ตอนที่ 250 สู่ขอและแต่งงาน

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 250 สู่ขอและแต่งงาน

เผิงหยูเหยี่ยนนิ่งไปชั่วขณะ “ท่านพ่อขอรับ ท่านพูดเหลวไหลอันใด ? ข้าจะไปชอบว่าที่ภรรยาของศิษย์น้องเจียงได้อย่างไร เขาหมั้นหมายไปแล้วนะขอรับ ! ”

“ก็ใช่น่ะสิ ! ตาเฒ่า เจ้าจะร้อนใจไปไย ฟังลูกพูดให้จบก่อน…” นางเผิงถลึงตาใส่สามีจนแทบถลนออกมา จากนั้นก็เอ่ยกับบุตรชายด้วยท่าทีอ่อนโยนและนุ่มนวลว่า “ลูกแม่ เจ้าพูดต่อเถิด ! ”

นางกลัวความโง่เขลาของบุตรชายมาก กลัวว่าเขาจะโพล่งออกมาว่าไม่แต่งแล้ว !

เผิงหยูเหยี่ยนยิ้มอย่างโง่เขลา “คนที่ข้าชอบคือพี่สาว…ของว่าที่ภรรยาศิษย์น้องเจียงต่างหากขอรับ ! นางเป็นหญิงสาวที่มีความสามารถและมีจิตใจงดงามมากผู้หนึ่ง ! ” ที่สำคัญคือทำอาหารเก่ง ! จึงได้รับการพิจารณาสูงมาก นอกจากนางก็ไม่มีใครอีกแล้ว !

“ได้ยินแล้วใช่หรือไม่ ? เป็นพี่สาวของว่าที่ภรรยา ! ให้ตายเถิดตาเฒ่า เหตุใดจึงได้ยินเป็นว่าที่ภรรยาที่หมั้นหมายไปแล้วเสียได้ ? ลูกชายของเราจะแย่งภรรยาของผู้อื่นได้อย่างไร ? ” นางเผิงแอบกังวลอยู่ลึก ๆ แต่สุดท้ายก็คลายความกังวลได้ครึ่งหนึ่ง

ที่ยังเหลืออีกครึ่งคือนางกังวลว่าบุตรชายผู้แสนโง่เขลาของตนจะชอบแค่รูปลักษณ์ภายนอกและโดนหลอกลวง นางเอียงหน้าไปถามอย่างระมัดระวังว่า “กู่เหนียงผู้นั้นคงจะงดงามมาก เช่นนั้นเจ้าไม่มีทางชอบนางแน่นอน ! ”

เผิงหยูเหยี่ยนก้มหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก พยายามไตร่ตรองว่ากู่เหนียงผู้นั้นมีหน้าตาอย่างไร ? เขาพยักหน้าอย่างลังเลก่อนจะกล่าวว่า “หน้าตาคง…พอใช้ได้กระมังขอรับ ? ”

ว่าอย่างไรนะ ? แม้แต่หน้าตาของนางก็ยังไม่เคยเห็น แล้วเหตุใดเจ้าอยากสู่ขอนางกันเล่า ? หรือว่า…บุตรชายผู้แสนโง่เขลาของตนไปย่ำยีศักดิ์ศรีของนาง ? เป็นไปไม่ได้ ! เจ้าหนอนหนังสือผู้นี้คงไม่พาตนไปข้องเกี่ยวกับเรื่องพรรค์นั้นหรอก !

นางเผิงครุ่นคิดอีกครั้ง น้องสาวของสตรีนางนั้นได้หมั้นหมายแล้ว แต่พี่สาวกลับยังโสด ? คงไม่ได้ทำสิ่งใดไม่เหมาะสมแล้ววางแผนจับเจ้าเด็กโง่ของเราใช่หรือไม่ ? นางเผิงอดคิดในแง่ร้ายไม่ได้

นางจึงถามอย่างละเอียด “ลูกแม่ กู่เหนียงผู้นั้นอายุเท่าไรหรือ ? ”

“มากกว่าว่าที่ภรรยาของศิษย์น้องเจียง 1 ปี…น่าจะประมาณ…15 ปีเห็นจะได้ขอรับ” เผิงหยูเหยี่ยนระดมสมองคิดอย่างหนักจึงได้ข้อสรุปออกมาเช่นนี้

“เพิ่งจะ 15 ปีเองหรือ ? ก็ไม่เลว ยังไม่ถือว่าโตเกินไป แต่เด็กสาวที่มีอายุเท่านี้ในหมู่บ้านล้วนหมั้นหมายกันหมดแล้ว เหตุใดนางยัง…”

“แล้ว…ครอบครัวของนางได้พูดสิ่งใดหรือไม่ เหตุใดไม่ยอมให้นางหมั้นหมายตั้งนานแล้ว ? ”

เผิงหยูเหยี่ยนมองไปทางมารดาอย่างไม่พอใจ หากนางหมั้นหมายแล้วบุตรชายของท่านจะทำอย่างไรเล่า ? เขาจึงเล่าในสิ่งที่ได้ยินมาจากฝ่ายตระกูลเจียงว่า “ในอดีตครอบครัวของนางยากจนข้นแค้นมาก ต้องแบกรับภาระอย่างหนัก มีครอบครัวอื่นมาสู่ขอไม่น้อย แต่คนเหล่านั้นล้วนมีหน้าตาที่น่าเกลียด…หญิงสาวที่แสนดีอย่างนาง ทางครอบครัวไม่มีทางยอมให้ไปตกระกำลำบากขอรับ ! ”

อ้อ ! เพราะเหตุผลนี้เอง ! บ้านยากจนก็ไม่เป็นไร ตระกูลเผิงมีฐานะที่มั่นคงย่อมไม่คิดเรียกร้องสินเดิมจากฝ่ายหญิง ต่อให้ครอบครัวต้องแบกรับภาระอย่างหนัก ขอแค่มีคุณสมบัติที่ดี ทำงานบ้านงานเรือนได้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่พวกตนจะยอมทุ่มทุนเพิ่มอีกสักหน่อย…

นางเผิงจึงถามเรื่องสมาชิกในตระกูลหลินอย่างละเอียด ‘มารดาของนางเป็นคนมีเหตุผลนิสัยอ่อนโยน น้องสาวและบัณฑิตเจียงหมั้นหมายกันแล้ว น้องชายคนโตกำลังศึกษาอยู่ในสำนักศึกษาเพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมสอบถงเซิง ส่วนน้องชายคนเล็กอยู่ในวัยกำลังน่ารัก ช่วยงานบ้านได้ดี… ’

นางเผิงพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ถึงขั้นชื่นชมบุตรชายไม่ขาดปาก “เอาล่ะ พรุ่งนี้แม่จะไปเตรียมสินสอดทองหมั้นแล้วเชิญแม่สื่อไปสู่ขอนาง ! ”

นางถามบุตรชายอีกว่าบัณฑิตเจียงเตรียมสินสอดทองหมั้นอย่างไรไปสู่ขอบุตรสาวคนรองตระกูลหลิน พี่น้องที่หมั้นหมายกันในเวลาไล่เลี่ยจะทำให้บุตรชายและว่าที่สะใภ้เสียหน้าไม่ได้เด็ดขาด !

ก่อนจะหารือเรื่องนี้ควรไปถามความเห็นของอีกฝ่ายให้ชัดเจนเสียก่อน นางเผิงดำเนินการอย่างรวดเร็ว วันรุ่งขึ้นคู่สามีภรรยาสูงวัยแทบรอไม่ไหวที่จะนำแม่สื่อไปที่ประตูบ้านตระกูลหลิน

บ้านหลังที่สองของหมู่บ้าน ไม่ผิดแน่ บ้านหลังนี้เอง ! นางเผิงรีบลงจากรถม้า จากนั้นก็มองเข้าไปในลานกว้างของตระกูลหลินจากด้านนอก ใหญ่โตยิ่งนัก มีเกวียนเทียมล่อคันหนึ่งจอดอยู่หน้าบ้านด้วยหรือ ? นี่คงเป็นเกวียนเทียมล่อที่ครอบครัวของนางซื้อไว้ ครอบครัวยากจนข้นแค้นที่ไหนกัน ? เจ้าเด็กโง่ของเราคงไม่ได้ถูกหลอกกระมัง ?

ตอนนี้เป็นเวลาพักผ่อนของพวกชาวไร่ชาวนาพอดี มีหญิงสองสามคนนั่งเย็บพื้นรองเท้าอยู่ใต้ต้นไม้เก่าแก่ของหมู่บ้าน เมื่อเห็นคู่สามีภรรยาที่สูงวัยจากตระกูลเผิงและรถม้าอยู่ด้านหลังของอีกฝ่ายจึงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “พวกเจ้ามาหาใครหรือ ? ”

“เรามาหานายหญิงตระกูลหลิน ! ” นางเผิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

ภรรยาของผู้ใหญ่บ้านใช้ปลายเข็มถู ๆ บนศีรษะที่เต็มไปด้วยผมขาว จากนั้นก็ใช้ปลายคางพยักพเยิดไปยังเกวียนเทียมล่อที่จอดอยู่พลางกล่าวว่า “ที่นั่นถูกแล้ว ! ” ทั่วทั้งหมู่บ้านฉือหลี่โกวมีเพียงครอบครัวแซ่หลินของนางหนูรองหลังเดียวเท่านั้น !

นางเผิงครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นก็ตัดสินใจถามว่า “ข้าได้ยินว่าตระกูลหลินนั้นยากจน เหตุใดจึงซื้อเกวียนเทียมล่อได้เล่า ? ”

ภรรยาของผู้ใหญ่บ้านมองด้วยความสงสัย ก่อนจะย้อนถาม “แล้วเจ้ามีความสัมพันธ์อันใดกับตระกูลหลิน ? เหตุใดจึงถามเช่นนี้ ? ”

นางเผิงฉีกยิ้มและโป้ปดไปว่า “เราเป็นญาติห่าง ๆ ได้ยินว่าพวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่และได้รับความลำบากเป็นอย่างยิ่งจึงอยากมาช่วยเหลือ ! ”

หญิงสาวที่มีหน้ากลมโตเท่าจานใบหนึ่งหัวเราะออกมาแล้วกล่าวว่า “ตระกูลหลินน่ะหรือลำบาก ? นั่นคือในอดีต ! หากเป็นครึ่งปีก่อนตระกูลหลินยากจนข้นแค้นถึงขั้นอดมื้อกินมื้อเลยทีเดียว ! แต่นั่นล้วนเป็นอดีต เพราะตอนนี้ตระกูลหลินมีฐานะมั่นคงที่สุดในหมู่บ้าน ! ”

หญิงสาวที่มีใบหน้าเรียวยาวอีกคนพยักหน้าคล้อยตาม “ใช่ ! มีผลไม้อบแห้งร้อยกว่าชั่ง ทั้งยังมีเนื้อแผ่นไปส่งในเขตเริ่นอันทุกวัน นอกจากนี้ยังมีเมล็ดสนปากอ้า คราวที่แล้วขายได้ตั้ง 20,000 ชั่ง มีลูกค้ามาทำการซื้อขายด้วยรถม้ากว่าสิบคัน ! ”

“แค่นั้นยังน้อยไปไม่ใช่หรือ ? คราวที่แล้วหลิวว่ายจื่อกลับมาหมู่บ้าน ข้าได้ยินที่เขาพูดกับมารดาว่าโกดังเก็บสินค้าสิบกว่าห้องตรงท่าเรือก็เป็นของตระกูลหลิน ! ”

“จริงหรือ ? ข้าได้ยินว่าค่าเช่าเพียงเดือนเดียวก็ปาไปตั้งร้อยกว่าตำลึง ! หึหึ ! ใครจะคิดว่าตระกูลหลินที่ยากจนในอดีตจะกลายเป็นเศรษฐีภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน…”

“ก็ไม่ใช่เพราะมีบุตรสาวที่ดีหรอกหรือ ? ”

“พอแล้ว พอ ! หยุดอวดรู้ได้แล้ว ข้าก็ให้กำเนิดบุตรสาวที่เก่งกาจเหมือนกัน ! ” ภรรยาผู้ใหญ่บ้านถลึงตาใส่หญิงสาวเหล่านั้น จากนั้นก็ชำเลืองตามองไปยังคู่สามีภรรยาตระกูลเผิงอีกรอบ หญิงสาวเหล่านั้นหุบปากลงทันที นางเผิงคิดจะถามบางอย่างแต่ไม่มีผู้ใดพูดกับนางอีก !

คนในหมู่บ้านฉือหลี่โกวพากันมาชุมนุมโดยไม่ได้นัดหมาย ต่อหน้าคนภายนอกแล้ว การพูดคุยต้องมีการเก็บไว้เป็นความลับอย่างน้อยสามส่วน ผู้ใหญ่บ้านกล่าวไว้ว่าตอนนี้มีพวกขี้อิจฉาจากนอกหมู่บ้านจำนวนมาก จะทำสิ่งใดต้องพึงระวังอย่าให้เสียเปรียบ !

เมื่อนายท่านเผิงเห็นว่าไม่สามารถถามสิ่งใดได้อีก เขาจึงลากนางเผิงตรงไปยังบ้านตระกูลหลินทันที แม่สื่อก็รีบตามทั้งสองไปอย่างกระชั้นชิด

เมื่อทั้งสามคนเดินจากไปแล้ว หญิงสาวเหล่านั้นก็เริ่มซุบซิบนินทาทันที

“พวกเจ้าเห็นหรือไม่ ? แม่สาวที่ประโคมเครื่องประทินโฉม ทัดดอกไม้ไว้บนใบหูผู้นั้น เห็นแล้วก็รู้ทันทีว่าเป็นแม่สื่อ ! นั่นมิได้มาสู่ขอบุตรสาวคนโตตระกูลหลินหรอกหรือ ? ”

“ไอหยา! บุตรสาวคนโตในตอนนี้ก็เนื้อหอมไม่เบา มีคนมาสู่ขอถึงหน้าบ้านไม่น้อย แต่ล้วนถูกนางหวงปฏิเสธจนหมด พี่สะใภ้ เจ้าคงไม่ได้ชอบบุตรสาวคนโตหรอกกระมัง ?

“ข้าชอบนาง ทว่าประเด็นคือเจ้าตัวจะชอบเด็กอัปลักษณ์ของเราด้วยหรือไม่ ! ” นางทอดถอนใจ “มีบัณฑิตเจียงเป็นต้นแบบ ถ้านางหวงชอบผู้อื่นคงจะแปลก ! ”

คู่สามีภรรยาตระกูลเผิงเคาะประตูบ้านตระกูลหลินซึ่งผู้ที่เดินออกมาเปิดประตูคือหลินเว่ยเว่ย เมื่อเห็นผู้อาวุโสแปลกหน้าท่าทางมีเมตตาทั้งสองคน จึงเอ่ยถามว่า “ทั้งสองท่านคือ…”

นางเผิงมองพิจารณาหลินเว่ยเว่ยตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า โอ้ ! เด็กสาวผู้นี้วัยประมาณ 15-16 ปี ผิวขาวเนียนราวกับไข่ไก่ที่แกะเปลือกออกแล้ว ดวงตาแฝงไปด้วยรอยยิ้มคู่หนึ่ง จมูกโด่งเป็นสัน…ช่างเป็นเด็กสาวที่ยากจะได้พบพาน !