ภาค 3 บทที่ 5

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

บทที่ 5 ท่านย่าของนาง
โดย
Ink Stone_Romance
ปีที่สามรัชสมัยต้าคัง วังหลวงบูรณะใหม่ครั้งหนึ่ง เหลืองทองอร่าม

คุณหนูจวินเงยหน้ามองวังด้านหน้า เส้นทางยังคงคุ้นเคยนัก ผ่านประตูอู่เหมินแล้วเดินไปทางขวา

คนที่ประตูวังก็มากนัก แม่สามีลูกสะใภ้ครอบครัวหนึ่งอยู่ด้วยกัน ครอบครัวมิตรสหายที่สนิทกันก็ทักทายกัน พูดคุยเล่นกันครึกครื้น คุณหนูจวินผู้ไม่ได้สวมชุดบรรดาศักดิ์ เดินเดียวดายอยู่ด้านในดูแล้วขัดตาเป็นพิเศษ

แม้สายตาที่มองมามากนัก แต่บรรดาหญิงสูงศักดิ์เหล่านี้รักษาเกียรติฐานะตนไม่ได้ชี้มือชี้ไม้

คุณหนูจวินก็ไม่ได้สนใจคนเหล่านี้ จากนั้นขบวนก็เดินเข้าไปข้างใน

มีคนข้างกายกระแอมทีหนึ่ง

คุณหนูจวินรั้งสายตามองไป จูจั้นไม่รู้เวลาใดเดินเข้ามา

เขาสวมชุดพิธีการของท่านชายมองทีหนึ่งจำไม่ได้อยู่บ้าง

“คนรอรับโทษอย่างท่านก็มาเข้าเฝ้าได้ด้วยหรือ?” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย

จูจั้นแค่นหัวเราะสองทีไม่ได้เอ่ยวาจาอีกก้าวยาวเดินเลยนางไป ด้านหลังร่างชายหนุ่มหลายคนคุยเล่นหัวเราะเฮฮาเดินผ่านร่างคุณหนูจวินไป เหมือนกับทุกคนเพียงแค่เดินผ่าน ไม่ได้พูดคุยกัน

นี่นับเป็นการทักทายครั้งหนึ่งไหม? แค่นหัวเราะสองที กระทั่งสวัสดีปีใหม่ก็ไม่พูด

คุณหนูจวินยิ้ม

ความครึกครื้นด้านนี้ถูกขุนนางสองด้านตำหนิห้ามปรามอย่างรวดเร็ว ด้านหน้าประตูวังเงียบลงอีกครั้ง ข้ามประตูอู่เหมินไป ผู้ชายผู้หญิงแยกกันเดินไปทิศทางที่ต่างกัน

“คุณหนูจวิน”

มีคนเอ่ยเรียก

คุณหนูจวินเงยหน้ามองไป เห็นท่านหญิงผู้เฒ่าติ้งหยวนโหวกวักมือมาทางนาง

คนที่รู้จักคุณหนูจวินไม่ใช่แค่แม่สามีลูกสะใภ้ติ้งหยวนโหว ยังมีท่านหญิงของปั๋วโหวสองคนก็ทักทายนางด้วย นี่ล้วนเป็นคนที่นางเคยผูกสัมพันธ์ด้วย บ้างเคยรักษาบ้างเคยมาซื้อยา

เมื่อสองครอบครัวนี้ทักทาย คุณหนูจวินเป็นใครก็แพร่กระจายไปทั่วแล้ว สายตาที่มองไปทางนางยิ่งมาก คนที่เดินผ่านก็มากขึ้นด้วย บ้างทักทาย บ้างก็มองประเมินอย่างใคร่รู้

“คนไม่รู้จักมากมาย ตื่นเต้นไหม?” ท่านหญิงติ้งหยวนโหวหัวเราะเบาๆ กับนาง

คุณหนูจวินยิ้มส่ายศีรษะ

ความจริง คนไม่รู้จักไม่ได้เยอะ จึงไม่ได้ตื่นเต้นอะไร

คุยเล่นกันไม่นานก็มาถึงที่ประทับของไทเฮาแล้ว

แต่พวกนางยังเข้าไปไม่ได้รอคอยอยู่นอกตำหนัก ไทเฮา ฮองเฮา ตอนนี้อยู่ที่ตำหนักหน้ารับสุราคารวะของขุนนางราชสำนักอยู่ หลังจากนั้นถึงกลับมารับคำอวยพรของบรรดาสนม ต่อด้วยบรรดาองค์หญิง หลังจากนั้นอีกถึงจะเป็นบรรดาท่านหญิงบรรดาศักด์ในนอกเหล่านี้เข้าตำหนัก

คุณหนูจวินมองไปทางที่ซึ่งบรรดาองค์หญิงด้านหน้าประทับอยู่

พวกท่านป้าที่อายุมากล้วนไม่อยู่แล้ว ที่เหลืออยู่ล้วนเป็นท่านน้าทั้งหลายรวมถึงน้องสาวหลายคน

ในนี้ย่อมไม่มีพี่สาว

ตั้งแต่หลังได้ยศเป็นกงจู่ย้ายไปวังไหวอ๋อง พวกนางพี่น้องก็ไม่ได้ออกมาเข้าร่วมถวายพระพรอีก

คุณหนูจวินหลุบสายตาลง ได้ยินเสียงคุยเล่นด้านหน้า

ความโศกเศร้าของพวกนางเป็นเพียงของพวกนางเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น

เหล่าสตรีเดินเรียงแถวตามลำดับยศเข้าไปในวังไทเฮาพร้อมกับเสียงดนตรี คุณหนูจวินย่อมยืนอยู่ข้างหลังสุด มองดูไทเฮาบนบัลลังค์ลึกที่สุดด้านในท้องพระโรงรวมถึงฮองเฮาข้างกายนาง

เพราะห่างไกลเกินไป รู้สึกมองไม่ชัดอยู่บ้าง

ฮองเฮาเพราะอยู่ที่ซานตงตลอด หลังฉีอ๋องขึ้นครองราชย์ถึงกลับมายังเมืองหลวง ดังนั้นแทบไม่เคยพูดคุย ไม่คุ้นเคย แต่ไทเฮาไม่เหมือนกัน

ตั้งแต่เล็กนางก็เติบโตขึ้นมาข้างกายไทเฮา

ไทเฮาหลิ่วซื่อปีนี้ห้าสิบหกพรรษาแล้ว ไม่ใช่พระอัยยิกาแท้ๆ

พระบิดาเป็นอดีตฮองเฮาอู่ซื่อประสูติ เพราะประสูติยากรักษาชีวิตองค์รัชทายาทมาได้ แต่ฮองเฮาอู่เองกลับไม่รอด แล้วก็เพราะเหตุนี้ องค์รัชทายาทจึงร่างกายเสียหายไม่ดีมาตลอด

ตอนนั้นไม่มีใครกล้ารับประกันว่าจะเลี้ยงองค์รัชทายาทให้รอดได้ บรรดาสนมนางในก็หลีกเลี่ยงแทบไม่ทัน มีแต่กลัวว่าจะถูกหางเลข หลิ่วซื่อตอนนั้นเป็นเพียงแค่เจาอี๋คนหนึ่ง[1] นิสัยอ่อนโยนใสซื่อทำตัวเงียบๆ มาตลอด แต่เวลานี้กลับเป็นฝ่ายขอดูแลองค์รัชทายาทเอง

นี่ไม่ใช่โอกาสดีอะไร บางทีเพราะเรื่องนี้อาจได้รับความโปรดปราณขององค์ฮ่องเต้บ้าง แต่เลี้ยงองค์รัชทายาทให้รอดใช้แรงใจใช้แรงกาย เลี้ยงไม่ดีปุบก็มีแต่ตายสถานเดียว

นี่เสี่ยงอันตรายเกินไปแล้ว

แต่หลิ่วเจาอี๋ทำสำเร็จแล้ว องค์รัชทายาทเลี้ยงรอดแล้ว นอกจากนี้สามปีให้หลังนางยังให้กำเนิดองค์ชายคนหนึ่งด้วย หลังจากนั้นห้าปีก็ได้รับแต่งตั้งเป็นฮองเฮา

คนมากมายอิจฉาโชคดีของหลิ่วเจาอี๋ แล้วก็มีคนลอบพูดกันว่าจิตใจเจ้าเล่ห์ร้ายกาจมากเพียงไร แต่พระบิดากลับตรัสว่าฮองเฮาหลิ่วดีกับเขาจริงๆ

ตอนยังเล็กเขาซุกซนไม่อยากเรียนหนังสือ ถูกฮองเฮาหลิ่วลงโทษคุกเข่าตีมือ เด็กคนอื่นก็ช่างเถิด วรกายขององค์รัชทายาทไม่ดีมาตลอด ไหนเลยกล้าลงโทษรุนแรงเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็มาพูดขอให้ ฮองเฮาหลิ่วก็ยังไม่อนุญาต พระบิดาสุดท้ายก็ถูกลงโทษครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นก็ไม่กล้าซุกซนเกียจคร้านอีก แล้วก็ยิ่งเคารพฮองเฮาหลิ่วด้วย

มีเพียงนับองค์รัชทายาทเป็นองค์รัชทายาทด้วยน้ำใสใจจริง รวมถึงมองเป็นบุตรของตนเองเท่านั้น ถึงจะเคร่งครัดเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่ตนเองมีบุตรชายแล้ว ตามความคิดของคนจำนวนหนึ่งคงอดรนทนไม่ได้ให้องค์รัชทายาทคนนี้เสียคนไปซะ

ทุกคนล้วนพูดว่าฮองเฉาผู้นี้เคร่งครัดมาก แต่คุณหนูจวินไม่มีความรู้สึกนี้ ตั้งแต่เล็กนางมักจะมาเล่นในวังของฮองเฮาหลิ่ว ฮองเฮาหลิ่วยังเคยย่างเนื้อกวางให้นางทานด้วยพระองค์เอง ยังอนุญาตให้นางนอนคว่ำอยู่บนเตียงกินเม็ดแตง ไม่เหมือนพระมารดากับพี่สาวที่มักจะคอยคุมนางเสมออย่างนั้น

ตอนนั้นนางออกจากวังหลวง ฮองเฮาหลิ่วอาลัยอาวรณ์ยิ่งนัก แต่ก็ถอนหายใจเอ่ยชมนางว่าเป็นเด็กดีคนหนึ่ง ทุกครั้งปีใหม่กลับมา นางล้วนต้องมาพักในวังของฮองเฮาหลิ่วหนึ่งคืน ทานขนมของกินที่ฮองเฮาหลิ่วจงใจเก็บไว้ให้นาง

ก่อนหน้านี้ในวังไม่รู้สึกอย่างไร ภายหลังติดตามอาจารย์เดินทางข้างนอกเห็นมากขึ้นมากแล้ว นางถึงรู้ว่าความสัมพันธ์เช่นนี้ก็คือความรักย่าหลานอย่างนั้นของชาวบ้าน

นางแต่ไหนแต่ไรก็ถือว่านางเป็นท่านย่าแท้ๆ

ไม่รู้ว่าตอนฮองเฮาหลิ่วได้รู้ว่าพระบิดาตายรู้สึกอย่างไร บางทีทั้งหมดนี้อาจสมปรารถนานาง ถ้าอย่างนั้นที่แท้นางเคยมีความรู้สึกกับพระบิดากับครอบครัวของตนเองไหม? เลี้ยงแมวหมาตัวหนึ่งยังมีความรู้สึก นับประสาอะไรกับเป็นคนเล่า

บางทีก็คงเพราะเป็นคนล่ะมั้ง คนมักจะไร้หัวใจกับคนมากกว่าอยู่บ้าง

มีนางกำนัลยกจอกสุรามา คุณหนูจวินรับไป ยกจอกสุราค้อมกายคำนับหนึ่งครั้ง อีกครั้ง ครั้งที่สาม ตามเสียงร้องขานของพนักงานพิธีการ

ในโถงตำหนักเสียงอวยพรดังขึ้นพร้อมเพรียง เสียงกล่องดนตรีขับขานประสานบรรยากาศพิธีการในตำหนักจบลงก็รื่นเริงผ่อนคลายขึ้นมาก แรกสุดเป็นเหล่าองค์หญิงเข้าไปล้อมไทเฮาเสียงอ่อนเสียงหวานร้องเรียกพระอัยยิกาจะเอาซองแดง ไทเฮาก็ยิ้มหยิบซองแดงออกมาให้พวกนางจริงๆ ดึงให้เหล่าท่านหญิงบรรดาศักดิ์ในนอกรวมวงสนุกด้วย

คุณหนูจวินยืนอยู่สุดท้ายแถวด้านในตำหนัก ร่วมหัวเราะไปกับคนด้านข้าง

ขันทีคนหนึ่งเข้าไปใกล้ไทเฮาเอ่ยข้างหูหลายประโยค ไทเฮาเหมือนจะคิดถึงอะไรขึ้นมา สายตามองมาทางด้านในโถง

เสียงคุยเล่นหัวเราะหยุดลงทันที ในตำหนักกลับมาเงียบสงบ

“คุณหนูจวินหมอเทวดาผู้นั้นเล่า” เสียงสุขุมของไทเฮาดังขึ้น

สายตาในตำหนักมองสะเปะสะปะขึ้นมาทันที คุณหนูจวินหลุบสายตาก้าวออกมาหลายก้าว ยืนอยู่ตรงกลาง คุกเข่าลงโขกศีรษะคำนับให้ไทเฮา

“หม่อมฉันเองเพคะ” นางเอ่ย

สายตาทั้งหมดล้วนจับอยู่บนร่างของนาง

“ลุกขึ้นเถอะ” เสียงไทเฮาลอยมาจากไกลๆ “เข้ามาให้ข้าดูหน่อยสิ”

คุณหนูจวินขานรับ โขกศีรษะอีกครั้งถึงลุกขึ้นยืน กุมมือหลุบตาลงน้อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้า สองข้างสายตานับไม่ถ้วนจับจ้องบนร่างของนาง มองดูผมเผ้าเครื่องประดับของนาง มองดูหน้าตาของนาง มองดูท่วงท่าการก้าวเดินของนาง

ระยะห่างจากสุดประตูตำหนักไปถึงเบื้องหน้าบัลลังค์ไทเฮา สำหรับท่านหญิงบรรดาศักดิ์ในนอกจำนวนมากแล้วรู้สึกว่าไกลนัก พวกนางถึงขนาดแค่คิดว่าต้องเดินเข้าไปต่อหน้าสายตาของผู้คนเช่นนี้ก็รู้สึกหายใจไม่ออกแล้ว

แต่เด็กสาวอายุสิบห้าสิบหกปีคนนี้กลับเดินได้มั่นคง ใบหน้าไม่เพียงไม่มีความอึดอัดสำนิด ตรงกันข้ามยิ่งดูผ่อนคลาย

นางยืนสงบอยู่เบื้องหน้าไทเฮาห่างไปหลายก้าว ท่วงท่าสง่าผ่าเผยและงดงาม ราวกับเคยทำเช่นนี้มาหลายครั้งนัก

นางเงยหหน้ามองไปทางไทเฮา ไทเฮาก็มองไปทางนางเช่นกัน

ไทเฮาสวมชุดพิธีการของราชสำนัก ยิ่งแลดูสง่าน่าเคารพ

นางไม่ได้เห็นไทเฮามานานแล้ว ตั้งแต่พระบิดาจากโลกไปพวกนางพี่น้องก็เข้าไปในวังไหวอ๋อง กระทั่งตอนแต่งงาน ไทเฮาก็ไม่ได้พบนางเช่นกัน เหมือนกับคนทั้งคนฉับพลันหลุดออกไปจากชีวิตของพวกนาง

สิ่งของสิ่งหนึ่งบอกว่าทิ้งก็ทิ้ง ความรู้สึกที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ได้สินะ

คุณหนูจวินหลุบตาย่อเข่าคำนับ

“เป็นท่าทางของหมอเทวดาจริงๆ” เสียงของไทเฮาลอยลงมา “ได้ยินว่ากฎการรักษาของเจ้าใหญ่มาก ถ้าอย่างนั้นเจ้าลองดูสิข้า มีลางร้ายหรือไม่?”

คำพูดนี้ไม่เกรงใจอยู่บ้างนะ

กฎของเจ้าใหญ่ ใหญ่ได้มากเท่าใด ใหญ่กว่าสายเลือดสวรรค์ราชวงศ์ของฮ่องเต้ไหม?

หากไม่ใหญ่ กฎการรักษาที่วางไว้ที่พูดมาก็เพียงแค่มองคนเลือกวางจาน ดูแคลนคนสูงศักดิ์ยศอ๋องยศกงเหล่านี้หรือ?

อีกอย่างเจ้าจะรักษาให้ไทเฮาหรือไม่เล่า?

บอกว่าไทเฮาไม่มีโรคย่อมไม่เป็นความจริง อย่างไรคนอายุมาก มากน้อยใครก็ต้องมีไม่สบายบ้างทั้งนั้น

แต่หากบอกว่ามีโรค ปีใหม่เช่นนี้จะพูดกับไทเฮาคำหนึ่งว่าท่านมีลางร้ายจริงๆ หรือ?

บรรยากาศในโถงตำหนักหยุดนิ่งไปอยู่บ้างยิ่งเงียบสงัด

……………………………………….

[1] เจาอี๋ (昭仪) ชื่อยศสนม เป็นหนึ่งในสนมชั้นผิน(嫔)เก้าคน