บทที่ 123 ท่านแม่ช่างดียิ่ง!

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

โจวกุ้ยหลานรู้สึกอบอุ่นในใจ จมูกเริ่มฟุดฟิด คอก็ยิ่งเจ็บแล้ว

“ทำไมไม่ได้เรื่องเยี่ยงนี้นะ แค่กินยาก็ร้องไห้แล้วหรือ?” เหล่าไท่ไท่เหล่เห็นดวงตาโจวกุ้ยหลานแดงเรื่อ จมูกก็เริ่มฟุดฟิดเช่นกัน

“ยามันขมนี่นา!” โจวกุ้ยหลานฝืนแย้งออกมาหนึ่งคำ อย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้

เพียงแต่น้ำเสียงนั้นเริ่มสั่นเครือ

โดนโจวกุ้ยหลานย้อนเข้าให้แบบนี้ บรรยากาศตึงเครียดภายในห้องก่อนหน้านี้หายไปหมดแล้ว

ที่เข้ามาแทนที่คือการร่วมประสานเสียงหัวเราะกันยกใหญ่

โจวกุ้ยหลานยังไม่หายดี พูดกับพวกเขาแค่สองคำก็ง่วงอีกแล้ว สวีฉางหลินวางนางลงบนเตียงเตา เหล่าไท่ไท่ห่มผ้าให้นาง ทุกคนถึงวางใจ

พอนอนลงไป ถึงเที่ยงวันต่อมาถึงตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

ยามโจวกุ้ยหลานลืมตาขึ้น ก็รู้สึกมีสติมากขึ้นไม่น้อย

เหล่าไท่ไท่เห็นนางดีขึ้นไม่น้อย นางใช้ข้าวสารมาต้มข้าวต้มหม้อใหญ่ และหยิบชามกับช้อนน้ำแกงมาป้อนนาง

“ข้ากินเองได้” โจวกุ้ยหลานบอก ยื่นมือจะไปรับชามในมือเหล่าไท่ไท่มา

นางรู้สึกไม่เป็นอะไรแล้ว กินข้าวเองได้ นางไม่ชินกับการให้คนมาป้อนนางกินเลย

เหล่าไท่ไท่มองค้อนนาง พลางหยิบผ้ามาเช็ดมุมปากให้นาง “อีกครู่เดี๋ยวเจ้าทำหกบนเตียงเตา ยังต้องให้ข้ามาเช็ดล้างอีก ว่าง่ายนะ กินข้าวต้มชามนี้ให้หมด”

นางไม่ใช่เด็กสักหน่อย กินข้าวต้มแค่นี้ยังทำหกบนเตียงเตาอีก?

โจวกุ้ยหลานแอบคิดในใจ แต่เข้าใจดีว่าเหล่าไท่ไท่เป็นห่วงนาง เลยยอมให้เหล่าไท่ไท่ป้อนไป

รอนางกินเสร็จแล้ว เหล่าไท่ไท่เก็บชามไป และมานั่งข้างๆเป็นเพื่อนนาง

“เจ้าพักผ่อนให้มากๆ รอจนร่างกายหายดีแล้ว ข้าจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงอีก” เหล่าไท่ไท่บอก พอคิดถึงเหตุการณ์คืนนั้นแล้ว ใจสะท้านเยือกอีกผ่านมาหลายวันแล้ว ตอนนี้คิดย้อนไป นางยังกลัวอยู่เลย!

“ท่านแม่ บ้านของข้าเป็นอย่างไรบ้างแล้วล่ะ?” โจวกุ้ยหลานคิดถึงบ้านน้อยของตนหลังนั้น ทนไม่ไหวถามขึ้น

จากความทรงจำของนาง บ้านต้องมอดไหม้หมดแล้วแน่ แต่อย่างอื่นล่ะ อย่างเช่นไก่ที่นางเลี้ยงมาอย่างยากลำบาก และยังบ้านไม้อีก

“คิดอะไรเล่า รอดมาได้ก็ดีมากพอแล้ว!” เหล่าไท่ไท่มองค้อนนาง ไม่อยากให้นางมาคิดมากอะไรตอนนี้

โจวกุ้ยหลานก็เข้าใจความคิดของเหล่าไท่ไท่ แต่ตอนนี้นางว่างอยู่นี่นา อยากรู้ว่านางเสียหายอะไรไปมากมายแค่ไหน

“ข้าไม่เป็นไรแล้วนี่นา ท่านแม่บอกข้าหน่อยนะ ไก่และแพะของข้ายังอยู่หรือไม่?” โจวกุ้ยหลานพูดเสียงอ่อน อ้อนวอนให้เหล่าไท่ไท่บอกนาง

เหล่าไท่ไท่ทำเป็นไม่ได้ยิน และหยิบเข็มกับด้ายมาเย็บตะกร้า ไม่มองโจวกุ้ยหลานเลยสักนิด

“ท่านแม่ ถ้าท่านแม่ไม่บอกข้า เช่นนั้นข้าจะไปดูเองแล้วนะ!”

โจวกุ้ยหลานแหกปากร้อง

“เจ้าเป็นอย่างนี้จะไปยังไง? เอาล่ะ ข้าจะบอกเจ้าให้ บ้านที่เจ้าทำน่ะพังแล้ว คอกไก่และคอกแพะที่ใช้ไม้ล้อมไว้ข้างๆก็ไหม้หมดแล้ว ไก่เอยนกกระทาเอยพวกนั้น และก็แพะน่ะไม่เหลือแล้ว!”

เหล่าไท่ไท่ใจแข็ง บอกกับโจวกุ้ยหลานหมดเปลือก

เรื่องนี้ยังไงก็ปิดไม่อยู่ ในเมื่อตอนนี้นางอยากรู้เพียงนี้ ก็ไม่ปิดบังนางละ บอกกับโจวกุ้ยหลานไปหมดเลย

ไม่เหลือเลย!

โจวกุ้ยหลานรู้สึกปวดใจนัก

ไก่พวกนี้นางฟูมฟักเลี้ยงมา แพะนั่นอีก นางใช้เงินซื้อมา ทุกวันก็จะจูงออกไปกินหญ้า โดนเผาตายหมดแล้ว นี่มันเสียหายหลายแสนเลยนะ!

โจวกุ้ยหลานรู้สึกหายใจติดขัดขึ้นมา

นางจะต้องจับไอ้คนวางเพลิงมาสับเป็นหมื่นๆชิ้นให้ได้!

โจวกุ้ยหลานโกรธจนตาเบิกถลน ปวดหัวไปหมด

“ไอ้หยา นังเด็กบ้านี่ จะโกรธโขขนาดนี้ทำไม เจ้าโกรธขนาดนี้ ไก่และแพะพวกนั้นก็ไม่มีอยู่ดี บ้านเจ้าก็พังแล้ว เจ้าโกรธไปก็ไม่มีประโยชน์”เหล่าไท่ไท่วางเข็มกับด้ายในมือลง ปลอบโยนโจวกุ้ยหลาน

“นั่นเป็นน้ำพักน้ำแรงเลี้ยงมาจนโตของข้านะ เป็นเหมือนดุจลูกชายลูกสาวข้าเลย จะไม่ปวดใจได้รึ? อ๊า ให้ตายสิ! เจ้าคนวางเพลิงสมควรตายนัก! ข้าจะไปฟ้องกองปราบ จะให้มันติดคุก! ติดคุกจนตายเลย!”

ยิ่งพูด โจวกุ้ยหลานก็ยิ่งโกรธมากขึ้น

นี่เป็นน้ำพักน้ำแรงสองเดือนของนางเลยนะ ไม่เหลือเลย!

สีหน้าเหล่าไท่ไท่ทะมึนลง “เจ้าโกรธมีประโยชน์อะไร? ไม่รู้ว่าเป็นไอ้เลวคนไหนทำ! เจ้ารีบไปปลอบฉางหลินเถอะ ให้เขาไปแจ้งที่กองปราบ ไปจับไอ้เลวนั่น!”

“ฉางหลินไม่แจ้งความรึ?” โจวกุ้ยหลานจับประเด็นสำคัญ และถามเหล่าไท่ไท่

“ใช่ไง บอกว่าไม่อยากไปแจ้งความ เฮ้อ เขาก็มีความคิดเป็นของตัวเอง ข้าก็ไม่ได้พูดอะไรมาก แต่เรื่องนี้ข้าไม่อาจปล่อยไปแบบนี้ได้ ต้องคิดหาทางจับตัวไอ้เลวนั่นออกมา!”

พอพูดถึงเรื่องนี้ เหล่าไท่ไท่ก็โกรธจัด

ถึงจะบอกว่า นางพอใจในตัวฉางหลินลูกเขยคนนี้ แต่ครั้งนี้ลูกสาวนางเกือบตาย เขากลับไม่ยอมไปแจ้งความ!

โจวกุ้ยหลานกลับครุ่นคิดในหัว

สวีฉางหลินไม่ใช่คนหงออ่อนแอ เขาต้องเก็บกักความโกรธไว้แน่

แต่ทำไมไม่แจ้งความล่ะ? มีเบื้องลึกอะไรหรือเปล่า?

พอคิดถึงตรงนี้ โจวกุ้ยหลานก็ไม่คิดจะพูดเรื่องนี้กับเหล่าไท่ไท่ต่อ เลยเปลี่ยนเรื่องว่า “ไก่เหล่านั้นและแพะที่ตายเล่า?”

“ลุงใหญ่เจ้าพาลูกผู้พี่ชายสองคนของเจ้าไปช่วยเจ้าจัดการแล้ว ที่กินได้ก็เอามาหมดแล้ว แบ่งให้แต่ละบ้านไปละ ครั้งนี้บ้านเจ้าไฟไหม้ พวกเขาคนไม่น้อยมาช่วยกัน พวกเราก็ไม่อาจให้พวกเขากลับไปมือเปล่าได้”

เหล่าไท่ไท่พูดกับโจวกุ้ยหลาน ก็ลืมความโกรธที่มีต่อสวีฉางหลินไปเมื่อครู่เลย

ไก่มากมายขนาดนั้น! แพะของนางอีก!

อ๊า นี่มันน้ำพักน้ำแรงของนางทั้งนั้นนะ!

โจวกุ้ยหลานปวดใจหนึบ

“ไม่เหลือไว้ให้พวกเรากินกันเองเลย?” โจวกุ้ยหลานถามเหล่าไท่ไท่อย่างปวดใจ

“แค่นั้นไม่พอดอก จะเหลืออะไรให้พวกเรากินกันเองเล่า? เจ้าอยากกินไก่หรือไม่? อยากกิน แม่จะฆ่าให้เจ้าตัวหนึ่ง”

เหล่าไท่ไท่พูด และหยิบเข็มด้ายตะกร้าขึ้นมาอีก

โจวกุ้ยหลานที่กำลังปวดใจ ตกใจกับคำพูดนี้ของเหล่าไท่ไท่

“ท่านแม่ ท่านตัดใจฆ่าไก่ของท่านแม่เองได้รึ?”

นี่มันเหลือเชื่อแล้วเนี่ย!

เหล่าไท่ไท่ที่รักไก่ราวกับชีวิตนาง ตอนนี้กลับยอมฆ่าไก่เพื่อนาง?

“เจ้าไปแวะเวียนประตูนรกมารอบหนึ่ง แม่ก็จะใจกว้างสักครั้ง ต่อให้กินไก่พวกนี้จนหมด แม่ก็ยินดี” เหล่าไท่ไท่หรี่ตาสอดเข็ม พูดเสียงสบายๆ

โจวกุ้ยหลานซาบซึ้งใจแทบร้องไห้ “ท่านแม่ ท่านดียิ่งนัก!”

“อย่ามาเวิ่นเว้อกับข้า เจ้าน่ะรีบหายดีมาช่วยข้าทำงานซะ วันๆเอาแต่นอน ข้ายังต้องมาดูแลเจ้า ออกไปทำไร่ทำนาไม่ได้เลย รออีกไม่กี่วันอากาศเย็นลงแล้ว พวกเราคงได้แต่นอนกินลมอดตายไปเท่านั้นแหละ!”

เหล่าไท่ไท่พูด พลางสอดเข็มด้าย ก้มหน้าปักเสื้อผ้าขาดในมือตนต่อไป

โจวกุ้ยหลานงึมงำไปสองคำ และไม่ต่อล้อต่อเถียงกับเหล่าไท่ไท่แล้ว และนั่งดูเหล่าไท่ไท่เย็บเสื้อ

พอกลางวัน สวีฉางหลินกับโจวต้าไห่กลับมากินข้าวกลางวัน ทั้งหมดล้อมวงกันกินข้าว โจวกุ้ยหลานเรียกสวีฉางหลินรอก่อน ให้คนอื่นออกไปก่อน ถึงแอบดึงเสื้อสวีฉางหลิน ให้เขาเข้าใกล้นาง ถึงถามว่า “เงินพวกนั้นเจ้าเอาออกมาหรือไม่?”