ตอนที่ 324 ซื้อโทรศัพท์ให้พี่ชายสักเครื่อง

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 324 ซื้อโทรศัพท์ให้พี่ชายสักเครื่อง

ตอนที่ 324 ซื้อโทรศัพท์ให้พี่ชายสักเครื่อง

เซี่ยไห่ “ซื้อให้พ่อเธอต่างหาก”

เซี่ยไห่ตรวจสอบโทรศัพท์มือถือที่แม่ของเว่ยหย่งกังหยิบออกมาอย่างระมัดระวัง

การใช้งานทุกอย่างลื่นปกติดี

ถ้ายุคนี้ใครก็ตามที่สามารถเป็นเจ้าของโทรศัพท์มือถือได้ ต้องใช้มันอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษอยู่แล้ว

เขาบอกกับหลินเซี่ยว่า “ของชิ้นนี้ไม่มีปัญหา ถ้าให้ประเมินก็ยังเป็นของใหม่สภาพ 80% ได้ยินถังหลิงเล่าให้ฟังว่าหล่อนเพิ่งซื้อมาเมื่อปีที่แล้ว อายุการใช้งานไม่ถึงปีด้วยซ้ำ ฉันซื้อให้พ่อเธอสักเครื่องดีกว่า จะได้มีอะไรไว้ใช้ติดต่อเรา ไม่งั้นเขาจะชอบออกไปไหนมาไหนคนเดียวโดยไม่บอกไม่กล่าว ทำเราเป็นห่วงแทบแย่”

เมื่อได้ยินว่าเขาจะซื้อให้เซี่ยเหลย หลินเซี่ยก็พยักหน้า “ได้ค่ะ ถ้าจำเป็นก็ซื้อเถอะ”

เซี่ยไห่พูดกับแม่ของเว่ยหย่งกังว่า “คุณป้า ผมจะจ่ายให้คุณหกพันหยวน คุณขายโทรศัพท์เครื่องนี้ให้ผมได้เลยครับ”

ถ้าเป็นมือถือเครื่องใหม่ที่ซื้อจากเมืองเชินเฉิง ราคาต้นทุนจะอยู่ที่เครื่องละแปดพันถึงเก้าพันหยวนโน่นเลย

โทรศัพท์เครื่องนี้ใช้งานมาเกือบปีแล้ว หกพันจึงถือเป็นราคาค้าขายที่มีมนุษยธรรมมาก

เซี่ยไห่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากความอับจนหนทางของคนอื่น เขาแค่แบ่งปันน้ำใจให้กับคนแก่ ผู้อ่อนแอ คนป่วย และคนพิการก็เท่านั้น

เมื่อแม่ของเว่ยหย่งกังได้ยินราคา เธอก็พยักหน้าทันทีและพูดว่า “ได้สิ ได้สิ ฉันจะขายให้คุณในราคาหกพัน”

แม้ว่าสิ่งนี้จะดูมีคุณค่ามหาศาล แต่มันกลับไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ในมือของเธอ

จากสถานการณ์ปัจจุบัน พวกเขาไม่มีปัญญาแม้แต่จะจ่ายค่าโทรศัพท์ด้วยซ้ำ

เซี่ยไห่แสดงความร่ำรวย ออกไปธนาคารเพื่อถอนเงินทันที

เพื่อนบ้านที่อยู่ตรงนั้นและหลินเซี่ยได้เห็นความแข็งแกร่งทางการเงินอย่างแท้จริงของเซี่ยไห่เป็นครั้งแรก

สมแล้วที่เขาเป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่

เขาใช้จ่ายเงินจำนวนหกพันหยวนเพื่อซื้อโทรศัพท์ให้พี่ชายโดยไม่ลังเล

ใครบางคนในฝูงชนอุทานว่า ชาตินี้พวกเขาจะมีปัญญาซื้อของให้พี่ชายตัวเองแบบนี้ไหม?

“คุณป้า ผมจ่ายเงินให้คุณแล้ว แต่หลังจากนี้คุณต้องเก็บมันไว้ให้ดี ถ้าถังหลิงรู้ ผมเกรงว่าเธออาจคิดเล่นไม่ซื่อขึ้นมาอีก”

เมื่อแม่ของเว่ยหย่งกังได้ยินสิ่งที่เซี่ยไห่พูด สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป พอนึกถึงใบหน้าของถังหลิง เธอก็กลับมาตื่นตัวระแวดระวังอีกครั้ง “พ่อหนุ่ม ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปธนาคารกับคุณ ถ้าคุณถอนเงินออกมาเมื่อไหร่ ฉันจะฝากเงินเข้าบัญชีไว้ทันทีเลยดีกว่า”

“ได้ครับ”

แม่ของเว่ยหย่งกังขอให้หลินเซี่ยและคนอื่น ๆ ช่วยดูแลสินค้าที่เธอขนออกมาขายชั่วคราว จากนั้นเธอกับเซี่ยไห่ก็ไปที่ธนาคาร

เจ้าของร้านที่ถังหลิงเช่าบอกว่าถังหลิงได้จ่ายค่าเช่าสำหรับหนึ่งปีมาแล้ว แต่ไม่เต็มใจจะปล่อยให้เธอเช่าอีกต่อไปเนื่องจากนิสัยของถังหลิง และแน่นอนว่าถังหลิงก็ไม่มีความหน้าทนพอที่จะเปิดร้านที่นี่อีกครั้งเช่นกัน

ต่อให้เปิดก็ใช่ว่าจะมีคนเข้าไปใช้บริการ

ถังหลิงมาเรียกร้องขอคืนค่าเช่า แต่เจ้าของร้านปฏิเสธที่จะคืนเงินให้ถังหลิงเมื่อเช้านี้ ทำให้เธอทะเลาะกับถังหลิง จากนั้นเธอก็จากไป

เวลานี้ พอเจ้าของร้านเห็นว่าแม่ของเว่ยหย่งกังขนข้าวของออกจากร้านข้ามฝั่งมาขายที่นี่ในราคาถูก เพื่อเอาเงินที่ได้พาลูกชายไปรับการรักษา

เจ้าของร้านก็เปลี่ยนใจอีกครั้ง

เธอตั้งใจว่าจะคืนเงินค่าเช่าส่วนต่างให้กับแม่ของเว่ยหย่งกังแทน

แม่ของเว่ยหย่งกังทำธุรกรรมกับเซี่ยไห่เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงกลับมาที่นี่หลังจากฝากเงิน เมื่อเธอได้ยินว่าป้าเจ้าของร้านต้องการคืนค่าเช่าส่วนที่เหลือให้ เธอก็หลั่งน้ำตาแสดงความขอบคุณ และโค้งคำนับขอบคุณพวกเขา

เธอมาที่ไห่เฉิงพร้อมลูกชายพิการและหลานชายตัวเล็ก โชคดีเหลือเกินที่ได้รับน้ำใจและความช่วยเหลือจากคนใจดีมากมาย

คนดี ๆ ยังมีอีกมากมายในโลกใบนี้

เพียงแต่ว่าพวกเขาโชคไม่ดีพอ ถึงได้มาพบเจอกับคนใจทรามอย่างถังหลิง

คุณป้าถือถุงไนลอนใส่ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเดินไปตั้งแผงขายของตรงทางเข้าโรงงานทอผ้าตามคำแนะนำ

ฝูงชนแยกย้ายกันไป เจ้าของร้านที่เพิ่งคืนเงินให้เธอทำหน้าเศร้าเล็กน้อย “ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่คนแก่กับเด็กตาดำ ๆ ฉันคงไม่คืนเงินให้พวกเขาง่าย ๆ หรอก”

“เฮ้อ สุดท้ายมันก็ว่าง ฉันจะไปหาคนเช่ามาจากที่ไหนอีก? แต่ละวันที่ว่างก็เป็นเงินทั้งนั้น”

หลินเซี่ยหัวเราะเล็กน้อยเมื่อเห็นคุณป้าถอนหายใจกับตัวเอง พลางแสดงสีหน้าเจ็บปวด

คุณป้าคนนี้เป็นคนใจดีมากทีเดียว

เธอเดินไปหาเจ้าของร้านแล้วพูดว่า “คุณป้า ทำไมไม่ปล่อยเช่าให้เราล่ะคะ?”

เซี่ยไห่กำลังยุ่งอยู่กับการตั้งค่าโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย เขาก็เข้ามาเมียงมองแล้วสนับสนุนว่า “ใช่ ปล่อยเช่าให้เราเถอะ”

“ทำไมพวกคุณถึงอยากได้ร้านเพิ่มอีกล่ะ? ต่างคนต่างก็มีธุรกิจเป็นของตัวเองกันหมดแล้วนี่”

เซี่ยไห่ยิ้มและพูดว่า “ถนนสายนี้มีร้านค้าทุกประเภทแล้วก็จริง แต่ยังขาดร้านอาหารราคาถูก ผมคิดว่าเราอยากเปิดร้านอาหารเพิ่ม เพื่อให้ทุกคนได้ฝากท้องกันอย่างสะดวกในอนาคตน่ะ”

ที่จริงแถวนี้มีภัตตาคารอยู่ไม่ไกล จะแวะไปกินของอร่อยเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ลักษณะของภัตตาคารดังกล่าวออกจะหรูหราเกินตัวสำหรับใครหลายคนไปสักหน่อย

พวกเขาล้วนเป็นพนักงานกินเงินเดือนธรรมดา ไม่ยอมเสียเงินกับอะไรอู้ฟู่แบบนั้น

เซี่ยไห่และหลินเซี่ยมีความคิดแบบเดียวกัน ในเมื่อถังหลิงยกเลิกสัญญาเช่า พวกเขาก็จะฉวยโอกาสนี้เช่าต่อเพื่อเปิดร้านอาหารให้เซี่ยเหลยกับหลิวกุ้ยอิง ถ้าที่ตั้งร้านอยู่ภายใต้สายตา ทุกคนก็สามารถช่วยดูแลซึ่งกันและกันได้

เจ้าของร้านดีใจมากเมื่อได้ยินว่าพวกเขามีแนวคิดที่สอดคล้องไปในทางเดียวกัน

“ถ้าอย่างนั้นพวกคุณต้องจ่ายเงินมัดจำเอาไว้ก่อนนะ ไม่อย่างนั้นฉันคงต้องติดประกาศให้เช่าตามขั้นตอน”

“ได้ ผมจ่ายเงินมัดจำให้เดี๋ยวนี้เลย” ว่าแล้วเซี่ยไห่ก็จ่ายเงินมัดจำทันที

ได้ร้านใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หลังจากกลับมาที่ร้าน หลินเซี่ยก็ถามเซี่ยไห่

“พวกหล่อนปรับปรุงร้านให้กลายเป็นร้านเสริมความงามไปแล้ว ถ้าเปลี่ยนกลับมาเป็นร้านอาหารจะยุ่งยากรึเปล่า?”

เซี่ยไห่อธิบาย “ไม่ยุ่งยากเลย ตอนแรก ๆ ที่ถังหลิงปรับปรุงร้าน หล่อนแค่ปูพื้นกระเบื้อง ทาสีผนังใหม่ แล้วก็ทำตู้บิลด์อินให้ดูหรูหรา จากนั้นก็ซื้อเตียงเสริมสวยกับเก้าอี้มาเพิ่มเท่านั้นเอง เดี๋ยวแม่สามีหล่อนก็คงยกออกไปขายทิ้ง หลังจากเราย้ายเข้า ก็แค่เปลี่ยนห้องด้านหลังให้เป็นห้องครัว เจาะผนังทำหน้าต่าง แค่นี้มันก็จะกลายสภาพเป็นร้านอาหารเล็ก ๆ แล้วด้วยการตกแต่งเรียบง่าย ข้อเสียอย่างเดียวคือพื้นที่ใช้สอยอาจคับแคบไปหน่อย ลองเปิดชิมลางดูก่อนแล้วค่อยขยับขยายทีหลังเมื่อทุกอย่างอำนวยก็แล้วกัน”

จุดประสงค์ของร้านอาหารแห่งนี้ ไม่ใช่เพื่อสร้างรายได้หรือทำธุรกิจ

แต่พวกเขาต้องการเปิดโอกาสให้พี่ใหญ่และหลิวกุ้ยอิงได้มีช่วงเวลาพัฒนาความสัมพันธ์ หวังว่าพี่ใหญ่ของเขาจะค่อย ๆ รำลึกถึงเรื่องราวในอดีตไปพร้อมกับการใช้ชีวิตร่วมกับหลิวกุ้ยอิง

หลินเซี่ยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณลองกลับไปปรึกษาเรื่องนี้กับพี่ชายคุณก่อน ฉันเองก็จะไปหาแม่เพื่อคุยเรื่องนี้ในคืนนี้ก่อนเหมือนกัน”

“ได้ งั้นพวกเราแยกย้ายกันไปทำงานเถอะ”

หลังจากเซี่ยไห่พูดจบ เขาก็ตระหนักว่าหลินเซี่ยยังคงไม่เปลี่ยนคำเรียกให้ถูกต้อง เขาจึงแก้ไขคำพูดของเธออย่างไม่พอใจ “เซี่ยเซี่ย ต่อจากนี้เธอควรเรียกเขาว่าพ่อ ไม่ใช่เรียกว่าพี่ชายของฉันนะ ฟังแล้วดูน่าอึดอัดยังไงไม่รู้”

“จะรีบไปทำไมกัน? ถึงเวลาที่สมควรเรียกเดี๋ยวฉันก็เรียกเขาแบบนั้นเองแหละ”

อีกฝ่ายไม่รู้จักตัวตนของเธอ และเธอก็ไม่มีโอกาสเรียกเขาว่าพ่ออย่างเต็มปากเต็มคำด้วย

“หลินจินซานน่าจะกลับมาวันพรุ่งนี้นะ”

“ตอนนี้เขาน่าจะเพิ่งกลับถึงบ้านเกิด”

หลังจากเลิกงานในตอนเย็น หลินเซี่ยและหลินเยี่ยนก็กลับบ้านด้วยกันเพื่อมาคุยธุระกับหลิวกุ้ยอิง

ระหว่างทางกลับบ้าน หลินเซี่ยบอกกับหลินเยี่ยนว่าเธออยากให้หลิวกุ้ยอิงและเซี่ยเหลยร่วมหุ้นเปิดร้านอาหารด้วยกัน

หลินเยี่ยนเห็นด้วย

“แม่คะ วันนี้เซี่ยไห่กับหนูเพิ่งตัดสินใจจ่ายค่ามัดจำร้านไว้เผื่อเปิดเป็นร้านอาหาร เราคุยกันว่าอยากให้แม่เปิดร้านอาหารร่วมกับพ่อ แม่คิดยังไงกับเรื่องนี้คะ?”

เมื่อหลิวกุ้ยอิงได้ยินว่าพวกเขาลงทุนเรื่องร้านไปแล้ว เธอก็แสดงความเคอะเขินด้วยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร

เมื่อก่อนเธอเคยสูญเสียความมั่นใจ จนกระทั่งได้เปิดแผงลอยขายอาหาร ตอนนี้แผงลอยมาถูกปิด ทำให้เธอกลับมาเป็นคนไม่มั่นใจอีกครั้ง

หลิวกุ้ยอิงกังวล “เขาไม่รู้จักแม่ด้วยซ้ำ ระหว่างเราถือเป็นคนแปลกหน้า แล้วจะเปิดร้านอาหารด้วยกันได้ยังไง?”

หลินเซี่ยเกลี้ยกล่อมว่า “ตราบใดที่แม่เต็มใจ ก็ใช้ช่วงเวลานี้ค่อย ๆ ทำความรู้จักกับเขาใหม่ก็ได้นี่คะ ขั้นตอนที่เหลือมีแค่ตกแต่งร้านกับยื่นเรื่องขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจ ทุกอย่างต้องใช้เวลา แม่มีเวลาทำความรู้จักกันอีกเยอะแยะเลย”

หลิวกุ้ยอิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “รอให้พี่ชายของลูกกลับมาก่อน แม่จะลองปรึกษาเขาดู”

หลินเซี่ยสามารถบอกได้ว่าความกังวลที่ใหญ่ที่สุดของหลิวกุ้ยอิงในตอนนี้ยังคงเป็นหลินจินซาน

เธอกลัวว่าลูกชายจะรู้สึกน้อยใจ

“แม่ ลองบอกหนูตามความจริงหน่อย หลังจากที่แม่ได้เจอหน้าพ่อ แม่รู้สึกยังไงบ้าง?”

เมื่อเผชิญกับการจ้องมองของหลินเซี่ย หลิวกุ้ยอิงก็ก้มศีรษะลงและถอนหายใจเป็นเวลานาน

“แม่รู้สึกเสียใจแทนเขา”

เมื่อเอ่ยถึงเซี่ยเหลย หลิวกุ้ยอิงก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาซึม “ผู้ชายคนนั้นไม่มีแม้แต่ความทรงจำคอยหล่อเลี้ยง ชีวิตของเขาคงเจ็บปวดไม่น้อยเลย แม่ได้ยินย่าของลูกบอกว่าเมื่อก่อนเขาแย่กว่านี้ เขาต้องทนทุกข์ทรมานหนักมาก”

ในความทรงจำของเธอ เขาเป็นนายทหารที่สูงโปร่ง หล่อเหลา ทรงพลังสูงส่ง แต่ตอนนี้ออร่าของเขาเหลือเพียงความผันผวนจากประสบการณ์ชีวิตอันเลวร้าย

“ใช่ค่ะ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เขาจะประคองชีวิตอยู่มาได้”