บทที่ 291 ขอคุณแต่งงาน
บทที่ 291 ขอคุณแต่งงาน
ซูโย่วอี๋เพียงแค่ยิ้มและไม่ได้พูดอะไร เธอเอาแต่สนใจสิ่งที่อยู่บนมือ
แต่พอทำเสร็จ ก็ถูกใครไม่รู้กอดจากด้านหลัง “เหนื่อยหรือเปล่า?”
ซูโย่วอี๋ตกใจ ปฏิกิริยาแรกของเธอก็คือมองไปยังทางที่สาวใช้ที่ยืนอยู่อย่างไม่สบายใจ แต่ที่ตรงนั้นไม่มีคนอยู่นานแล้ว
เธอจึงวางใจลง
“คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“สักพักแล้ว เห็นคุณจริงจังมาก เลยไม่อยากเข้ามารบกวน”
ซูโย่วอี๋หมุนตัวกลับมา สายตาของลู่เฉินจ้องมองเธออย่างรักใคร่ ดวงตาคู่นั้นเหมือนกับดวงดาวที่กำลังส่องแสงสว่างจ้า
“ทำไมมองฉันอย่างงั้นล่ะ?”
ลู่เฉินเล่นกับผมสีดำยาวสลวยของเธอ “ตอนเด็ก ๆ ผมอิจฉาเพื่อนคนอื่นมาก ๆ เลย เพราะหลังจากที่แม่ของพวกเขาเลิกงานกลับบ้านมาก็ทำอาหารไว้ให้ แต่ทุกครั้งที่ผมกลับบ้าน ห้องครัวจะว่างเปล่าเสมอ”
“ผมเลยคิดว่า ต่อไปผมจะต้องขอผู้หญิงที่ทำกับข้าวเป็นให้มาเป็นภรรยาของผมให้ได้”
“พอได้เห็นแผ่นหลังของคุณเมื่อครู่นี้ ผมเลยกำลังคิดว่า…”
ลู่เฉินหยุดชะงักไป ซูโย่วอี๋อดไม่จึงถามขึ้น “คุณคิดอะไร?”
“ผมคิดว่าอยากจะขอคุณแต่งงาน”
มุมปากของลู่เฉินยกยิ้ม น้ำเสียงทุ้มต่ำที่สามารถทำให้คนฟังหลงใหลในเสน่ห์อันเย้ายวนใจดังขึ้นที่ข้างหู
ใบหน้าของซูโย่วอี๋เริ่มแดง “คุณคงไม่ได้หลอกให้ฉันมาทำกับข้าวให้ใช่ไหม?”
“อีกอย่างนะ การขอแต่งงานแบบนี้มันดูเหมือนขอไปทีเกินไปหรือเปล่า?”
ลู่เฉินยิ้มกว้างมากกว่าเดิม “คุณวางใจได้เลย ผมจะต้องขอคุณแต่งงานอย่างยิ่งใหญ่แน่นอน”
ซูโย่วอี๋ผลักเขาออก “ไป ๆ ๆ เนื้อนึ่งฝักทองของฉันเสร็จแล้ว คุณรีบไปเรียกให้คุณปู่มากินข้าวเร็ว ๆ เลย”
ลู่เฉินจ้องเธออยู่ครู่หนึ่ง “โอเค”
เดิมทีคุณปู่ลู่กะจะไม่กินข้าวเที่ยง แต่พอได้ยินว่าซูโย่วอี๋ลงมือทำด้วยตัวเอง เขาจึงรีบลงมาชั้นล่างอย่างขยันขันแข็ง
ลู่เฉินพยุงเขาให้นั่งลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะอาหาร จากนั้นซูโย่วอี๋ยกจานเนื้อนึ่งฟักทองมาวางไว้ตรงหน้าของคุณปู่ลู่ ส่วนสาวใช้ก็ตักข้าวมาหนึ่งถ้วย
“คุณปู่ ลองชิมฝีมือฉันดูนะคะ”
คุณปู่ลู่ได้กลิ่นหอมก็กลืนน้ำลายเบา ๆ
ดูไม่ใช่คนป่วยเหมือนเมื่อก่อน และมีชีวิตชีวาขึ้นมาเล็กน้อย
พ่อบ้านเองก็ไม่เข้าใจความคิดของเจ้านาย “มีอะไรผิดปกติหรือเปล่าครับ?”
คุณปู่ลู่ไม่ได้ตอบกลับ เขาตักอาหารขึ้นมาช้อนหนึ่งและใส่เข้าไปในปาก
เขาเคี้ยวอย่างเชื่องช้า ค่อย ๆ ลิ้มรสอาหารทุกจานอย่างละเอียดละออ
ซูโย่วอี๋เริ่มกังวลขึ้นมา คุณปู่ดูไม่ค่อยชอบมันเลย
หรือที่สุนัขจิ้งจอกพูดจะผิด?
คุณปู่ลู่วางช้อนลง ก่อนจะมองไปยังซูโย่วอี๋ “นี่เธอทำเหรอ?”
“ค่ะ” ซูโย่วอี๋พยักหน้าเบา ๆ “อร่อยไหมคะ?”
น้ำตาเริ่มคลอที่เบ้าตาของคุณปู่ลู่ “ไม่อร่อย”
รสชาติแย่มากจนร้องไห้เลยเหรอ?
คุณปู่ลู่ยื่นมือไปทางซูโย่วอี๋ “เด็กดี มานี่สิ ปู่จะพูดอะไรด้วยหน่อย”
ซูโย่วอี๋ลากเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างออกมาและนั่งลง
“เธอใส่อะไรลงไปในนี้หรอ?”
“พริกเสฉวนค่ะ”
คุณปู่ลู่ผงะ อย่างนี้นี่เอง
“ปู่ไม่ชอบกินพริกเสฉวน ปกติแล้วพวกคนรับใช้จะทำอาหารตามที่ปู่ชอบ โย่วโย่ว เธอตั้งใจใส่พริกเสฉวนลงไปแบบนี้ คงไม่ใช่เพราะอยากทำให้ปู่โกรธใช่ไหม?”
“ไม่ใช่นะคะ”
ซูโย่วอี๋ไม่ได้รู้สึกไม่ดีเลยที่ถูกถามแบบนี้ เพราะสายตาที่คุณปู่ลู่มองเธอนั้นดูเอ็นดูมาก ๆ
เขาเพียงแค่สงสัยก็เท่านั้นเอง
ซูโย่วอี๋ลดสายตาลง “ฉันกำลังคิดว่าพวกคนรับใช้ทำเนื้อนึ่งฟักทองออกมาไม่ได้เพราะขาดรสชาติอะไรไปแน่ ๆ น่ะค่ะ”
“งั้นเธอหารสชาตินั้นเจอได้ยังไง?”
“พูดไปก็ง่าย ๆ เลยค่ะ”
ซูโย่วอี๋พูดอย่างฉะฉาน “คุณย่าลู่ทำอาหารให้คุณปู่ทานมาโดยตลอด ฉันลองถามคนรับใช้คนเก่า ๆ ในบ้านมาแล้ว พวกเธอบอกว่าเวลาคุณย่าทำอาหาร เธอจะชอบใส่พริกเสฉวนที่เป็นพริกจากบ้านเกิดของเธอลงไปด้วย”
“ฉันก็เลยเดาเอาว่า เวลาที่คุณย่าทำอาหารอาจจะใส่พริกเสฉวนลงไปด้วย”
คุณปู่ลู่ยิ้มขึ้น “ดังนั้นคุณก็เลยใส่มันลงไปด้วยใช่ไหม?”
“ค่ะ”
คุณปู่ลู่มีความสุขมาก “ตั้งแต่ที่ย่าของหลานจากไป ปู่ก็ไม่เคยได้กินรสชาติแบบนี้อีกเลย”
ทั้งที่เมื่อก่อนเขาเกลียดรสชาติแบบนี้มากที่สุด ตอนนี้กลับกลายเป็นรสชาติที่คิดถึงมากที่สุดเสียแล้ว
เขาหยิบช้อนขึ้นมาตักเนื้อนึ่งฟักทองกินอีกครั้งจนหมดเกลี้ยง
ไม่เหลือแม้แต่น้ำ
พ่อบ้านจึงเป็นกังวล เกรงว่าถ้านายท่านกินมากเกินไป อาหารจะไม่ย่อยเอาได้
แต่คุณปู่ลู่ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน “ท้องของฉันสบายดี อย่าทำให้โย่วโย่วที่อุตส่าห์ทำอาหารมาต้องรู้สึกผิดสิ”
“นี่คือมื้ออาหารที่ฉันชอบมากที่สุดในช่วงหลายวันมานี้เลย”
ซูโย่วอี๋รับรู้ถึงความจริงใจของคุณปู่ลู่ “ถ้าคุณปู่ชอบ ฉันจะมาทำให้บ่อย ๆ นะคะ”
คุณปู่ลู่โบกมือขึ้น “ช่างเถอะ ให้รสชาติของพริกเสฉวนเป็นรสชาติที่คิดถึงก็พอ”
กินมากเกินไป… ยังไงก็ยังไม่ชอบอยู่ดี
“พวกคนวัยหนุ่มสาวอย่างพวกเธอมีเรื่องยุ่งมากพอแล้ว ไม่ต้องมาคอยอยู่เป็นเพื่อนคนแก่ ๆ อย่างปู่หรอก หลี่ขุย ไปเดินเล่นในสวนดอกไม้กับฉันหน่อย”
คุณปู่ลู่หันไปเห็นโต้วโต่วที่นอนอยู่ข้าง ๆ เท้าของซูโย่วอี๋ “เจ้าตัวเล็ก อยากจะออกไปเดินเล่นหน่อยไหม?”
โต้วโต่วยืดตัวขึ้นเดินไปข้างหน้าสองก้าว ก่อนจะก็กลับไปอยู่ข้าง ๆ ซูโย่วอี๋เหมือนเดิม แถมยังเอาหัวถู ๆ กับข้อเท้าของซูโย่วอี๋ด้วย
คุณปู่ลู่พูดขึ้น “เจ้าตัวเล็กตัวนี้ไม่ค่อยญาติดีกับใคร ไม่คิดว่าจะชอบเธอมากขนาดนี้ เมื่อก่อนที่อาเฉินบอก ปู่ก็คิดว่าเขาโม้ซะอีก”
“เจ้าตัวเล็ก ชอบโย่วโย่วเหรอ ปู่ส่งแกให้ไปอยู่กับเธอเลยดีไหม?”
“เมี้ยว” โต้วโต่วเงยหน้าขึ้นมาอย่างดีใจ
คุณปู่ลู่อิจฉาขึ้นมา “หึ ใจร้ายจริง ๆ”
“โย่วโย่ว เธอยินดีจะรับโต้วโต่วไปเลี้ยงไหม?”
ซูโย่วอี๋ก้มหน้าลงมองเจ้าคัวขนยาวน่ารัก ๆ “ได้สิคะ”
พวกเขากินข้าวเสร็จ จากนั้นทั้งสองคนพร้อมกับแมวหนึ่งตัวก็จากไป
แต่ซูโย่วอี๋อ้างไปว่าทำของตกเอาไว้ที่บ้านเลยกลับไปอีกครั้ง ซึ่งในบ้านมีเพียงคนรับใช้อยู่ไม่กี่คน
เธอนำ [ยารักษากระเพาะเร่งด่วน] มอบให้หนึ่งคนในนั้น “นี่คือยารักษากระเพาะอาหารที่ลู่เฉินซื้อมาให้คุณปู่ พวกคุณใส่ยานี่ลงไปในน้ำให้คุณปู่ดื่มทุก ๆ วันนะคะ เข้าใจไหม?”
สาวใช้รับมา “ได้ค่ะ คุณวางใจได้เลย”
เมื่อนึกถึงความล้ำค่าของ [ยารักษากระเพาะเร่งด่วน] ซูโย่วอี๋จึงเน้นย้ำอีกและจากไป
หนิงเชิงออกมาจากห้องหนังสือและเห็นแผ่นหลังที่กำลังจากไปของซูโย่วอี๋พอดี จึงหันกลับมาด้วยความขยะแขยง เธอเห็นขวดยาสีขาวที่อยู่ในมือของสาวใช้พอดี “นั่นอะไร?”
สาวใช้ต่างก็เกรงกลัวคุณนายผู้เก่งกาจคนนี้มาก จึงรีบตอบกลับไป “เป็นยาที่คุณชายลู่ซื้อให้นายท่านค่ะ”
“ซูโย่วอี๋เป็นคนเอามาให้งั้นเหรอ?”
“ใช่ค่ะ”
หนิงเชิงรู้สึกถึงความผิดปกติ บรรจุภัณฑ์ของยาขวดนี้ดูสะอาดสะอ้าน ด้านบนก็ไม่มีคำอธิบายอะไรเลย แม้แต่ชื่อหรือวันผลิตของผลิตภัณฑ์ก็ไม่มี
ไม่ว่าจะมองอย่างไร มันก็ดูเหมือนสินค้าที่ไม่มีเครื่องหมายการค้าเหมือนพวกที่มีขายตามแผงลอยริมถนน
“เอามาให้ฉัน”
หนิงเชิงรับยามาและใส่ยาเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อทันที
สาวใช้ถามขึ้นอย่างกลัว ๆ “คุณนาย ยานี้ต้องให้นายท่านกินอยู่ไหมคะ?”
“รอให้ฉันตรวจดูให้แน่ชัดก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ยานี้เป็นยาที่ลู่เฉินให้มาหรือเปล่าก็ไม่รู้
ถ้าไม่ใช่ ยาตัวนี้มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?
ความตั้งใจของซูโย่วอี๋คืออะไรกัน?
อีกด้านหนึ่ง ซูโย่วอี๋รู้สึกว่าตัวเองสามารถช่วยรักษาอาการกระเพาะอาหารของคุณปู่ได้ จึงรู้สึกอิ่มเอมใจโดยที่ไม่รู้เลยว่ายาถูกคนอื่นเอาไปแล้ว
ลู่เฉินจับพวงมาลัยด้วยมือข้างเดียว ส่วนด้านนอกรถเริ่มมีหิมะตกลงมา
แต่ทว่าซูโย่วอี๋กลับเลื่อนกระจกรถลง ทำให้ลมพัดหิมะโปรยปรายเข้ามาในรถ
เธอรู้สึกถึงลมเย็น ๆ ที่พัดเข้ามาด้วยความหนาวสั่น
ลู่เฉินหัวเราะและลูบหัวเธอเบา ๆ “ระวังเป็นหวัดนะ”
โต้วโต่วเอาแต่ซุกอยู่ในอ้อมแขนของซูโย่วอี๋ มันอดไม่ได้ที่จะลืมตากลมโตขึ้นมามองด้วยความสงสัย
ซูโย่วอี๋เลื่อนกระจกรถขึ้น “ลู่เฉิน ฟ้ามืดแล้วเดินทางไม่ค่อยดีนะคะ อีกสักพักฉันขอกลับไปที่กองถ่ายรายการเลยนะ”
“ก็ดีเหมือนกัน”
คืนนั้น ซูโย่วอี๋มาถึงกองถ่ายทำรายการวาไรตี้ หลังกินข้าวมื้อเย็นเสร็จก็เอาแต่ขังตัวเองไว้ในห้อง เพื่อเตรียมถ่ายภาพปกของ [นิตยสารรายสัปดาห์]
ระหว่างที่กำลังเตรียมตัวเข้าไปในระบบ โต้วโต่วก็กระโดดขึ้นมาในอ้อมแขนของเธอ
ในดวงตาเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความสับสนและหวาดกลัว น่าจะเพราะมายังสถานที่ ๆแปลกตาจึงยังไม่คุ้นเคย
ซูโย่วอี๋ปลอบโยนมันอย่างเอ็นดู “ไม่ต้องกลัว แกหิวหรือเปล่า?”
“เมี้ยว”
ซูโย่วอี๋หยิบสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันของโต้วโต่วออกมา และเปิดกระป๋องออก
โต้วโต่วเดินเข้ามาดมกลิ่นใกล้ ๆ และก็เดินออกไป
ซูโย่วอี๋สงสัยว่าแมวน้อยตัวนี้ต้องการอะไรกันแน่ สุนัขจิ้งจอกปรากฏตัวขึ้นในห้องนอน ด้วยร่างสูงกว่าร้อยแปดสิบของมัน
ขนมันวาวและเรียบเนียนจนดูโปร่งแสง
[โต้วโต่วอยากเข้าไปในระบบกับคุณ]
ซูโย่วอี๋นิ่งไป ไม่ว่าในหัวของฉันจะคิดอะไรเขาก็รู้หมดเลยเหรอ?
[ใช่สิ เหมือนกับว่าพวกเราทั้งสามคนสามารถได้ยินเสียงหัวใจของกันและกันนั่นแหละ]
น่าทึ่งมากจริง ๆ
เพื่อพิสูจน์คำพูดนี้ ซูโย่วอี๋จึงไม่ได้เปิดปากพูด แต่กลับใช้จิตสำนึกเรียกโต้วโต่ว
“เมี้ยว”
ได้ยินจริง ๆ ด้วย
ซูโย่วอี๋จึงเชื่อขึ้นมาว่าโต้วโต่วสามารถรับรู้ได้ถึงความคิดในหัวของเธอเหมือนกับสุนัขจิ้งจอก
“สามารถพาโต้วโต่วเข้าไปในระบบด้วยได้ไหม?”
สุนัขจิ้งจอกเองก็ไม่แน่ใจ [ลองดูสิ]
“ลองยังไง?”
โต้วโต่วคงจะไม่ต้องถอดจิตวิญญาณออกมาใช่ไหม
สุนัขจิ้งจอกขมวดคิ้วขึ้น [คุณสัมผัสร่างกายของมันเอาไว้ หลังจากนั้นก็เข้าไปในระบบ]
ซูโย่วอี๋ลองทำตาม พอลืมตาขึ้นมาในพื้นที่ของระบบอันกว้างใหญ่ก็มีแมวตัวหนึ่งนอนอยู่ที่พื้น
เข้ามาได้แล้วจริง ๆ เหรอ?
“เจ้าจิ้งจอกเน่า ฉันสามารถพาคนอื่น ๆ เข้ามาในระบบได้ด้วยหรือเปล่า?”
[ไม่ได้เด็ดขาด ระบบได้ระบุเอาไว้แล้วว่าห้ามบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ซู่จู่เข้ามา คุณสามารถพาโต้วโต่วเข้ามาได้ เพราะโต้วโต่วไม่ใช่คน และพวกคุณสามารถติดต่อกันได้จากจิตใต้สำนึก ระบบจึงคำนวณว่าพวกคุณเป็นคนเดียวกัน]
โอเค
ซูโย่วอี๋ไม่เสียเวลาอีกต่อไป “โต้วโต่ว แกเล่นอยู่ในนี้นะ ถ้าฉันทำธุระเสร็จแล้วจะมารับแกกลับ”
“เมี้ยว”
โต้วโต่ววิ่งหายไป มีแค่เสียงร้องที่ดังออกมา
ในพื้นที่ระบบ
ซูโย่วอี๋มองดูข้อกำหนดของ [ความสง่างามทั้งหนึ่งหมื่นท่า] : ห้ามให้เห็นใบหน้า ส่วนสำคัญคือการแสดงให้เห็นถึงท่าทางอันสง่างามของร่างกาย
หากไม่ให้เห็นใบหน้าก็สามารถใช้ผ้าพันคอปิดหน้าได้ ใส่หน้ากากก็ได้ หรือจะใช้ดอกไม้เข้ามาช่วย
เรื่องของความสง่างามนั้นมีเยอะมาก ทั้งท่านั่ง ท่ายืน ท่านอน…
เมื่อเทียบกับซูโย่วอี๋ที่กำลังคิดวิเคราะห์แล้ว เห็นได้ชัดเจนว่าสุนัขจิ้งจอกดูสบาย ๆ เป็นอย่างมาก
[ท่าทางคือการเคลื่อนไหวจากภายนอก ด้วยท่าทางของคุณในตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรเลย ถ้าคุณอยากจะดูไม่สวย ก็ต้องทำให้น่าเกลียดไปเลย]
“ดูนายพูดเข้าสิ คิดว่าฉันจะได้ขึ้นปกอย่างง่าย ๆ งั้นเหรอ?”
[ก็ไม่หรอก ยังไงซะก็ยังมีเรื่องของการแสดงอารมผ่านเลนส์กล้องอีก]
[ตอนนี้พวกเรามุ่งจุดสำคัญไปที่ฉากและอารมณ์ คุณถ่ายไปก่อนสักสองรูปก็ได้ ค่อย ๆ ปรับอารมณ์ไป]
[ระบบจะจับคู่ฉากที่เหมาะสมที่สุดโดยอัตโนมัติตามท่าทางของคุณ]