บทที่ 252 จู่ ๆ ก็มีความคิดไม่ดีผุดขึ้นมาในใจ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 252 จู่ ๆ ก็มีความคิดไม่ดีผุดขึ้นมาในใจ
บทที่ 252 จู่ ๆ ก็มีความคิดไม่ดีผุดขึ้นมาในใจ

ใต้เท้าจ้าวเป็นปัญญาชน จึงรู้ว่าจะแยกตัวเองออกจากน้ำขุ่นโดยไม่แปดเปื้อนได้อย่างไร ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “เกรงว่าท่านทั้งสองคงจะยังใหม่กับการเข้าเมืองหลวง ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ แม้บัดนี้ใต้เท้าหลี่จะไม่ได้เป็นผู้บังคับบัญชาฝ่ายองครักษ์วังหลวง แต่ก็ยังเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ระดับหนึ่ง วันข้างหน้าท่านทั้งสองยังต้องปฏิบัติหน้าที่ภายใต้อาณัติของเขา จะพูดจะจาก็ควรต้องระมัดระวังเสียหน่อย”

สายตาของใต้เท้าหลี่จับจ้องมายังหลินเหรา จนเกือบจะมีคำว่า ‘เกลียดชัง’ เขียนประทับอยู่บนใบหน้า

ใครก็ตามที่มีนิสัยคล้ายคลึงกับเซี่ยเชียน เขาล้วนเกลียดชังทั้งสิ้น

เหยาเฉาเดินรุดขึ้นหน้าหนึ่งก้าว ปกป้องตัวของหลินเหราไว้ด้านหลังของตัวเอง ริมฝีปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย คลี่ยิ้มบางและพูดว่า “วันนี้เรื่องที่ฝ่าบาททรงตกจากหลังม้าถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก หวังว่าทุกท่านจะเฝ้าสังเกตการณ์และคอยช่วยเหลือกัน เราสองพี่น้องคงจะซาบซึ้งใจอย่างมาก หากใต้เท้าทั้งสองยืนกรานจะเข้ามายุ่ง จนกระทบต่อกระบวนการของคดีความ เกรงว่าเมื่อฝ่าบาททรงฟื้น เราคงตะขิดตะขวงใจที่จะกราบทูลรายงานต่อฝ่าบาท”

น้ำเสียงของชายหนุ่มและท่าทางล้วนแต่ทำให้รู้สึกดุจดั่งต้องลมในวสันตฤดู เพียงแต่เนื้อหาในคำพูดนั้น เรียกได้ว่าไม่มีความเกรงใจโดยแท้จริง

ใต้เท้าจ้าวเองก็มีสีหน้าเย็นชา ไม่พูดสิ่งใด

เขาดูถูกผู้มาใหม่ที่ดูไร้พรรคไร้พวกสองคนนี้ แต่เบื้องหลังของสองคนนี้คือชีวิตของฝ่าบาท ไม่ว่าอย่างไรนี้ก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

ใต้เท้าจ้าวพูดอย่างอื่นไม่ออก ได้แต่ชำเลืองมองใต้เท้าหลี่และพูดว่า “ใต้เท้าหลี่ ดูท่าลูกน้องที่อยู่ใต้อาณัติของใต้เท้าหลี่สองคนนี้ ไม่ใช่คนที่จะเข้าไปยั่วยุได้โดยง่ายสินะ”

บรรยากาศในตำหนักค่อนข้างแปลกประหลาด ทำให้หลินเหรามีสีหน้าเย็นยะเยือกมากยิ่งขึ้น

สองสามเดือนที่อยู่ในเมืองชิงถง นิสัยของเขาดีขึ้นมาก ปกติก็มักจะมีช่วงเวลาที่มีสีหน้าผ่อนคลายน้อยมากอยู่แล้ว

ในยามที่มีสีหน้าเคร่งเครียด กลิ่นอายเลือดที่แฝงไปด้วยจิตสังหารจากสนามรบได้ลอยคละคลุ้งออกมา จนแม้แต่อากาศในตำหนักยังหนาวเยือกมากกว่าเดิม

คิ้วของหลินเหราคมเฉียบดุจดาบ เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าคงคุยไม่ถูกคอ เชิญท่านทั้งสองตามสบาย”

พูดจบเขาก็หันหน้ากลับไป ไม่สนใจทั้งสองคนอีก

ใบหน้างดงามของเหยาเฉาได้เผยรอยยิ้มหนึ่งออกมา แสดงถึงจุดยืนฝ่ายเดียวกับหลินเหรา ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น พูดถึงแผนการหลังจากนั้นกับต๋ากงกง

กระทั่งเห็นหลินเหราเดินมาข้างกายของเซี่ยเชียน จากนั้นก็พูดกับเขาสองสามประโยคด้วยเสียงต่ำ

แต่เพราะสีหน้าของทั้งสองคนล้วนเรียกได้ว่าไม่เป็นมิตร เซี่ยเชียนมีสีหน้าเย็นยะเยือก สำหรับใต้เท้าหลี่และใต้เท้าจ้าว ดูเหมือนจะพาให้ตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดเช่นกัน

สีหน้าของใต้เท้าหลี่เคร่งเครียดมาก หลังจากดื่มชาไปหนึ่งอึก ก็ชำเลืองตามองไปยังเหยาเฉาและหลินเหรา ก่อนจะถามใต้เท้าจ้าวที่อยู่ข้างกายว่า “ใต้เท้าจ้าวรู้หรือไม่ว่าสองคนนี้มาจากที่ใด?”

ใต้เท้าจ้าวกดเสียงให้ต่ำลง “ประวัติของผู้แซ่เหยาข้าเองก็ไม่แน่ใจ ส่วนผู้แซ่หลินพอได้ยินมาบ้าง ก่อนหน้านั้นเคยไปทำศึกสงครามอยู่ในซีเป่ย ปฏิบัติภารกิจภายใต้คำสั่งของท่านแม่ทัพ จนได้รับความสนใจ…”

ใต้เท้าหลี่มีหน้าถอดสีในทันใด จากนั้นก็มองไปทางใต้เท้าจ้าว “ท่านแม่ทัพถูกใจเขาอย่างนั้นหรือ?”

เจียงหนิงถือได้ว่ามีอำนาจอยู่ในราชสำนัก การเอ่ยถึงผู้นำฝ่ายทหารรบไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิด

คนที่เจียงหนิงถูกใจ ใต้เท้าหลี่ล้วนไม่กล้าแตะต้อง

ใต้เท้าจ้าวยิ้มตาหยีพร้อมกับพูดว่า “จะให้ความสำคัญจริง ๆ หรือไม่นั้น ข้าน้อยจะรู้ได้อย่างไรเล่า?”

ใต้เท้าหลี่แอบด่าในใจ ‘จิ้งจอกเฒ่า’

ถ้าเขารู้ว่าหลินเหราเป็นคนของท่านแม่ทัพ ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่มีทางทะเลาะกับเขาแน่นอน ใต้เท้าจ้าวตั้งใจยั่วยุให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่างเขาและหลินเหรา เป็นเช่นนี้แล้วจะไม่เป็นการขุดโพรงให้เขาหนีหรอกหรือ?

แต่ไม่ว่าอย่างไรเรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว จะพูดอะไรล้วนสายเกินไป…

หลินเหราพูดกับเซี่ยเชียนเพียงประโยคสั้น ๆ จากนั้นก็เดินออกจากประตูตำหนักพร้อมกับเหยาเฉา ทั้งยังมีต๋ากงกงเป็นผู้ร่วมเดินทางอีกคน…

ใต้เท้าหลี่และใต้เท้าจ้าวนั่งครุ่นคิดเรื่องต่าง ๆ อยู่หน้าโต๊ะ ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เซี่ยเชียนเอาแต่ยืนหันหลังให้กับพวกเขาอยู่ตรงหน้าต่าง โดยไม่เปล่งเสียงเลยแม้แต่น้อย

ครั้นเวลากระชั้นชิดมากขึ้น หลินเหราและผู้อื่นจึงพากันออกจากตำหนักหน้า ตั้งใจจะจับตัวคนในวังที่รับหน้าที่วางเป้ายิงอยู่ในลานประลองให้จงได้ เรื่องอื่นค่อยว่ากัน

หลังจากที่ทั้งสามคนเดินออกมาไม่กี่ก้าว ก็เห็นนางกำนัลผู้หนึ่งเร่งฝีเท้าเข้ามา ก่อนจะรายงานว่า “ต๋ากงกง ฝ่าบาททรงฟื้นแล้ว! ตรัสว่าอยากเจอใต้เท้าเซี่ยเจ้าค่ะ!”

ต๋ากงกงมีสีหน้าลำบากใจ อดสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ไม่ได้ จากนั้นก็พูดด้วยความลำบากใจว่า “บัดนี้ ฝ่าบาททรงฟื้นแล้ว? นี่ช่างเป็นเรื่อง…”

เดิมทีองค์จักรพรรดิไม่มีรับสั่งให้หลินเหราและเหยาเฉามาตรวจสอบเรื่องตกจากหลังม้า เขากระทำโดยพลการ ถือว่าเป็นการไว้หน้าแก่เซี่ยเชียน ให้เขาหลุดพ้นจากปัญหา

แต่บัดนี้องค์จักรพรรดิทรงฟื้นแล้ว ใต้เท้าเซี่ยที่ต้องถูกไต่สวนก็ได้รับการแก้ไขเป็นธรรมดา เขาคงไม่ได้ทำเกินเหตุหรอกกระมัง?

เหยาเฉารู้ว่าต๋ากงกงกังวลสิ่งใด จึงพูดเสียงต่ำ “ต๋ากงกงช่วยนำเราและใต้เท้าเซี่ยไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วยเถอะ คิดว่าฝ่าบาทคงจะไม่โทษกล่าว”

ต๋ากงกงนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างหลินเหราและเซี่ยเชียน จึงทำการตัดสินในใจ จากนั้นก็พูดกับทั้งสองคนว่า “ใต้เท้าทั้งสองโปรดรอครู่หนึ่ง ข้าจะไปเรียกใต้เท้าเซี่ย”

องค์จักรพรรดิเรียกเข้าพบ ก็เพื่อกันท่าใต้เท้าหลี่และใต้เท้าจ้าวไว้ด้านนอก ครั้นทั้งสองคนทราบข่าวก็วิ่งตาตั้งมาทางนี้ คิดจะใช้โอกาสนี้ดึงเซี่ยเชียนให้ตกจากม้า เช่นนี้จะพลาดโดยเปล่าประโยชน์ไม่ได้

ในใจของทั้งสองคนก็พลันฉุนเฉียวทันใด…

ใต้เท้าหลี่ยิ้มอย่างเย็นชาและพูดว่า “ใต้เท้าจ้าวสันทัดในเรื่องนี้เป็นอย่างดี เหตุใดจะไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บของฝ่าบาทไม่ได้หนักหนาจริง ๆ?”

แต่ไหนแต่ไรมาใต้เท้าจ้าวไม่เคยสนใจนิสัยโกรธง่ายและชอบทำอะไรบุ่มบ่ามของใต้เท้าหลี่ จึงทำได้แค่แค่นหัวเราะเท่านั้น ก่อนจะพูดอ้อมค้อมว่า “ไฉนเลยข้าน้อยจะมีความสันทัดเฉกเช่นใต้เท้าหลี่เล่า ทว่าวันนี้ฝ่าบาททรงฟื้นแล้ว เกรงว่าการตรวจสอบเรื่องนี้ ควรจะให้ใต้เท้าเซี่ยมาทำการตรวจสอบมากกว่า”

ใต้เท้าหลี่กระดกน้ำชาจนหมดจอกด้วยความหงุดหงิด จากนั้นพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ก็ไม่แน่นะ! เซี่ยเชียนกระทำผิดพลาดด้วยความประมาทในระหว่างที่เขากำลังดำรงตำแหน่งเป็นองครักษ์ ประกอบกับที่ฝ่าบาททรงเชื่อใจเขา เกรงว่าคงจะใคร่สงสัยต่อความสามารถของเขา”

ใต้เท้าจ้าวส่ายหน้าจริงจัง “เกรงว่ายาก! ในราชสำนักใครบ้างเล่าไม่รู้ ใต้เท้าเซี่ยเป็นแขนขวาและแขนซ้ายของฝ่าบาท ต่อให้กระทำผิด ตำแหน่งผู้บัญชาการฝ่ายองครักษ์ก็ไม่มีทางเป็นของผู้อื่น นอกจากใต้เท้าเซี่ยที่ฝ่าบาททรงไว้วางใจที่สุด!”

คำพูดนี้ถือว่าจับจุดอ่อนของใต้เท้าหลี่และกระหน่ำแทงไม่ยั้ง

เขาอยู่ในวังมาเนิ่นนานหลายปีขนาดนี้ ไม่ง่ายเลยที่จะค่อย ๆ ปีนป่ายขึ้นถึงตำแหน่งผู้บัญชาการฝ่ายองครักษ์ ทว่าเพียงเพราะประโยคเดียวขององค์จักรพรรดิ ทำให้เซี่ยเชียนผู้ไม่เข้าใจอะไรเลยได้ครอบครองตำแหน่งของเขาไป

บัดนี้ใต้เท้าหลี่ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่กลับสนใจเรื่องของผู้บัญชาการ เขาจะไม่โกรธได้อย่างไร?

ถ้าคราวนี้ไม่สามารถดึงเซี่ยเชียนให้ตกต่ำได้ เกรงว่าชีวิตนี้ของเขาล้วนถูกเซี่ยเชียนกดขี่ จนไม่ได้ลืมตาอ้าปากเป็นแน่!

ครั้นเห็นใต้เท้าหลี่บันดาลโทสะ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ในใจของใต้เท้าจ้าวกลับเย็นชา

คนที่ระเบิดอารมณ์ง่ายเช่นนี้ ยังคิดจะแบกรับตำแหน่งผู้บัญชาการฝ่ายองครักษ์หรือ?

พวกเขากัดกันเหมือนสุนัข ซึ่งทำให้เซี่ยเชียนไม่สบอารมณ์อย่างมาก

อีกด้านหนึ่ง

หลังจากที่องค์จักรพรรดิฟื้นแล้ว เมื่อเห็นเซี่ยเชียนที่อยู่ข้างกายหายตัวไปแล้ว แม้แต่ต๋ากงกงที่คอยปรนนิบัติรับใช้มาตลอดก็หายตัวไปเช่นกัน จึงรู้ว่าเรื่องการตกม้าในคราวนี้ เซี่ยเชียนได้ยื่นมือเข้ามาแทรก

เขาออกคำสั่งให้คนในวังไปเรียกตัวเซี่ยเชียน เดิมทีก็ตั้งใจจะตำหนิเขาอย่างหนักหน่วงสักรอบหนึ่ง กลับคาดไม่ถึงว่าจะเห็นคนในวังพาทั้งสองคนเข้ามา

“กระหม่อมหลินเหรา ขอคารวะฝ่าบาท”

“กระหม่อมเหยาเฉา ขอคารวะฝ่าบาท”

นอกจากองค์จักรพรรดิจะมีพระอาการวิงเวียนและคลื่นไส้แล้ว พระวรกายก็ยังปวดร้าวไปทุกอณู ความอดทนยิ่งแย่ลงเข้าไปทุกที แม้แต่เซี่ยเชียนเองก็ยังเข้าหน้าไม่ติด เขาขมวดคิ้วพร้อมถามต๋ากงกง “ข้าให้เจ้าไปพาเซี่ยเชียนเข้ามา พาสองคนนี้เข้ามาหมายความว่าอย่างไร? ถูกส่งตัวมาอย่างนั้นหรือ?”

สำหรับท่าทางขัดพระทัยอย่างชัดเจนขององค์จักรพรรดิ หลินเหราและเหยาเฉาต่างก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแต่อย่างใด กลับเป็นต๋ากงกงที่เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ฝ่าบาททรงขบขันยิ่งนัก พระองค์คงไม่ได้อยากให้ใต้เท้าเซี่ยเข้ามายุ่งในการตรวจสอบคดีหรอกกระมัง เกรงว่าเขาคงถูกเหล่าขุนนางโจมตีเป็นแน่ กระหม่อมจึงเรียกใต้เท้าหลินและใต้เท้าเหยาจากในจวนเซี่ย ให้มาช่วยตรวจสอบคดีความนี้…”

องค์จักรพรรดิเลิกพระขนงสูง สีพระพักตร์คัดค้านพลันอ่อนลงมาก “อ่อ? นี่คือความคิดของเจ้าอย่างนั้นสิ?”

เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วคงห้ามเขาโป้ปดไม่ได้ ต๋ากงกงคิดจะทำให้เรื่องนี้จบลงด้วยดี ไม่ต้องการคุณงามความดี หวังเพียงไม่มีความผิดเป็นพอ

ในใจเขารู้สึกเป็นกังวลมาก แต่ปากยังคงยิ้มและพูดว่า “กระหม่อมบังอาจคาดเดาเจตนารมณ์ของฝ่าบาท เพียงแต่ใต้เท้าทั้งสองท่านได้ทำการตรวจสอบจนพบกับเบาะแสในลานประลองไม่น้อย ฝ่าบาททรงอยากฟังหรือไม่พะยะค่ะ?”

ความสนใจขององค์จักรพรรดิถูกกระตุ้นขึ้นเล็กน้อย แต่ครั้นดำริได้ว่าเซี่ยเชียนขัดต่อเจตนารมณ์ของเบื้องสูงเข้ามาตรวจสอบคดีโดยพลการ ความหงุดหงิดในพระทัยก็ไม่มีท่าทีว่าจะจางหาย

เขาตรัสกับเซี่ยเชียนด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ในเมื่อตอนนี้มีหลินเหราและเหยาเฉาแล้ว ท่านขุนนางออกไปเถิด”

เซี่ยเชียนปรายตามององค์จักรพรรดิ นัยน์ตาเย็นชาไม่ได้แสดงความรู้สึกแต่อย่างใด นอกจากตอบรับว่า “กระหม่อมทูลลา”

สีพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิไม่เปลี่ยนแปลง ผ้าปูที่นอนที่อยู่ในมือกลับถูกขยำไว้แน่น อยากจะเฆี่ยนเซี่ยเชียนอย่างโหดเหี้ยมสักรอบต่อหน้าทุกคนให้รู้แล้วรู้รอด แล้วค่อยด่ากราดจนไม่เหลือชิ้นดี ให้พูดกันไม่ออก

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับท่าทางไม่เป็นเดือดเป็นร้อนของเซี่ยเชียน กลับทำให้พระองค์โกรธเคืองจนตรัสอะไรไม่ออก

ต๋ากงกงมองออกว่าองค์จักรพรรดิปากไม่ตรงกับใจ แต่ก็ยังก้มหน้าแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว

เซี่ยเชียนเองก็มองออกถึงเพลิงพิโรธในพระทัยขององค์จักรพรรดิ เพียงแต่ไม่รู้ว่าต้นตอของความโกรธนี้มาจากที่ใด จึงตั้งใจว่าจะไม่ถือสาความโกรธที่ไร้เหตุผลเช่นนี้

กลับเป็นเหยาเฉาที่คิดพิจารณาอยู่ในใจเล็กน้อย ก่อนจะทูลกล่าวกับองค์จักรพรรดิว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมอยากจะขอในเรื่องที่ไม่สมควรนัก จะเป็นอะไรหรือไม่หากจะเชิญใต้เท้าเซี่ยอยู่ต่อสักประเดี๋ยว?”

พระหัตถ์ขององค์จักรพรรดิที่ขยำผ้าปูที่นอนแน่นเริ่มคลายออกเล็กน้อย แต่พระพักตร์ยังคงแสดงสีหน้าร้อนรน “ทำไม?”

เหยาเฉาเอ่ยด้วยความนอบน้อม “คดีนี้ใต้เท้าเซี่ยไม่สมควรเข้ามายุ่ง ด้วยเพราะเป็นคนโปรดของฝ่าบาท เพียงแต่ใต้เท้าเซี่ยดำรงอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญ ถึงอย่างไรก็คุ้นเคยกับองครักษ์ในวังเป็นอย่างดี ทั้งยังคำนึงถึงความปลอดภัยของฝ่าบาทอยู่เสมอ คดีความนี้ถ้าสามารถให้ใต้เท้าเซี่ยคอยช่วยเหลืออยู่เงียบ ๆ คิดว่ากระบวนการตรวจสอบคงจะราบรื่นมากขึ้นพะยะค่ะ”

สิ่งที่เปล่งออกมาล้วนสมเหตุสมผล ไม่ใช่คำพูดสวยหรูเพื่อประจบสอพลอ แต่มันเหนือความคาดหมายในพระทัยขององค์จักรพรรดิ

เขาปรายพระเนตรมอง พิจารณาเหยาเฉาอย่างละเอียด

ครั้นเห็นเขาพูดด้วยท่าทีไม่เย่อหยิ่งและไม่ถ่อมตัวจนดูต้อยต่ำ รูปลักษณ์ก็ดูโดดเด่น จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังคล้อยตามคำชี้แนะของคนผู้นี้ ถ้าได้เป็นองครักษ์รักษาพระองค์จริง ๆ ก็คงไม่เลว

เช่นนั้นจึงคิดได้ แม้จะให้เซี่ยเชียนกลับไปวันนี้ แต่ในใจคงไม่สงบลงอยู่ดี อีกทั้งคดีความนี้ สู้ให้เขาช่วยอยู่ในที่มืด คงจะทำให้จิตใจของเขาสงบลงได้

องค์จักรพรรดิพยักพระพักตร์ “ตามนั้น”

เมื่อต๋ากงกงเห็นเพลิงโทสะที่จะลุกโชนในอีกไม่ช้านี้ขององค์จักรพรรดิ ถูกคำพูดอันเย็นชุ่มฉ่ำแต่ไร้สุ้มเสียงของเหยาเฉาดับมอดลงโดยง่าย จึงอดถอนหายใจอย่างโล่งอกไม่ได้

กระทั่งได้ยินองค์จักรพรรดิทรงออกคำสั่งว่า “ขุนนางเซี่ย ข้าจะพูดอีกหนึ่งรอบ ถ้าเจ้าเข้ามายุ่งกับคดีนี้ก็ย่อมได้ แต่จะให้ผู้อื่นล่วงรู้ไม่ได้ คดีนี้จะต้องมอบให้แก่หลินเหลาและเหยาเฉา เข้าใจหรือไม่?”

เซี่ยเชียนคิดแค่จะกำจัดภัยคุกคามรอบตัวขององค์จักรพรรดิเท่านั้น ส่วนเรื่องคดีใครจะเข้ามาตรวจสอบ เขาไม่สนใจ ครั้นเห็นฝ่าบาทตรัสอย่างจริงจัง เซี่ยเชียนในชุดคลุมสีดำจึงต้องน้อมรับอย่างจริงจังเช่นกัน “กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง”

องค์จักรพรรดิจ้องดวงตาที่ไร้ความรู้สึกของอีกฝ่าย จู่ ๆ ก็มีความคิดไม่ดีผุดขึ้นมาในใจ …

……………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ทำไมตอนนี้มันให้ความรู้สึกเหมือนคนป่วยได้รับบาดเจ็บแล้วหงุดหงิดหน้าแฟนกันนะ?

ฝ่าบาทคิดอะไรไม่ดีกับใต้เท้าเซี่ยคะ แบบนี้จะไม่ให้ผู้แปลคิดไปไกลได้ยังไง กี๊ดดดดด

ไหหม่า(海馬)