ตอนที่ 287 หวังหรงแจ้งเบาะแส

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 287 หวังหรงแจ้งเบาะแส

ฟางเว่ยกั๋วปฏิเสธว่าตัวเองจะไม่ช่วยเหลือครอบครัวของหวังหรงอีกต่อไป ทำให้หวังหรงและพ่อแม่ของหล่อนกระวนกระวายราวกับมดที่ไต่อยู่บนหม้อร้อน

พอลองคิดทบทวนดูอีกครั้ง พวกเขาจึงไปดักรอหวังเหวินฟางตรงระหว่างทางกลับบ้านอีกตามเคย ขอร้องให้หล่อนช่วยโน้มน้าวให้ฟางเว่ยกั๋วยอมช่วยเหลือพวกเขา

หวังเหวินฟางปวดหัวมาก “ครอบครัวของพี่ถูกฟางจั๋วหรานส่งเรื่องร้องเรียนโดยระบุชื่อแซ่จริงไปซะขนาดนั้น แล้วจะให้เหล่าฟางช่วยพวกพี่ได้ยังไง? ขืนเขาพาตัวเองเข้ามายุ่งเกี่ยวกับอาชญากรรมที่ว่า ดีไม่ดีจะพลอยส่งผลกระทบต่อเขาไปด้วย”

สีหน้าของแม่หรงจมดิ่ง น้ำเสียงของหล่อนย่ำแย่มาก “เธอกำลังจะบอกว่า ให้ตายยังไงก็ไม่สนใจความเป็นความตายของพวกเรางั้นเหรอ?”

หวังเหวินฟางพยายามตอบอย่างอดทน “ไม่ใช่ว่าฉันไม่สนใจ แต่ฉันจัดการอะไรไม่ได้เลยต่างหาก…”

พ่อหรงพูดขึ้นมาอย่างเศร้าใจ “ถ้าอย่างนั้นเธอก็ให้เรายืมเงินสักห้าร้อยหยวนเพื่อประทังชีพแล้วกัน”

หวังเหวินฟางจ้องเขม็งมองไปยังพี่ชายของตัวเอง ทำไมหล่อนถึงไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาจะเป็นไอ้ขี้แพ้ที่ไร้ยางอายถึงขนาดนี้?

หล่อนเหลือบมองไปทางหวังหรงที่ยืนหลบอยู่ข้างหลังพี่ชายและพี่สะใภ้ ก่อนจะพูดประชดประชันด้วยความโกรธเคือง “หรงหรงเพิ่งจะลงทุนเปิดร้านของว่างกับเพื่อนของหล่อนนี่ พี่ชายกับพี่สะใภ้ไม่ยอมลงแรงไปช่วยงานหล่อน ก็เลยมาแบมือขอเงินจากฉันเนี่ยนะ?”

แม่หรงพูดด้วยสีหน้าท่าทางเหยียดหยาม “ลำพังอาชีพอิสระก็น่าอับอายพออยู่แล้ว นับประสาอะไรกับจะให้ฉันลดตัวลงไปทำงานค้าขาย ไม่มีทางซะหรอก!”

พ่อหรงพูดเสริม “ฉันก็ไม่ทำเหมือนกัน!”

ใบหน้าหวังเหวินฟางยิ่งมืดมนลงกว่าเดิม “อาหารแทบไม่พอยาไส้อยู่แล้ว ยังอยากรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองอยู่อีก ถ้าอย่างนั้นก็ทนอดตายต่อไปเถอะ!” ว่าแล้วหล่อนก็ขึ้นควบจักรยานแล้วขี่ออกไป

ครอบครัวหวังหรงได้แต่ย้อนกลับไปที่บ้านของแม่เฒ่าหวังด้วยความโกรธ

เมื่อเห็นสีหน้าของครอบครัวหวังหรง แม่เฒ่าหวังรู้ทันทีว่าพวกเขาทำไม่สำเร็จ จึงถามว่าเพราะเหตุใด

แม่หรงเล่าให้ฟังด้วยอาการใจสลายว่าฟางจั๋วหรานส่งรายชื่อของพวกตนร้องเรียนไปทางนายกเทศมนตรี ทำให้ฟางเว่ยกั๋วช่วยอะไรไม่ได้อีกต่อไป

แม่เฒ่าหวังรู้สึกราวถูกสายฟ้าฟาด ไม่ตอบสนองอะไรอยู่นาน

จนกระทั่งกลับมามีสติอีกครั้ง จึงถามอย่างร้อนใจ “ในเมื่อเข้าทำงานในหน่วยงานที่สวัสดิการดีไม่ได้ งั้นเข้าทำงานในหน่วยงานที่สวัสดิการรองลงมาก็ไม่ได้งั้นเหรอ?”

พ่อหรงพยักหน้าด้วยความหงุดหงิด “ควรเป็นแบบนั้น”

แม่เฒ่าหวังเหม่อมองไปข้างหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า

ถ้าครอบครัวลูกชายของนางตกงาน พวกเขาต้องพยายามเกาะนางกินแน่ ๆ จะปล่อยให้เป็นแบบนั้นได้อย่างไร?

หวังหรงกลอกตา “คุณย่า ลองไปขอร้องให้พี่จั๋วหรานช่วยละเว้นครอบครัวของฉันสักครั้งได้ไหมคะ?”

แม่เฒ่าหวังปฏิเสธทันควัน “เจ้าหมาป่าตาขาวนั่นไม่มีทางเชื่อฟังฉันแน่! ไปหาเขาตอนนี้ ไม่ใช่แค่คว้าน้ำเหลวกลับมา แต่ยังอาจส่งผลกระทบต่อแผนการที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันนี้ด้วย”

พอหวังหรงได้ยินแบบนั้น ก็จำใจยอมแพ้

เช้าวันนี้ หวังหรงนอนตื่นสายจนตะวันลอยโด่งกว่าจะยอมขุดตัวลุกจากเตียง

พอเห็นว่าอาหารมื้อเช้าของวันนี้เป็นข้าวต้มกับผักดองอีกแล้ว ก็รู้สึกเบื่ออาหารขึ้นมาทันที

ทันทีที่นึกถึงตู้กวงฮุย หล่อนก็คิดว่าวันนี้เขาน่าจะอยู่ที่ร้านเว่ยเซียง

หวังหรงจึงจงใจหาเสื้อแขนยาวมาสวมใส่เพื่อปกปิดรอยฟกช้ำตามร่างกายของตัวเองที่เกิดจากการถูกพ่อแม่ทุบตี แต่งหน้าทำผมให้สวยงาม ก่อนจะออกจากบ้าน หวังไปดื่มกินอาหารเลิศรสที่ร้านเว่ยเซียงฟรี ๆ

พอเดินผ่านร้านเปาห่าวซือ หล่อนเห็นภายในร้านกลับว่างเปล่า มีแค่หลินม่ายและเฮ่อเชิ่งที่กำลังยืนคุยอะไรกันบางอย่าง

หล่อนรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลขึ้นมาทันที ตั้งใจว่าถ้าเจอหน้าตู้กวงฮุยเมื่อไรค่อยถามว่าเกิดอะไรขึ้น

เป็นไปตามคาด ตู้กวงฮุยคุมงานอยู่ภายในร้าน ทันทีที่เขาเห็นหล่อน เขาก็ปรี่เข้ามาถามด้วยความเป็นห่วงว่า “คุณเป็นยังไงบ้าง?”

หวังหรงรู้ดีว่าคำถาม ‘เป็นยังไงบ้าง?’ ของเขา หมายถึงหล่อนเป็นอย่างไรบ้างตั้งแต่วันที่ครอบครัวของหล่อนถูกไล่ออกจากสำนักงานการไฟฟ้า

หล่อนบีบน้ำตาร้องไห้ฮือ ๆ อย่างน่าสงสาร “ไม่ดีเลย ฉันลำบากมาก แถมยังถูกพ่อกับแม่ทุบตี”

ขณะที่พูดแบบนั้น หล่อนก็ถลกแขนเสื้อขึ้นให้ตู้กวงฮุยเห็นรอยฟกช้ำตามแขนของตัวเอง

ตู้กวงฮุยรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจแทนที่เห็นแบบนั้น ถามว่า “คุณคงยังไม่ได้กินข้าวมื้อเช้าสินะ”

หวังหรงพยักหน้าอย่างน่าสมเพช

ตู้กวงฮุยรีบเข้าไปยกเสี่ยวหลงเปากับต้านจิ่วมาเสิร์ฟให้ด้วยตัวเองอย่างไม่รอช้า

หวังหรงคีบเสี่ยวหลงเปาขึ้นมากัดเข้าปากไปคำหนึ่ง ก่อนจะถามว่า “ฉันขอให้คุณไปหาลูกน้องมาเป็นหน้าม้าเพื่อจัดการกับนังสารเลวข้างบ้าน เรื่องไปถึงไหนแล้วล่ะ?”

ตู้กวงฮุยเอื้อมมือไปสัมผัสบั้นท้ายของหล่อนอย่างหยาบคาย พูดด้วยน้ำเสียงลึกลับ “ถึงตาคุณแล้วล่ะ”

หวังหรงถาม “คุณอยากให้ฉันทำอะไรต่อไป?”

ตู้กวงฮุยโน้มตัวไปกระซิบบางอย่างข้างหู

หวังหรงพยักหน้า “หลังกินอาหารมื้อเช้าเสร็จฉันจะไปจัดการทันที”

หล่อนยกต้านจิ่วขึ้นจิบสองสามคำ ถามต่อ “เกิดอะไรขึ้นกับร้านข้าง ๆ กัน ทำไมในร้านว่างเปล่าไม่เหลืออะไรเลย?”

ตู้กวงฮุยพูดด้วยน้ำเสียงชวนหดหู่ “อย่าพูดถึงเรื่องนั้นเลย เพื่อนบ้านของเราย้ายไปขายของอยู่ที่ตึกแถวฝั่งตรงข้ามแล้ว ฉันก็ไม่รู้ว่าพวกเขาซื้อหรือแค่เช่า แต่ดูเหมือนจะย้ายร้านอย่างถาวร”

หวังหรงตกตะลึงไปชั่วขณะ

ตอนแรกหล่อนไม่ลังเลเลยที่ตัดสินใจแสร้งทำเป็นออกเดตกับตู้กวงฮุย พยายามโน้มน้าวให้เขาเปิดร้านของว่างที่นี่เพื่อแข่งขันทางธุรกิจกับหลินม่าย หวังให้กิจการของอีกฝ่ายเจ๊งไม่เป็นท่า

แต่พวกตนยังไม่ทันเข้าใกล้ชัยชนะ เธอกลับย้ายร้านออกไปจากที่นี่แล้ว ความพยายามของหล่อนไม่เท่ากับสูญเปล่าหรอกหรือ?

ถ้าหล่อนรู้ตั้งแต่แรกว่านังสารเลวนั่นจะย้ายร้านไป หล่อนไม่มีทางตกลงออกเดตกับตู้กวงฮุยเด็ดขาด เพราะในที่สุดความสัมพันธ์จอมปลอมก็กลายเป็นของจริง แถมหล่อนยังต้องเสียตัวให้กับเขา…

ในบ้านหลังถัดไป หลินม่ายกับเฮ่อเชิ่งจัดการส่งมอบบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอขอให้เฮ่อเชิ่งช่วยรื้อป้ายเหนือประตูลงมา เพื่อที่จะได้เก็บกลับไปด้วย

เฮ่อเชิ่งเดินออกมาจากตัวร้าน เงยหน้าขึ้นมองแผ่นป้ายที่มีลักษณะเรียบง่ายนั้น ก่อนจะเสนอว่า “ไม่ต้องปลดป้ายร้านลงหรอก ฉันเองก็วางแผนว่าจะเปิดร้านขายของว่างเหมือนกัน ใช้ป้ายนี้ต่อไปก็ได้”

“คุณคิดจะเปิดร้านขายซาลาเปากับติ่มซำเนี่ยนะ”

“ใช่” เฮ่อเชิ่งพยักหน้า

หลินม่ายพูดอย่างเคร่งขรึม “คุณจะเปิดร้านขายก็ได้ แต่คุณใช้ป้ายร้านนี้ต่อจากฉันไม่ได้ ฉันจดทะเบียนการค้าชื่อร้านนี้ไปแล้ว ถ้าคุณใช้ต่อจะถือเป็นการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาทันที”

พอได้ยินแบบนั้น เฮ่อเชิ่งจึงไม่ทีทางเลือก ยอมช่วยเธอปลดแผ่นป้ายร้านลงมา แล้วถามว่า “ถ้าอย่างนั้นเธอช่วยฉันคิดชื่อร้านที่พอจะเข้าท่าให้หน่อยสิ?”

หลินม่ายขบคิดตามคำร้องขอของเขาอย่างจริงจัง “ตั้งชื่อให้ร้านของนายว่า ‘เซียงเพินเพิน เสี่ยวซือเตี้ยน’ ก็แล้วกัน ฟังดูติดหู แถมยังจำง่าย”

เฮ่อเชิ่งเรียนไม่จบ หลังจากคิดตามอย่างรอบคอบ เขาจึงเห็นด้วยว่ามันเป็นชื่อที่ดี ดังนั้นจึงขอบคุณหลินม่าย

หลังกินอาหารมื้อเช้าเสร็จ หวังหรงก็ตรงไปที่สถานีตำรวจ ระหว่างทาง หล่อนจงใจเดินผ่านหน้าร้านใหม่ของหลินม่าย

พอเห็นว่าภายในร้านใหม่มีลูกค้าเข้าไปอุดหนุนอย่างไม่ขาดสาย หล่อนก็แทบอกแตกตายด้วยความโกรธ

สิ่งที่หล่อนรับไม่ได้ที่สุดคือการที่ตัวเองกำลังตกที่นั่งลำบาก ตรงกันข้าม นังแพศยานั่นกลับมีชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ

หล่อนได้แต่หวังว่าแผนการของตู้กวงฮุยจะได้ผล ทำให้นังนั่นถูกตำรวจจับเข้าคุกสักสองสามปี ถ้าเป็นแบบนั้นคงพอลดทอนเกลียดชังในใจลงไปได้บ้าง

ทันทีที่หวังหรงมาถึงสถานีตำรวจ หล่อนก็ตรงเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายที่รับผิดชอบคดีของตัวเอง พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่ามีเรื่องมารายงานเพิ่มเติม

ตำรวจทั้งสองนายไม่รู้ว่าควรมองหน้าหล่อนด้วยสีหน้าอย่างไรดี

หลังจากทำการสืบสวนสอบสวนเป็นเวลาหลายวัน พวกเขาสันนิษฐานว่าหล่อนแค่ต้องการจะแก้แค้นหลินม่ายเท่านั้น

นอกเหนือจากนั้นหล่อนก็ยังไม่สามารถแสดงหลักฐานที่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่าหลินม่ายว่าจ้างนักเลงให้มาดักทำร้าย

พวกเขาเตรียมวางแผนว่าจะปิดคดีอยู่แล้ว กำลังจะรายงานผลให้ฝ่ายอื่น ๆ ทราบ แต่แล้วหล่อนกลับปรากฏตัวเสียก่อน

ในเมื่อหล่อนบอกว่าตัวเองมีเรื่องมารายงานเพิ่มเติม พวกเขาจึงจำเป็นต้องอนุญาตให้หล่อนรายงาน

นายตำรวจคนหนึ่งหยิบสมุดและปากกาออกมา เริ่มทำการลงบันทึก “คุณมีอะไรมารายงานเพิ่มหรือครับ?”

หวังหรงพูดพลางทำสีหน้าขึงขัง “ฉันพยายามตามหาเบาะแสมาสองสามวันแล้ว ในที่สุดฉันก็เจอเข้ากับเบาะแสบางอย่าง คืนนั้น หลังจากที่ฉันโดยทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรงโดยฝีมือของพวกนักเลงที่หลินม่ายจ้างมา ขณะที่พวกมันกำลังวิ่งหนีออกจากป่า เผอิญมีคนผ่านมาเห็นเข้า ผู้ชายสองคนนี้สามารถบอกได้ว่าคนร้ายมีหน้าตาเป็นอย่างไร”

“โอ้?” ตำรวจนายหนึ่งพูดขึ้น “แล้วทำไมคุณไม่พาพยานสองคนที่เห็นเหตุการณ์มาที่นี่พร้อมกันกับคุณเลยล่ะ คำพูดของคุณจะได้น่าเชื่อถือมากขึ้น”

หวังหรงแสร้งยิ้มอย่างจนปัญญา “เขาทั้งสองคนไม่อยากมา ฉันเองก็สุดปัญญาที่จะโน้มน้าว”

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเชิญช่างเทคนิคที่เชี่ยวชาญด้านการเสก็ตช์ภาพบุคคล เริ่มร่างภาพคนร้ายทั้งสองคนขึ้นมาตามคำบอกเล่าของหวังหรง เพื่อที่จะแสดงให้ดูว่าหน้าตาคล้ายคลึงกันหรือเปล่า

แต่หวังหรงกลับแค่นเสียงเยาะเย้ย “ฉันไม่เห็นหน้านักเลงสองคนนั้นกับตาตัวเองซะหน่อย แค่ได้ยินเสียงพวกมันเดินวนเวียนไปมาเท่านั้นเอง ไม่รู้หรอกว่าคล้ายหรือไม่คล้าย”

ตำรวจอีกนายแนะนำหล่อนว่า “ในเมื่อคุณไม่สามารถตัดสินได้ งั้นคงเป็นการดีกว่าถ้าคุณจะเชิญพยานทั้งสองปากที่ผ่านมาเห็นเหตุการณ์มาดูภาพเสก็ตช์นี้ เขาคงระบุได้ว่าคล้ายคนร้ายจริงไหม”

หวังหรงตอบกลับ “ฉันจะลองดู”

หลังจากหวังหรงเดินออกไปแล้ว นายตำรวจอีกคนก็หันไปถามอีกฝ่าย “คุณคิดว่าสิ่งที่หล่อนพูดมาเป็นความจริงหรือเปล่า?”

นายตำรวจคนนั้นตอบ “ไม่สำคัญหรอกว่าหล่อนพูดความจริงหรือเปล่า ถึงยังไงเราก็ต้องสืบสวนตามเบาะแสที่หล่อนแจ้งมาอยู่ดี”

ภาพเสก็ตช์ของคนร้ายสองคนตามคำบอกเล่าของหวังหรงมีลักษณะรูปพรรณที่ชัดเจน ทันทีที่ประชาชนเห็นภาพ พวกเขาก็รีบรายงานอย่างกระตือรือร้นว่าชายทั้งสองเป็นใคร พร้อมให้ข้อมูลกับทางตำรวจโดยไม่ประสงค์ออกนาม

ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัวคนร้ายทั้งสองมาดำเนินคดีตามกฎหมายได้อย่างรวดเร็ว

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

หวายยย จะโทษใครล่ะเนี่ยนอกจากตัวเอง เสียตัวฟรีแถมยังเล่นงานม่ายจื่อไม่ได้อีกต่างหาก

ไหหม่า(海馬)