บทที่ 276 หลานเยาเยาหาเรื่อง

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 276 หลานเยาเยาหาเรื่อง

“ก็ใช่ เจ้าคงต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งตัว”

เย่แจ๋หยิ่งมองนางที่แม้แต่เส้นผมยังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ คิดว่าเสื้อผ้าบนตัวนางก็คงไม่ต่างกัน

ในใจเกิดกังวลเล็กน้อย

นางฝันอะไรกันแน่

พูดจบ

เขาก็ลุกขึ้น เดินออกไปนอกห้องนอน

เห็นเย่แจ๋หยิ่งเดินออกจากประตูไปแล้ว หลายเยาเยายกมือขึ้นสะบัดเบาๆ กำลังคิดว่าจะใช้กำลังภายในปิดประตู สมองเกิดมีเสียงหนึ่งดังขึ้น “ชีวิตข้าก็ให้เจ้าได้ อย่าว่าแต่กำลังภายในเพียงครึ่งเดียวเลย”

กำลังภายในนี้……

หลานเยาเยาขมวดคิ้วเบาเบา ในตามีแววแน่ใจ

และแล้ว

มือที่หยุดอยู่กลางอากาศก็ค่อยๆวางลง จากนั้นก็เดินเท้าเปล่าไปที่ข้างประตู

ส่วนเย่แจ๋หยิ่งที่เดินออกจากห้อง ไม่ได้ไปที่ห้องรับแขก แต่กลับยืนอยู่ที่หน้าประตู ได้ยินเสียงฝีเท้าด้านหลัง เขาหันกลับไปมองนางที่เดินเท้าเปล่า ในตามีแววฉงนอยู่บ้าง

ได้ยินเสียง “ปัง” ดังขึ้น ประตูห้องถูกปิดลง

ผ่านไปสักพัก

“เอี๊ยด······”

หลานเยาเยาที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว บนหน้าแต่งแต้มจนมีเสน่ห์เย้ายวน สัญญาลักษณ์กลีบดอกไม้บนแก้มชัดเจนยิ่งขึ้น นางสวมชุดสีแดงก่ำแพรวพราวงดงามทั้งตัวเดินออกมาจากข้างใน

เหมือนเช่นเคย งดงามเย็นชาไร้ที่ติ

และเย่แจ๋หยิ่งก็เพียงแค่มองนางอย่างไม่ได้มีอะไรแอปแฝง จากนั้นก็เลื่อนสายตาไปที่โต๊ะข้างเตียง

น้ำขิงถ้วยนั้นยังคงมีไอร้อนอยู่ แต่เขารู้ว่านางไม่ได้ดื่มมัน

“อ๋องเย่ เชิญ”

หลานเยาเยามองเย่แจ๋หยิ่งอย่างเย็นชา จากนั้นก็ผายมือทำท่าเชิญให้กับเขา

จากนั้นสายตาก็ไปอยู่ที่ ที่ๆได้ยินเสียงอาวุธกระทบกันดังห่างออกไป

เห็นเพียงองครักษ์เงาเจ็ดแปดคน ห้อมจื่อซีและจื่อเฟิงเอาไว้

หึ

มาปรึกษาหารือจริงๆ

ไม่อย่างนั้น จะพาองครักษ์เงาตั้งมากมายมาล้อมจื่อซีพวกเขาเอาไว้ทำไมกัน

“อ๋องเย่ นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร คนมากรังแกคนน้อยไม่ใช่รูปแบบที่ท่านทำปกตินี่นา”

ตอนนี้เอง เย่แจ๋หยิ่งจึงเลื่อนสายตากลับมามองนางอีกครั้ง มองอย่างไม่มีความหมายอื่นลึกซึ้ง ดวงตาลึกล้ำพูดขึ้นว่า

“เหมือนเจ้าจะเข้าใจข้าดี”

ได้ยินดังนี้

ดวงตาของหลานเยาเยาหรี่ลงเล็กน้อย จากนั้นก็หยักยิ้มมุมปากเหมือนเยาะเย้ย น้ำเสียงเย็นชาพูดว่า

“รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”

“อ๋อ ที่แท้พวกเราก็เป็นศัตรูกัน ”สำหรับจุดนี้ เขาดูเหมือนจะไม่แปลกใจ

เพียงแต่ได้ยินนางพูดออกมาอย่างเย็นชา ในใจเกิดความรู้สึกไม่ค่อยพอใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“นอกจากตัวข้าแล้ว คนอื่นล้วนเป็นศัตรูของข้า”คำพูดที่เหมือนจะล้อเล่นแต่ก็ไม่ใช่สักทีเดียว พูดออกจากปากนางอย่างไม่รู้สึกกังขาเลยสักนิด

พูดจบ

หลานเยาเยาเดินนำไปก่อนหนึ่งก้าว

ยังไปไม่ถึงฝั่งของจื่อซีและจื่อเฟิง นางก็โบกมือให้กับพวกเขา เขาทั้งสองก็หยุดมือทันที

จากนั้น ก็รีบมาอยู่ข้างกายนาง

“คุณหนู ท่านไม่เป็นไรนะ”

“จะเป็นอะไรได้ อ๋องเย่เป็นถึงสุภาพบุรุษนะ”ทั้งๆที่เป็นคำชม แต่พอไปกระทบหูคนอื่นกลับกลายเป็นคำที่มีความหมายตรงข้าม

พอได้ยิน จื่อซีและจื่อเฟิงก็มองไปยังเย่แจ๋หยิ่งด้วยสายตาไม่ดีนัก

ได้เห็นสายตาของพวกเขา หลานเยาเยารู้สึกอยากหัวเราะอย่างประหลาด

ทั้งสองคนจำได้ดี เขาทั้งสองเคยเป็นองครักษ์เงาของเย่แจ๋หยิ่ง แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตอนนี้พวกเขาไม่ได้ยำเกรงเย่แจ๋หยิ่งเลยสักนิด

องครักษ์เงานั้นจงรักภักดีที่สุด

หรือว่าหลังจากไม่สบายจะลืมความจงรักภักดีที่เคยมีต่อเย่แจ๋หยิ่งไปแล้ว

อีกทั้งเหมือนว่าไม่มีร่องรอยจะฟื้นคืนด้วย

บางทีพวกเขาสองคนอาจจะถูกพิษกู่จิ้นที่ดงดอกกระดูกขาวหนักที่สุดก็เป็นได้ แต่ ตอนนั้นหานแสได้ดื่มน้ำปรโลก ส่วนนางนอกจากน้ำปรโลกแล้ว ยังมีหมู่เลือดเป็น A3

ส่วนเขาสองคน ไม่เคยกินตัวยาใดๆที่อยู่ในยาถอนพิษเลย

ฉะนั้น แม้จะจำได้ว่าเย่แจ๋หยิ่งเคยเป็นเจ้านายของพวกเขา ก็คงจะลืมว่าองครักษ์เงาควรมีความจงรักภักดีอย่างไร

หากเป็นเพราะสาเหตุนี้

นางก็คงอยากจะหัวเราะจริงๆ

องครักษ์เงาที่เขาให้ความสำคัญที่สุดสองคน ตอนนี้เป็นลูกน้องของนาง และยังฟังเพียงคำสั่งนางเท่านั้น นางจะไม่หัวเราะได้อย่างไร

เย่แจ๋หยิ่งมองพวกเขาแวบหนึ่ง สายตาลึกล้ำยิ่งขึ้น แต่ก็เพียงแค่มองผ่านไปเท่านั้น เขาก็เคลื่อนสายตาออกไป

“จวนเทพธิดาใหญ่โต แต่กลับอาศัยอยู่เพียงไม่กี่คน เทพธิดาทำให้ผู้อื่นได้เห็นมุมมองใหม่จริงๆ”

สายตาของเขาทำให้องครักษ์ที่จะมาปกป้องเขาถอยออกไป

“ช่วยไม่ได้ ก็คนต่ำต้อย ไม่มีเงินทองมาซื้อคนรับใช้”

หลานเยาเยาเหมือนไม่ต้องการจะพูดมาก หันไปสั่งการจื่อซี

“ยังจะยืนอึ้งอยู่ทำไมกัน ไม่เห็นว่าอ๋องเย่เสด็จหรือ ไปดูสิว่าชาที่ชงไว้เมื่อคืนยังเหลืออยู่บ้างหรือไม่ หากมีก็ยกมาให้อ๋องเยหนึ่งถ้วย”

“ขอรับ”จื่อซีรับคำสั่งจากไป

มุมปากหลานเยาเยายกขึ้น มองท้องฟ้าอย่างสบายอารมณ์ จากนั้นก็มองเย่แจ๋หยิ่งด้วยใบหน้ายิ้มๆ

“เห็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมอก เวลายังเช้านัก คิดว่าอ๋องเย่คงยังไม่ได้กินอะไร คิดอยากจะหารือก็คงต้องกินให้อิ่มจิตใจสงบแล้วจึงปรึกษาใช่หรือไม่ ”

“อาหารเช้า”เย่แจ๋หยิ่งหรี่ตาเหลือบมองไปที่นาง “ผ่านเวลาอาหารเที่ยงไปนานแล้ว เทพธิดาให้คนเตรียมอาหารสำหรับมื้อค่ำเถอะ”

โอ๊ะ

เกือบจะค่ำแล้ว

นางยังคิดว่านอนไปเพียงชั่วครู่เท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะนอนหลับเป็นเวลานานแล้ว

“เช่นนั้นท่านจะกินหรือไม่”

จะกินไม่กิน

ไม่ว่าอย่างไรนางก็มีวิธีรับมืออยู่แล้ว

หลานเยาเยาดูเหมือนอารมณ์จะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ยังเวียนหัวอยู่เลย

“น้ำใจยากปฏิเสธ ใยจะไม่กินเล่า”สองมือของเย่แจ๋หยิ่งไขว้หลัง หมุนตัวอย่างเกียจคร้าน เปลี่ยนทางเดินไปยังห้องอาหาร

หลานเยาเยาขมวดคิ้วเบาๆ

ดูท่าทางเขา เหมือนจะรู้ว่าห้องอาหารอยู่ทางไหนมากกว่านาง

และแล้ว

นางมองไปยังจื่อเฟิง พูดกับเขาด้วยเสียงจริงจังว่า “เจ้าไปบอกให้คนครัวเตรียมอาหารดีๆหลายอย่างหน่อย จำไว้ เตรียมให้อ๋องเย่โดยเฉพาะ วัตถุดิบทั้งหมดต้องดีที่สุด เข้าใจหรือไม่”

หลานเยาเยาพูดคำว่า ดีที่สุด ด้วยเสียงเน้นหนัก

จื่อเฟิงติดตามนางได้สามปีแล้ว

นางเชื่อว่าเขาจะต้องฟังความหมายที่แท้จริงในคำพูดของนางออก

“ขอรับ”จื่อเฟิงพยักหน้ารับ จากนั้นก็ลอยตัวจากไป

จากนั้นไม่นาน

ในห้องอาหาร

หลานเยาเยากับเย่แจ๋หยิ่งนั่งขนานกัน น้ำชาถูกยกมาไว้นานแล้ว

แต่ไม่มีใครดื่ม

นางให้จื่อซีเอาน้ำชาค้างคืนมา ไม่ใช่แค่พูดไปเท่านั้น

ฉะนั้นที่อยู่บนโต๊ะตอนนี้ก็คือน้ำชาค้างคืน

หลานเยาเยายังหวังดีรินให้กับเย่แจ๋หยิ่งหนึ่งถ้วย

“นี่เป็นใบชาชั้นดี ขอท่านอ๋องเย่อย่าได้รังเกียจ”

ขณะพูด นิ้วมือที่แสนอ่อนนุ่มก็ค่อยๆกดลงที่กาน้ำชาหนึ่งที และรินให้ตัวเองหนึ่งถ้วย

ไม่พูดเป็นครั้งที่สอง ก็ยกน้ำชาขึ้นจิบไปหนึ่งคำ

เห็นเย่แจ๋หยิ่งไม่ดื่ม นางเลิกคิ้วหัวเราะ หยิบน้ำชาตรงหน้าเขายื่นให้เขาไป

“ท่านอ๋องเย่ทำไมไม่ดื่ม”

เย่แจ๋หยิ่งมองน้ำชาที่จ่ออยู่ตรงหน้า ท่าทีมีแววไม่ค่อยเข้าใจ

สุดท้ายจึงเอ่ยขึ้นเบาๆว่า “ข้ากำลังคิดว่า……”

เขายังพูดไม่ทันจบ ก็หยิบเอาน้ำชาที่นางเพิ่งดื่มไป จิบไปหนึ่งคำอย่างรวดเร็ว

“……”

ร่างของหลานเยาเยานิ่งไป คนทั้งคนนิ่งอึ้งไปสักครู่

หลังจากได้สติกลับมา ในใจรู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นทันที

เจ้าคนเลวนี่……

“ท่านอ๋องเย่หมายความว่าอย่างไร”สีหน้าของนางอึมครึม

“ข้ากำลังคิด น้ำชาที่ผ่านริมฝีปากของเทพธิดาใช่จะน่าดื่มกว่าหรือไม่ ซึ่งก็ได้พิสูจน์แล้ว รสชาตินั้นดีจริงๆ”