บทที่ 289 ไม่ต้องสนใจ

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 289 ไม่ต้องสนใจ

บทที่ 289 ไม่ต้องสนใจ

“ไม่”

ฮันเอินจีตอบโดยไม่ต้องคิด เธอเปิดประตูแล้วเดินออกไป

ฮันเจ๋อหยางมองไปที่ซูโย่วอี๋อย่างร้อนรน “น้องสาว เอินจีไม่มีเงินติดตัว ฉันปล่อยเธอไปอย่างนี้ไม่ได้”

“เอินจีนิสัยเสียตั้งแต่เธอเด็ก ๆ ไว้ฉันจะพูดกับเธอทีหลัง”

ซูโย่วอี๋ยกยิ้มจาง ๆ “ฮันเจ๋อหยาง”

“ฉันจะพามู่ป๋ายไปนะ”

เจ้าจิ้งจอกเน่าตะโกนว่า “ทำไมล่ะ? ผมไม่เห็นด้วย”

“นายจะไปไหม?” ซูโย่วอี๋หันมาจ้องเขาด้วยดวงตาน่าขนลุก

ท่าทีของเจ้าจิ้งจอกเน่าดูอ่อนลง

“ซู่จู่…”

“ซู่จู่อะไร?” ฮันเจ๋อหยางดูสงสัย

เจ้าจิ้งจอกเน่าพลันแก้ตัวทันที “ตกลง ไปกันเถอะ ถ้านายอยากจะตามน้องสาวของนาย ก็รีบไปสิ มัวยืนทำอะไรอยู่”

หลังจากพูดจบ เขาก็ยกยิ้มน่ารักและจับมือของซูโย่วอี๋เขย่าอย่างออดอ้อน “พี่สาว กลับบ้านกันเถอะ”

“ดี”

ฮันเจ๋อหยางขมวดคิ้วขณะที่เฝ้าดูทั้งสองจับมือกัน แต่เขาไม่ได้พูดอะไร

เขากลับไปที่บ้านเพื่อหยิบเสื้อโค้ตและออกไปตามหาคนที่เพิ่งออกไป

ในไม่ช้า ก็เห็นฮันเอินจีตัวสั่นท่ามกลางลมหนาวในศาลาของชุมชนโดยสวมเพียงชุดนอนบาง ๆ

เธอจามไม่หยุด

ฮันเจ๋อหยางเดินไปหาอย่างรวดเร็ว ถอดเสื้อโค้ตออกแล้วสวมให้ฮันเอินจี “พวกนั้นไปกันแล้ว กลับไปกับพี่เถอะ”

ฮันเอินจีหันหลังให้อีกฝ่าย

ฮันเจ๋อหยางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนั่งลงข้าง ๆ “น้องสาว ฉันไม่เข้าใจจริง ๆ ทำไมเธอถึงไม่ชอบโย่วอี๋มากขนาดนี้”

คราวนี้ฮันเอินจีไม่ตอบ

มีเพียงเสียงลมหนาวที่พัดดังหวีดหวิว

ฮันเจ๋อหยางมองไปและเห็นว่าฮันเอินจิกำลังร้องไห้

น้ำตาสองสายนั้นไม่เหมือนฮันเอินจี คุณหนูขี้เอาแต่ใจเลยสักนิด

ฮันเจ๋อหยางทำอะไรไม่ถูกทันที “อะไร… เกิดอะไรขึ้น ฉันพูดผิดเหรอ?”

“ถ้างั้นเธอแกล้งทำเป็นว่าฉันไม่ได้ถามนะ”

ฮันเอินจีพยายามอย่างเต็มที่ที่จะกลั้นน้ำตาไว้ แต่ก็ร้องไห้ออกมาทันทีที่เปิดปากพูด “พ่อแม่… ไม่ต้องการฉันอีกแล้วเหรอ?”

“ไม่ใช่อย่างนั้น”

“แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่มาหาฉันล่ะ?”

ฮันเจ๋อหยางทนไม่ได้ “น้องสาว เธอก็รู้ว่าตั้งแต่ยังเด็กฉันรักเธอแค่ไหน แต่ครั้งนี้เธอทำผิดจริง ๆ เธอไม่ควรสับเปลี่ยนเส้นผมเพื่อพยายามปกปิดความจริงอะไรนั่น”

“พ่อแม่กับพี่ใหญ่กำลังรอให้เธอกลับไปยอมรับความผิดของตัวเอง”

ฮันเอินจีพูดด้วยน้ำเสียงดื้อรั้น “พี่รอง พี่คิดว่าฉันไม่กลัวเลยเหรอ?”

“พี่ทำให้ฉันเสียนิสัยตั้งแต่เด็ก แต่ตอนนี้พี่พรากความรักทั้งหมดที่พี่มีให้ฉันไป แล้วมาบอกว่าฉันเป็นเด็กกำพร้า พี่จะให้ฉันยอมรับได้ยังไง”

“ผู้คนจะคิดยังไงกับฉัน?”

เธอเคยแต่งตัวดี ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี และใช้ชีวิตแบบเจ้าหญิงมาโดยตลอด

แต่ซูโย่วอี๋เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความยากลำบาก ดังนั้นมันคงจะไม่เดือดร้อนอะไรหากเธอจะมีชีวิตแบบนั้นต่อไปในอนาคต

ฮันเจ๋อหยางเกลี้ยกล่อมเธออย่างอดทน “พ่อกับแม่แค่กลัวว่าเธอจะหลงผิด ครั้งนี้พวกเขาจึงทำเป็นใจร้ายเพิกเฉยเธอ เอินจี ตราบใดที่เธอเต็มใจยอมรับความผิดของเธอ พ่อกับแม่จะให้อภัยเธอแน่”

“ฉันจะช่วยเธอด้วย”

ฮันเอินจีหัวเราะทั้งที่น้ำตายังไหล “จริงเหรอ?”

“พี่รองคนนี้เคยโกหกเธอที่ไหน”

“พี่รองดีที่สุด”

ฮันเจ๋อหยางคลุมเสื้อให้ฮันเอินจีเพราะอากาศมันหนาวมาก “เอาล่ะ ตอนนี้เธอกลับบ้านกับฉันนะ”

“ตกลง พี่รอง พี่หนาวไหม?”

“ถามช้าไปไหมเนี่ย?”

พวกเขาเดินออกไปขณะพูดคุยหัวเราะกัน

ในร่มเงาของต้นไม้ ชายหญิงสองคนยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบ ๆ

“ซู่จู่ ฮันเจ๋อหยางแค่ตาบอด ไม่ต้องเศร้าไป”

ซูโย่วอี๋ส่ายหัว “ฉันไม่ได้เศร้า”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณถึงเงียบล่ะ?”

“ฉันแค่คิดว่าถ้า 24 ปีมานี้ ฉันไม่แยกจากกับครอบครัวของฉันแล้ว…”

แต่ทุกอย่างคือโชคชะตา

บางสิ่งได้แทรกซึมเข้าไปในจิตสำนึกของตระกูลฮันไปเสียแล้ว

เช่น ฮันเอินจีและฮันเจ๋อหยางใส่ชุดนอนแบบเดียวกัน…

เช่น เมื่อเธอและฮันเอินจีอยู่ด้วยกัน ฮันเจ๋อหยางมักจะคุ้นเคยกับการเรียกฮันเอินจีว่าน้องสาว…

เช่น ฮันเจ๋อหยางรู้ว่าเธออาจจะโกรธ แต่ก็ยังเลือกที่จะตามฮันเอินจีไป…

เป็นความจริงที่คุณชายและคุณนายฮันต้องการพาเธอกลับไปยังตระกูล แต่พวกเขาก็ยังไม่ต้องการทอดทิ้งฮันเอินจี ผู้ที่ถูกเลี้ยงดูมา 24 ปีเช่นกัน

เจ้าจิ้งจอกเน่าได้ยินความคิดของซู่จู่ “ซู่จู่ ถึงฮันเจ๋อหยางจะคิดไม่ได้ แต่คุณยังมีพี่ใหญ่กับพ่อและแม่นะ”

“ถ้าพวกเขาเห็นฮันเอินจีดีกว่าคุณจริง ๆ อย่างมากเราก็แค่ไม่กลับไปที่ตระกูลฮัน”

ซูโย่วอี๋ส่งเสียงรับเบา ๆ “ที่จริง ไม่ต้องสนใจเรื่องนี้หรอก”

“คนธรรมดายังไม่สามารถปฏิบัติต่อลูกของตัวเองได้เท่าเทียมกัน แล้วฉันจะสนใจไปทำไมว่าพวกเขาเห็นค่าใครมากกว่ากัน?”

เจ้าจิ้งจอกเน่าไม่รู้ว่าซู่จู่กำลังคิดอะไรอยู่ “คุณตัดสินใจจะกลับไปที่บ้านตระกูลฮันแล้วเหรอ?”

“ไม่รู้สิ รอดูก่อน”

เป่ยสืออี้ผิน

มือของซูโย่วอี๋ที่กำลังเปิดประตูหยุดชะงักชั่วคราว “รีบกลับไปที่ระบบ”

“อ้อ ๆ ๆ”

เจ้าจิ้งจอกเน่าตอบกลับทันที “ฉันเกือบลืมไป”

เมื่อเปิดประตู ไฟในบ้านก็เปิดอยู่ ลู่เฉินกำลังเอนกายอยู่บนโซฟา ซึ่งเมื่อเขาได้ยินเสียง เขาก็ลุกขึ้นมาช่วยเธอถือกระเป๋าทันที

ไม่นาน เขาก็สัมผัสได้ถึงอารมณ์ของซูโย่วอี๋ได้อย่างชัดเจน จึงรินนมร้อนให้เธอหนึ่งแก้ว “มีเรื่องในใจหรือเปล่า?”

“อย่าพูดถึงมันเลย”

“อวี๋ชิงจ้าวบอกว่าฉันเป็นคนกลาง ๆ และชอบคิดมาก ฮ่า ๆ”

“ฉันคิดว่ามันค่อนข้างจริง”

ลู่เฉินจำผู้คนรอบตัวซูโย่วอี๋ได้เสมอ “จากรายการก่อนหน้านี้ ดูเหมือนเธอจะชอบคุณมาก”

ซูโย่วอี๋ไม่ชอบรสชาติของนมร้อนเอามาก ๆ จึงย่นจมูก “แปลกนะ ที่ได้ยินคำว่าชอบออกมาจากปากคุณ”

“เราเข้ากันได้ค่อนข้างดี เป็นเรื่องดีที่เธอมาที่นี่เพื่อถ่ายทำรายการวาไรตี้ ไม่อย่างนั้นฉันคงเบื่อมากแน่ ๆ”

ลู่เฉินจับจ้องไปที่เธอ “คุณไม่มีความสุขกับการถ่ายทำเหรอ”

“ก็ดี”

ซูโย่วอี๋ดื่มนมหมดรวดเดียว ก่อนวางแก้วลงบนโต๊ะ “แต่มีหลายอย่างที่ไม่น่าพอใจ”

“นี่ อย่ามองฉันด้วยสายตากังวลแบบนั้นสิ ฉันเป็นนักแสดงชื่อดังแล้ว คนส่วนใหญ่ไม่กล้าทำอะไรฉันหรอก ฉันจัดการเรื่องพวกนี้เองได้”

มุมริมฝีปากของลู่เฉินยกโค้งขึ้น “ตกลง ผมกำลังรอให้คุณกลับมาพร้อมถ้วยรางวัลนะ”

“ถ้วยรางวัลอะไร?”

“พิธีมอบรางวัลประจำปีไง ความดังของรักในฝันน่าจะทำให้คุณชนะรางวัลได้ไม่ยากเลยนะ”

“อีกอย่าง คุณอาจได้รางวัลจากเพลงอีกถ้วยก็ได้”

ซูโย่วอี๋หยอกล้อ “คุณคงไม่ได้เป็นคนตัดสินรางวัลพวกนี้ใช่ไหมคะ?”

ลู่เฉินสวมกอดเธอ “คุณมีความสามารถมากจนไม่จำเป็นต้องใช้ทางลัด ถูกไหม?”

“นั่นต้องขึ้นอยู่กับความสามารถ”

ซูโย่วอี๋ยิ้มและซุกตัวไปในอ้อมแขนของเขา ส่วนความหดหู่ใจถูกลืมไปนานแล้ว

เช้าวันรุ่งขึ้น ซูโย่วอี๋ขึ้นไปที่ชั้นสิบเจ็ด

รหัสผ่านยังคงเหมือนเดิม ซูโย่วอี๋จึงเข้าไปในบ้านของซูหยินได้อย่างง่ายดาย

หลังผลักประตูห้องนอนเงียบ ๆ เธอพบว่าซูหยินยังคงหลับอยู่ ซูโย่วอี๋ก็ถอยออกมา

วางแผนเตรียมอาหารเช้าก่อนปลุกคนที่กำลังนอนหลับอยู่

เมื่อเปิดตู้เย็น ซูโย่วอี๋ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นของอยู่เต็มไปหมด เธอรู้ว่าซูหยินทำอาหารไม่เป็น แล้วทำไมต้องซื้อวัตถุดิบมามากมายขนาดนี้ด้วย?

เธอหยิบถุงผลไม้ออกมาอย่างลวก ๆ ซึ่งมันมีกระดาษโพสต์อิตติดอยู่ ลายมือนั้นเรียบร้อยและสวยงามเหมือนกับลายมือของผู้หญิง มันเขียนว่า

‘ซื้อวันที่ 23 ธันวาคม เก็บได้ 3 วัน’

นั่นมันเมื่อวานไม่ใช่เหรอ?

ซูโย่วอี๋มองดูที่บรรจุภัณฑ์หลาย ๆ อัน ซึ่งวันที่ซื้อได้ถูกเขียนไว้บนบรรจุภัณฑ์แต่ละชิ้น

มองแวบแรกก็เห็นได้ว่าของพวกนี้ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่ซื้อในซูเปอร์มาร์เก็ต แต่ถูกแพ็คและซีลด้วยมือ โดยถูกแพ็คในลักษณะเดียวกันทั้งหมด

ซูโย่วอี๋เลิกคิ้ว ไม่น่าเป็นไปได้ที่จู่ ๆ ซูหยินจะเกิดสนใจทำอาหารขึ้นมา

เธอสุ่มเลือกหมูสดและไข่ดองออกมาทำโจ๊กหมูกับไข่ดอง

“เฮ้ สาวน้อย หอยทากมาทำอาหารที่บ้านฉันเหรอ?”

ซูหยินเอนตัวพิงประตูอย่างเกียจคร้านพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

ซูโย่วอี๋เหลือบมองเธอหลายครั้ง “เธอดูเปลี่ยนไปนะ ความรักทำให้คนน้ำหนักขึ้นจริง ๆ เหรอ?”

ดวงตาของซูหยินดูเปล่งประกาย เธอไม่ผอมและเซ็กซี่เหมือนเมื่อก่อน แต่ตอนนี้เธอดูอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย

ซูโย่วอี๋ตกตะลึงกับความคิดของตัวเอง

อ่อนโยน คำพูดแบบนี้สามารถใช้กับซูหยินได้ด้วยเหรอเนี่ย

“อาจเป็นเพราะเมื่อเร็ว ๆ นี้ฉันกินมากเกินไปล่ะมั้ง” ซูหยินหาวอย่างไม่ใส่ใจ

“ฉันได้กลิ่นหอมมาแต่ไกลเลย”

ซูโย่วอี๋ตักโจ๊กในหม้อใส่ชามให้เธอ “รีบกินตอนที่ยังร้อน แต่ฉันไม่กินนะ กินมาก่อนแล้ว”

“กินกับฉันสิ กินคนเดียวน่าเบื่อจะตาย”

ซูโย่วอี๋ตักโจ๊กหนึ่งชามให้ตัวเอง และนั่งลงที่โต๊ะก่อนจะถาม

“ของในตู้เย็นของเธอมันยังไงกัน? เธอกำลังฝึกทำอาหารงั้นเหรอ?”

ซูหยินกระพริบตาอย่างไร้เดียงสา “เธอคิดว่าฉันดูเหมือนคนแบบนั้นเหรอ?”

“แม่ของกู่ทำให้น่ะ”

อีกฝ่ายกังวลว่าเธอจะกินแต่อาหารเดลิเวอร์ลี่ตลอด แล้วจะไม่ดีต่อสุขภาพ ดังนั้นจึงทำอาหารทุกสองวันและขอให้กู่อวี๋เฉิงนำมาให้เธอพร้อมเคลียร์ของที่หมดอายุออกด้วย

ในบรรดาพวกนี้ พอจะมีพวกอาหารจานด่วนอยู่บ้าง

ซูหยินเกรงใจและอยากจะปฏิเสธ แต่คนหนึ่งมีความสุขในการทำ และอีกคนก็ขยันขนมาเสียเหลือเกิน

เธอจึงไม่สามารถพูดอะไรได้

ซูโย่วอี๋ยกนิ้วให้ซูหยิน “เก่งมาก หยินหยิน เธอตกแม่สามีในอนาคตได้เร็วมาก”

ซูหยินขยิบตาให้เธอ “พูดได้ดี เธอต้องการให้ฉันสอนเคล็ดลับให้ไหม?”

เมื่อนึกถึงคุณนายลู่ ซูโย่วอี๋ก็พลันรู้สึกว่าอาหารไม่อร่อยเอาเสียเลย “ฉันยังไม่ต้องการตอนนี้หรอก”

หลังอาหารเย็น ซูโย่วอี๋และซูหยินไปที่ร้านชุดเจ้าสาวเพื่อเลือกชุดแต่งงานอีกครั้ง

ผู้จัดการร้านยังคงกระตือรือร้นและไม่พูดถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในครั้งที่แล้ว ทั้งสองรีบเลือกชุดแต่งงาน

ในขณะที่กำลังวัดตัว ซูโย่วอี๋มองไปที่ซูหยินภายใต้แสงไฟและอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

เธอเคยคิดว่าหยินหยินคงไม่สนใจเรื่องความสัมพันธ์มากนัก และจะไม่แต่งงานเสียอีก

ไม่เคยคิดฝันว่าตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นจะมายืนอยู่ตรงนี้เสียแล้ว

แน่นอน ความรักก็เหมือนเหล้าหนึ่งแก้ว ใครก็ตามที่ดื่มเข้าไปล้วนเมามาย

ระหว่างทางกลับ ซูหยินกล่าวด้วยเสียงจริงจังที่หาได้ยาก “ที่รัก ฉันจะย้ายออกในอีกสองวัน”

“ทำไมล่ะ?”

“เธอพาฉันมาเป่ยสืออี้ผิน เพราะเธอกังวลว่าฉันจะตัดใจจากความสัมพันธ์แย่ ๆ ก่อนหน้านี้ไม่ได้ แต่ตอนนี้ฉันกำลังจะแต่งงานแล้ว ดังนั้นเธอวางใจได้แล้วล่ะ”

ซูโย่วอี๋หันไปมองเพื่อนสาว “ฉันเข้าใจ แต่มันก็สะดวกสำหรับเธอที่จะอาศัยอยู่ชั้นบน พวกเราจะได้ไปหากันได้ตลอดไง”

ซูหยินวางนิ้วบนพวงมาลัย “ที่รัก ตราบใดที่เธอต้องการเจอฉัน ฉันเคยปฏิเสธตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ฉันใช้เงินเก็บของฉันซื้อบ้านใกล้มหาวิทยาลัยปักกิ่ง เพราะฉันเตรียมตัวสอบในปีหน้า อีกอย่าง เธอก็รู้ว่าฉันหมกมุ่นอยู่กับการซื้อบ้านมาโดยตลอด”

การมีบ้านเป็นของตัวเองเท่านั้นที่จะทำให้คุณตั้งหลักได้อย่างมั่นคงในเมืองที่วุ่นวายแห่งนี้

ในอดีต ซูหยินสามารถซื้อบ้านได้ แต่เธอก็เต็มใจที่จะอาศัยอยู่ในเมืองที่ฮัวจิงสร้างขึ้นเพื่อเธอ

“กู่อุตส่าห์สละเวลามาดูบ้านกับของตกแต่งบ้านด้วยนะ ฉันว่าจะย้ายเข้าไปอยู่หลังปีใหม่”

ซูโย่วอี๋ทำหน้ามุ่ยอย่างไม่พอใจ “ทำไมเธอไม่บอกเรื่องสำคัญขนาดนี้กับฉันล่ะ?”

“นอกจากกู่แล้ว ฉันบอกเธอเป็นคนแรกเลยนะ”

“หลังจากฉันแต่งงาน บ้านหลังนี้จะเป็นฐานลับของเรา พอเธอว่าง ฉันจะเพิ่มชื่อเธอลงในทะเบียนบ้านเลย”

ซูโย่วอี๋พึ่งสัมผัสได้ถึงความยินดีของการซื้อบ้านใหม่ว่าเป็นอย่างไร จึงพูดติดตลกว่า “เธอจะพาฉันไปดูบ้านของฉันเมื่อไหร่ล่ะ?”

“ตอนนี้?”

“ไว้คราวหน้าเถอะ”

ในสัปดาห์นี้ ซูโย่วอี๋ต้องไปการถ่ายภาพสำหรับปกนิตยสารรายสัปดาห์ก่อนล่ะ