ได้ทรุดตัวลงไปกับพื้น
ลู่โจวมองไปที่วู่เหนียน หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้ถอนหายใจก่อนที่จะพูด “ชาวพุทธช่างโชคร้ายจริงๆ “
วู่เหนียนนิ่งเงียบ นางไม่มีอะไรจะพูด
ลู่โจวได้เอามือไขว้หลังก่อนที่จะพูดต่อไป “ข้าจะต้องขอแส้หยกหางม้ากลับคืนมาซะแล้วล่ะ…เจ้าเต็มใจที่จะอยู่ต่อไปโดยที่ไม่มีพลังวรยุทธไหม? “
เมื่อวู่เหนียนได้ยินแบบนั้นดวงตาของนางก็เบิกกว้างขึ้น นางรีบคลายอย่างลนลาน “ไม่ ไม่ ไม่…” นางได้ขยับไปใกล้ๆ กับลู่โจว ความภาคภูมิใจทั้งหมดก่อนหน้านี้ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว นางกำลังจะแตะเท้าของลู่โจวแต่ในตอนนั้นเองนางก็ถูกคลื่นพลังเข้ากระแทกซะก่อน
สิบแม่ชีของวิหารเมฆาสว่างได้ลุกขึ้นมาก่อนที่จะเคลื่อนไหวไปยังใจกลางแท่นประลองดอกบัวอย่างพร้อมเพรียงกัน
ในตอนนั้นเอง
ณ ศาลาหลังที่ 3 ที่อยู่ใกล้ๆ กับแท่นประลองดอกบัว
“ถอยเร็วเข้า! แผนล้มเหลวแล้ว! “
ภายในศาลาหลังที่ 5
“แผนล้มเหลวแล้ว ถอยเร็ว! “
ภายในศาลาหลังที่ 8
“พวกเราแผนทั้งหมดได้ล้มเหลวไปแล้ว ถอยเร็วเข้า! “
ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายที่อยู่ศาลาใกล้เคียงต่างก็รีบออกตัวให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทุกคนได้จากแท่นประลองดอกบัวไปโดยไม่แม้แต่จะหันมามอง
ในตอนนั้นเองที่ศาลาหลังที่ 9
มีใครคนหนึ่งได้พูดขึ้น “ทุกคนเตรียมพร้อมซะ ทุกอย่างกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว”