ตอนที่ 404 ดูพฤติกรรมอันหลากหลายของสรรพชีวิต

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 404 ดูพฤติกรรมอันหลากหลายของสรรพชีวิต

งานทำบุญให้ทานของอารามชิงผิง ได้มีการติดประกาศวันที่ไปแล้วเรียบร้อย กระจายผ่านกลุ่มผู้มีจิตศรัทธาออกไป ดังนั้นบริเวณด้านล่างเขาในตอนเช้าจึงมีคนยากคนจนและขอทานที่สวมใส่เสื้อผ้าขาดๆ บางๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ระทมมาเป็นจำนวนไม่น้อย

แน่นอนอยู่แล้วว่าธรรมชาตินิสัยของมนุษย์นั้นเห็นแก่ตัว มีบางคนที่ชอบเอาเปรียบเล็กๆ น้อยๆ แอบแฝงตัวมาเป็นหนึ่งในนั้น เมื่อถึงเวลาก็มองหาโอกาสในช่วงชุลมุนเพื่อจับปลาในน้ำขุ่น

ปีนี้ฉินหลิวซีได้บอกกับอวี๋ชิวไฉไปล่วงหน้าแล้ว ว่าเชิญทหารรักษาเมืองบางส่วนมาช่วยรักษาความเป็นระเบียบในสถานที่จัดงาน เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มคนยากไร้ที่มารับอาหาร รุมทะลักเข้ามาจนทำให้เกิดอุบัติเหตุเหยียบกันขึ้น

ยามเฉิน[1]สองเค่อ เสียงระฆังของอารามชิงผิงดังขึ้น ด้านล่างเขามีคนเริ่มให้กลุ่มคนยากไร้และขอทานตั้งแถวกันแล้ว ส่วนฝั่งบนเขานักพรตและผู้มีจิตศรัทธาก็ต่างเดินเป็นแถวยาวเหยียด กำลังยกโจ๊ก น้ำแกง และหมั่นโถวลงจากเขา

เมื่อเห็นเช่นนี้ ผู้คนยากไร้ที่กำลังรออยู่ก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมา ในพวกเขามีบางคนที่หิวโซมานานมากแล้ว รอท่ามกลางอากาศหนาวนานเพียงนี้ ทั้งหนาวทั้งหิวอยู่ตั้งนาน เด็กเล็กๆ ที่อายุยังน้อย ยิ่งร้องไห้ขึ้นมา และถูกเสียงที่อบอุ่นของคนรอบข้างคอยปลอบโยน

ผู้ยากไร้ที่เข้าแถวอยู่ถูกแบ่งออกเป็นหลายแถว นักพรตและผู้มีจิตศรัทธาที่วางของเสร็จเรียบร้อย ก็เริ่มแจกจ่ายหมั่นโถวและโจ๊กเลยทันที โดยไม่รีรอ

มีบางคนที่นำภาชนะใส่โจ๊กมา ซึ่งเก่าจนถึงขนาดกับใช้หม้อดินที่แตกเสียหาย เมื่อเห็นว่าเริ่มแล้ว ก็เริ่มผลักคนข้างหน้าทะลักเข้ามา บางคนที่ถูกผลักก็เลยพูดจาด่าทอขึ้น

“ไม่ต้องเบียด ผู้ใดเบียดจะถีบให้ออกจากแถวไปและไม่แจกให้” ทหารรักษาเมืองที่พกกระบองแท่งยาวตะโกนขึ้นเสียงดัง “หากเบียดเข้ามาแล้ว ทุกคนก็จะไม่ได้รับอาหารบริจาค ”

ด้วยเสียงตะโกนนี้ ก็ทำให้ผู้คนที่อยู่ในแถวพลันหยุดเบียดดันกันทันที

เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่อยู่ด้านหน้าสุดจึงได้รับโจ๊กสมุนไพรหนึ่งกระบวยใหญ่อีกทั้งหมั่นโถวแป้งหยาบไปก่อนหนึ่งชิ้น

โจ๊กนั้นก็เป็นโจ๊กธัญพืช เพิ่มความอุ่นท้องด้วยการเพิ่มเมล็ดข้าวฟ่างและยาสมุนไพรบางชนิดลงไปตุ๋นจนกลายเป็นโจ๊กสมุนไพร จะทำให้รู้สึกอิ่มท้องกว่าโจ๊กที่เป็นข้าว

หากเป็นฉินหลิวซี การให้ทานของอารามเต๋า อย่าสนใจว่ามันจะดูดีหรือไม่ดูดี ที่สำคัญที่สุดคือความอิ่มท้อง และให้ผู้คนได้เข้าถึงอาหารได้มากยิ่งขึ้น ดังนั้นวัตถุดิบในการทำอาหารจึงเป็นแป้งหยาบและธัญพืช ซึ่งมีราคาถูกกว่าเพื่อเพิ่มปริมาณของวัตถุดิบให้มีมากขึ้น

บางคนก็หยิบโจ๊กสมุนไพรและหมั่นโถว นั่งยองๆ ลงกับพื้น และกินมันลงไปอย่างตะกละตะกลาม

บางคนที่รับมาแล้วก็เพียงแค่ชิมคำเล็กๆ จากนั้นก็เก็บหมั่นโถวเข้าไปในหน้าอก และรีบวิ่งจากไป บางทีอาจจะนำอาหารไปให้กับคนที่สำคัญกว่ากิน

“ปีนี้โจ๊กเข้มข้นกว่าปีที่แล้ว อร่อยมากจริงๆ หมั่นโถวก็ลูกใหญ่ขึ้นด้วย” บางคนเอ่ยขึ้นด้วยความชื่นชอบ

“ใช่ๆ กินลงไปหนึ่งคำก็รู้สึกอุ่นขึ้นมาเลย”

“รีบกินเข้า อีกเดี๋ยวข้ายังต้องดื่มน้ำขิงอีก ได้ยินมาว่าในน้ำขิงนั้นก็ได้ใส่สมุนไพรลงไปด้วย”

“อารามชิงผิงจะต้องมีผู้มาแสวงบุญมากแน่ๆ ถึงได้จัดงานใหญ่ขนาดนี้”

“งั้นข้าหวังว่าท่านปรมาจารย์จะปกป้องรักษา ให้อารามเจริญรุ่งเรืองเช่นนี้ตลอดไป เฟื่องฟูที่สุดในใต้หล้า พวกเราจะได้มีอาหารดีๆ ตลอดไป”

“แต่ข้ายังหวังว่าท่านปรมาจารย์จะปกป้องคุ้มครองข้า ให้สามารถหาเงินได้ค่าแรงเยอะๆ ปีหน้าข้าจะได้ไม่ต้องมารับอาหารอีก”

มีคนได้ยินคำพูดนี้ ความเร็วในการกลืนก็พลันช้าลง คำพูดนี้ช่างมีเหตุผล อาศัยการให้ทานจากคนอื่นจะอยู่ได้นานสักแค่ไหนกัน พึ่งพาภูเขาภูเขาก็อาจถล่ม คนเราต้องพึ่งพาตัวเองอยู่เสมอ

ถ้าหากหาเงินทองมาได้มากพอ ก็จะไม่ต้องมารับอาหารแล้ว

“รีบกินเถอะ กินเสร็จข้าจะขึ้นไปคำนับองค์ท่านปรมาจารย์”

“รอข้าด้วย”

ไม่รู้ว่าฉินหลิวซีพาลูกศิษย์น้อยทั้งสองลงจากเขาไปตั้งแต่เมื่อไร เมื่อได้ยินคำพูดนี้จากไกลๆ ก็เดินจากไป ย้ายไปอีกฝั่งหนึ่ง

“บอกว่าเป็นการให้ทาน แค่โจ๊กชามเดียว หมั่นโถวก็แค่ชิ้นเดียวยังไม่พอติดฟันของข้าเลย ใจไม่กว้างเลยสักนิด” ชายปากแหลมแก้มตอบ หัวแหลมหน้าผากกว้าง หน้าตาอัปลักษณ์ เขาพูดแขวะขึ้นด้วยความรังเกียจ

“ใช่ แป้งก็หยาบ ไม่สบายท้องเอามากๆ พวกขุนนางคนร่ำรวยในเมืองเขาใช้แป้งละเอียดกันทั้งนั้น

อีกคนก็คล้อยตามไปด้วย ทว่าความเร็วในการกลืนลงไปของเขากลับไม่ได้ช้าลงเลยแม้แต่นิดเดียว

วั่งชวนที่ได้ยินแล้วพลันรู้สึกโกรธจนกำหมัดขึ้น หากไม่ใช่เพราะฉินหลิวซีดึงนางไว้ คาดว่านางคงได้เข้าไปโต้เถียงแล้ว

เถิงเจากวาดตามองทั้งสองคนอย่างเย็นชา

“ถือชามขึ้นมาแล้วก็กินซะ ถ้าวางชามลงแล้วจะมาด่ากราด พวกเจ้าช่างน่ารังเกียจ แล้วทำไมไม่ไปรอรับโจ๊กที่พวกคนรวยกับขุนนางมาแจกให้กันเล่า การที่มาถึงที่นี่เพื่อแย่งชิงอาหารหยาบๆ ของพวกเรา น่าจะทำให้บรรพบุรุษของพวกเจ้าสองคนลำบากมาก”

ไม่ไกลนัก ชายใบหน้าไร้ความเกรงกลัว สวมชุดขาดๆ มีรอยปะถือชามแตกๆ หนึ่งชาม มืออีกข้างหยิบหมั่นโถวจ้องมองและต่อว่าทั้งสองคน

“เจ้าด่าเหน็บแนมผู้ใด ข้าได้ไปขอข้าวบ้านเจ้ากินงั้นเหรอ”

“ก็ด่าพวกเจ้าที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ไอ้ลูกวัวอ่อนไร้จิตสำนึก ทำไมหรือ หรืออยากจะทะเลาะ” สายตาของชายผู้นั้นดุดัน และเอ่ยขึ้นด้วยเสียงดัง “อารามชิงผิงทำบุญด้วยการให้ทานทุกๆ ปี มีปีใดที่ไม่ใช่โจ๊กธัญพืชบ้าง อิ่มท้องกว่าพวกข้าวขัดสีตั้งเยอะ ซ้ำปีนี้ยังใส่ยาสมุนไพรไปก็ไม่ใช่น้อย ดื่มลงไปแค่ถ้วยเดียวก็รู้สึกอบอุ่นไปทั้งร่างกาย พวกเจ้ายังไม่ชอบอีกเหรอ”

“ใช่ ขนาดนี้ของกินยังอุดปากพวกเจ้าไว้ไม่ได้ เก่งขนาดนี้ทำไมไม่ไปสวรรค์เลยเล่า”

“ใช่ เป็นมนุษย์ย่อมไม่นิยมทำเช่นนี้ ไม่รู้จักคุณคน ไร้ความดีในตน”

“กลัวว่าท่านปรมาจารย์คงกำลังอดกลั้นที่จะฟาดสายฟ้าผ่าลงตรงร่างของพวกเขาอยู่”

เมื่อทั้งสองคนเห็นว่ามีคนเขามาในแถวเพื่อตำหนิพวกเขามากขึ้น ด่าสาปแช่งอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาจึงได้วิ่งหนีออกไปด้วยความอับอายสิ้นหวัง

“เห็นหรือยัง ว่าคุณธรรมอยู่ในใจคนเราอยู่แล้ว” ฉินหลิวซียิ้มและเอ่ยขึ้นกับลูกศิษย์ทั้งสองหนึ่งประโยค

วั่งชวนกระซิบขึ้น “ข้านึกว่าอาจารย์จะสั่งสวนพวกเขาเสียอีก”

“ความสามารถในการเรียนรู้ก็คือการทำให้ตนเองดีขึ้น และแข็งแกร่งขึ้น การที่มีทักษะอยู่กับตัว ไม่ใช่เพื่อใช้ความเก่งรังแกคนที่อ่อนแอกว่า เช่นนั้น หากอีกฝ่ายพูดไม่คิด แล้วไปสั่งสอนพวกเขา ก็อาจจะเป็นการให้เกียรติพวกเขามากเกินไป และจบไปเท่านั้น” ฉินหลิวซีเอ่ย “สิ่งที่เรียกว่าหุบเขาแห่งความโลภนั้นถมเท่าใดก็ไม่เต็ม เช่นเมื่อครู่นั้นน่ะก็เป็นธรรมชาติของนิสัยมนุษย์ ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้สึกขอบคุณเช่นเดียวกับคนที่เราเพิ่งได้ยิน บางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องทุกสรรพชีวิตนี้ ไม่ใช่ทุกคนจะรู้สึกสำนึกในบุญคุณเหมือนกับไม่กี่คนนั้นที่เราเพิ่งได้ยินมา แน่นอนว่านอกเหนือจากนี้ยังมีอีกหลายคนที่ยังจู้จี้และโลภอยู่มาก”

“แม้ว่าจะฟังดูไม่สบายใจ แต่ว่าการทำบุญให้ทาน ไม่ใช่เพราะว่าต้องการชื่อเสียงที่ดีถึงได้ทำบุญ แต่เป็นเพราะว่าต้องการที่จะช่วยเหลือคนที่เขาต้องการจริงๆ ไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยถึงส่วนได้ส่วนเสีย นี่ถึงเป็นเจตนาที่แท้จริงของการทำบุญ พูดถึงสองคนนั้น พวกเจ้าดูจากหน้าตาของพวกเขาแล้วดูเหมือนคนจิตใจดีเสียที่ไหนกัน ล้วนเป็นพวกไร้ยางอายเอาเปรียบไร้ความรับผิดชอบ คนเช่นนี้ มีสักกี่คนกันที่จะมีจุดจบที่ดี และพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องให้แปดเปื้อนมือของเราด้วย ด้วยนิสัยเช่นนั้นของพวกเขา ไม่ช้าหรือเร็วก็คงจะได้พบกับความโชคร้าย”

เมื่อทั้งสองคนนึกถึงหน้าตาของคนเมื่อครู่นั้น ก็ทำท่าทางเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

ฉินหลิวซีลูบไปที่หัวของทั้งสองคนพร้อมกับเอ่ย “กฎแห่งกรรมก็เป็นเช่นนั้น และกฎแห่งกรรมนั้นยุติธรรมเสมอ มนุษย์ทำอะไร สวรรค์เฝ้ามองดูอยู่ มันย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ”

วั่งชวนถามขึ้นด้วยความไร้เดียงสา “แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าจู่ๆ มันไม่รู้อะไรเลยล่ะเจ้าคะ”

ฉินหลิวซีตอบกลับโดยไม่ต้องคิด “อย่างนั้นมันก็กำลังคงหลับอยู่”

“กฎแห่งกรรมก็หลับได้ด้วยหรือเจ้าคะ”

“มิเช่นนั้นไยสวรรค์จึงไม่ลืมตาเอ่ยเล่า”

“ที่อาจารย์เอ่ยมาฟังมีเหตุผล”

เถิงเจา “…”

คนหนึ่งกล้าถาม อีกคนก็กล้าตอบ

เขาเงยหน้าขึ้นมองไปบนฟ้า ท้องฟ้ามีเมฆครึ้มรวมตัวกันอยู่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นน้ำจากการที่หิมะละลายหรือว่าเสียงฟ้าร้องเพราะเมฆฝน

“เอามาให้ข้า เป็นเด็กจะมากินหมั่นโถวอะไรกัน กำเริบนัก”

“สามี เอาหมั่นโถวคืนมาให้ข้าเถิด นานนานหิวจนแทบทนไม่ไหวแล้ว”

“ชีวิตต้อยต่ำของนางตายไปเสียได้ก็ดี ไม่ได้มีค่าอะไร จะตายก็ตายไปเถิด”

หลายคนมองไป ชายสวมชุดเก่าๆ ในมือของเขาถือหมั่นโถวและกำลังยัดเข้าไปในปาก โดยที่ขาไม่ลืมที่จะถีบไปที่หัวมันๆ และใบหน้าสกปรกของหญิงนางนั้น

ฉินหลิวซีใบหน้าเย็นชา เดินสาวเท้ายาวๆ เข้าไป ใช้มือที่ประณีตละเอียดอ่อน บีบเข้าที่แขนของชายผู้นั้นแล้วโยนเขาออกไป เขาล้มลงบนพื้น

[1]ยามเฉิน 7-9 โมงเช้า