บทที่ 314 ทุบศีรษะของท่านให้ระเบิดเสีย

พลิกชะตาหมอยา

พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 314 ทุบศีรษะของท่านให้ระเบิดเสีย

เฟิ่งชิงหัวรวบรวมคำพูดที่ชั่วร้ายและไม่น่าฟังต่าง ๆ นานาอยู่ในสมองของนางอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ลืมตาโตขึ้นมาด้วยความหวาดผวา: “จ้านเป่ยเซียว ท่านคงจะไม่ กล้าจนถึงกับเขียนคำว่า “ไสหัวไป” หรอกนะ?”

เฟิ่งชิงหัวอดไม่ได้ที่จะนึกภาพเขาที่สะบัดมือ เขียนคำว่าไสหัวไปอย่างแข็งแรงและทรงพลัง พอขันทีที่มาประกาศราชโองการเห็นเข้าถึงกับเข่าอ่อนจนเกือบโยนพระราชโองการทิ้งไป

และจินตนาการว่าหลังจากที่เสด็จพ่อของเขาได้เห็นคำว่าไสหัวไปนี้จะมีท่าทางเช่นไร คงจะไม่กล่าวโทษทั้งหมดมาที่นาง ประทานแดงชาดหนึ่งจั้งนางหรอกนะ

จ้านเป่ยเซียวมุมปากกระตุก: “เจ้าสุภาพอ่อนหวานหน่อยได้หรือไม่?”

สุภาพอ่อนหวานมีอารยธรรมทั้งปากคอเราะราย และยังสามารถแสดงถึงการปฏิเสธได้ภายในคำเดียว ขอบเขตความรู้ขอเฟิ่งชิงหัวแคบเกินไป นางพยายามแล้วจริง ๆ

พยายามเฮือกสุดท้าย เลือกคำที่ใกล้เคียงกับคำว่าไม่ที่สุด: “คัดค้าน? ใช่คำนี้หรือไม่ ข้าคิดว่าคำนี้ยโสโอหังมาก เหมาะกับท่านดี”

จ้านเป่ยเซียวส่ายศีรษะ ครั้งนี้แม้แต่พูดยังคร้านที่จะพูด มีหน้ากากกั้นอยู่นางยังสัมผัสได้ถึงความรังเกียจของเขา

เฟิ่งชิงหัวหงุดหงิด จึงกล่าวขึ้นมาโดยปล่อยไปตามอารมณ์: “จ้านเป่ยเซียว ถ้าหากท่านกล้าเขียนคำว่า “ไม่” ลงไป ข้าจะทุบศีรษะของท่านให้ระเบิดเสีย!”

จ้านเป่ยเซียวมองนางด้วยความตกตะลึง: “คิดไม่ถึงว่า ในที่สุดเจ้าก็ฉลาดขึ้นมาสักครั้งแล้ว”

เฟิ่งชิงหัวได้ยินเช่นนั้น ก็ได้ดึงผ้าห่มให้เปิดออก กระชาก และคลุมลงไปบนตัวของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปคร่อมศีรษะของเขาเอาไว้เริ่มรัดคอของเขา หรือไม่ก็ทุบลงไปบนศีรษะของบุรุษหลายครั้ง

“ใครใช้ให้ท่านแกล้งสุขุมลุ่มลึก ใครใช้ให้ท่านแกล้งทำเป็นมีรสนิยม ยังมามีวัฒนธรรมสุภาพอ่อนโยน แค่คำคำเดียวก็ทำให้ท่านตัวลอยแล้วใช่ไหม!” เฟิ่งชิงหัวยิ่งตีก็ยิ่งโมโห นึกถึงตอนที่นางเปลืองสมองครุ่นคิดเมื่อสักครู่ ไม่รู้เหมือนกันว่าเซลล์สมองตายไปกี่เซลล์แล้ว คนผู้นี้กล่าวอยู่ครึ่งค่อนวันเขียนแค่นี้เองหรอกหรือ

หลังจากที่เฟิ่งชิงหัวระบายอารมณ์เสร็จถึงพบว่าคนที่อยู่ใต้ผ้าห่มนั้นไม่ได้ขยับเลยสักนิด แม้แต่ตอบโต้ก็ยังไม่เคยเลยสักครั้ง

หรือว่าถูกนางทับจนสลบไปเสียแล้ว?

ขณะที่เฟิ่งชิงหัวกำลังสงสัยอยู่นั้น ก็สัมผัสได้ว่าคนที่อยู่ในผ้าห่มนั้นกำลังตัวสั่นอยู่

หรือว่าเมื่อครู่นางลงมือหนักจนเกินไป ตีจนเขาอัมพฤกษ์ไปเสียแล้ว?

คิดอยู่เช่นนี้ นางก็เปิดผ้าห่มออก ไม่เห็นคนที่กำลังตัวสั่นอยู่ กลับได้เห็นคนบางคนกำลังกลั้นยิ้มอยู่

ความเยือกเย็นในดวงตาของบุรุษได้หายไป ที่จ้องมองนางอยู่ในตอนนี้ สุกสกาวราวกับดวงดาว

ริมฝีปากบางสีชมพูอ่อนยิ้มกว้างขึ้นเรื่อย ๆ รอยยิ้มฉายชัดขึ้นบนใบหน้า เฟิ่งชิงหัวมองจนแทบลืมตัว แล้วเปลี่ยนเป็นสงสัย ยื่นมือออกไปดึงมุมปากของเขาลง: “ท่านปัญญาอ่อนหรืออย่างไร? โดนตียังจะยิ้มอีก?”

จ้านเป่ยเซียวตบมือของเฟิ่งชิงหัวลง รอยยิ้มเหือดหาย

เฟิ่งชิงหัวเบ้ปาก กำลังจะกลับไปบนเตียง กลับได้ถูกจ้านเป่ยเซียวดึงเข้าสู่อ้อมแขนทั้งสองข้าง กอดโดยที่มีผ้าห่มกั้นอยู่

“คนโง่ แค่หลอกเจ้าน่ะ” ในดวงตาของจ้านเป่ยเซียวเต็มไปด้วยความได้ใจ

“หลอกข้าอย่างนั้นหรือ? ท่านบอกว่าข้าเดาถูกแล้วมิใช่หรือ? เฟิ่งชิงหัวสงสัย และกล่าว: “ท่านบอกว่าท่านไม่เคยล้อเล่นเลยมิใช่หรือ?”

จ้านเป่ยเซียว: “หลอกเจ้ากลับล้อเล่นเป็นเรื่องเดียวกันหรือ?”

“น่าเบื่อ……” เฟิ่งชิงหัวเหลือบตามองบน: “ข้านึกว่าท่านยโสโอหังเช่นนั้นจริง ๆ เขียนค่ำว่าไม่ลงไปบนราชโองการโดยตรง ต่อให้เป็นพ่อลูกแท้ ๆ ก็คงไม่ไว้หน้ากระมัง”

จ้านเป่ยเซียวยิ้ม จับมือเฟิ่งชิงหัว จากนั้นก็เขียนลงไปบนฝ่ามือของนาง

เฟิ่งชิงหัวเพียงรู้สึกคันที่ฝ่ามือ ตอนที่ปลายนิ้วของบุรุษเลื่อนผ่านไป ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าบาง ๆ แล่นจากฝ่ามือของนางเข้าสู่เส้นเลือด ฝ่ามือค่อย ๆ แดงขึ้นมา

เฟิ่งชิงหัวเก็บมือกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว และเอาไปซ่อนไว้ที่ด้านหลัง: “คัน”

“ไม่อยากรู้แล้วหรือว่าข้าจะเขียนอะไร?”

เฟิ่งชิงหัวทำปากมุ่ย: “เช่นนั้นท่านก็รีบเขียนหน่อย อย่ามัวรีรอ”

จ้านเป่ยเซียวส่ายศีรษะอย่างจนใจ และเขียนที่บนฝ่ามือของนางอย่างรวดเร็ว เส้นขีดไม่น้อยเลยทีเดียว

รอจนเฟิ่งชิงหัวรู้แล้วว่าจ้านเป่ยเซียวเขียนอะไร นางมองจ้านเป่ยเซียว เงียบไปชั่วขณะ ถึงได้กล่าวขึ้นมา: “ข้าผิดไปแล้ว คำนี้ของท่าน เยี่ยมยอดไปเลยจริง ๆ ทั้งมีอารยธรรม ทั้งมีความหมายแฝง ทั้งปากร้ายทั้งอ้อมค้อม เหมาะกับฐานะของท่านจริง ๆ เกรงว่าเมื่อเสด็จพ่อของท่านได้เห็น ต่อให้โมโหก็ยากที่จะระบายออกมา”

เธอยังคงประเมินความลึกซึ้งของตัวอักษรต่ำไปจริง ๆ

ใครจะคิดล่ะว่า จ้านเป่ยเซียวจะเขียนคำว่า “อ่าน” ลงไป

อ่านมาจากคำว่าอ่านหนังสือ อ่านที่มาจากคำว่าการอ่าน

คำคำนี้ของจ้านเป่ยเซียว มีความหมายไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ

ปกติแล้วมีเพียงตอนที่ฮ่องเต้ตรวจสอบสาส์นกราบทูล ถึงจะเขียนคำว่าอ่านลงไป บนสาส์นกราบทูลที่ค่อนข้างน่าเบื่อและแสนธรรมดาเท่านั้น เป็นสัญลักษณ์ว่าได้ดูแล้ว ตนเองทราบแล้ว

เขาเขียนคำนี้ลงไปบนพระราชโองการ บวกว่าตนเองทราบแล้ว ความหมายก็คือไม่คิดที่จะเก็บมาใส่ใจ ความหมายแฝงก็คือพระราชโองการฉบับนี้เขาไม่ทำตาม

แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวออกมาอย่างชัดเจน ฮ่องเต้เห็นแล้วคาดว่ายังต้องเกาศีรษะ

จ้านเป่ยเซียวเห็นท่าทางตกตะลึงของเฟิ่งชิงหัว อดไม่ได้ที่จะลูบศีรษะของนางจากด้านหลัง กล่าวเยาะเย้ย: “รู้น้อยเห็นน้อยถึงเห็นเรื่องธรรมดาเป็นเรื่องประหลาด”

“ไม่ ๆ ๆ ท่านไม่เข้าใจ นาทีนี้ ข้าเลื่อมใสท่านมากจริง ๆ อาศัยเพียงคำเดียว ทั้งไม่นับว่าเป็นการล่วงเกิน ทั้งได้แสดงจุดยืนของตนเอง ท่านเพียงแค่พูดน้อยพูดไม่เป็นเท่านั้นเอง แต่สมองของท่านว่องไวมากจริง ๆ” เฟิ่งชิงหัวกล่าวชื่นชม

จ้านเป่ยเซียวยกมือขึ้นมาดีดหน้าผากของเฟิ่งชิงหัว: “ชื่นชมแบบเจ้ามีที่ไหนกัน?”

“อย่างไรเสียท่านรู้ว่าข้าชมท่านก็ถูกต้องแล้ว” เฟิ่งชิงหัวกล่าว กล่าวไปพลางเอาผ้าห่มห่อตัวและคลานกลับไปบนที่นอน

ข่าวนี้ทำให้นางตกตะลึงมากจริง ๆ สติปัญญาของสหายเก่าช่างไร้เทียมทานจริง ๆ เปลี่ยนเป็นนาง คาดว่านางคงขัดราชโองการไปตรง ๆ ไม่มีทางที่จะทำได้อย่างสวยงามเช่นนี้แน่

เฟิ่งชิงหัวนอนอยู่บนเตียง วินาทีต่อมาบุรุษก็ได้นอนลงตาม

“ท่านทำอะไร? เตียงเล็กแค่นี้ท่านก็จะแย่งอยางนั้นหรือ?” เฟิ่งชิงหัวจ้องมองเขา

“ขาของข้าถูกเจ้าทับจนชาไปหมดแล้ว ไม่นอนพักสักหน่อยข้าจะออกได้อย่างไร” จ้านเป่ยเซียวหลับตาทั้งสองข้างลง มือทั้งสองประสานกันอยู่บนหน้าท้อง

เฟิ่งชิงหัวทำปากจู๋: “เช่นนั้นท่านนอนสักพักก็รีบกลับไปเถอะ อากาศของที่นี่ไม่ค่อยจะดีนัก มันไม่ดีสำหรับอาการป่วยของท่าน”

“เจ้าคิดจะออกไปตอนไหน?”

เฟิ่งชิงหัวส่ายศีรษะ: “ไม่รู้ ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเสด็จพ่อของท่านกำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนนี้ จะต้องปกป้องคนพวกนี้เอาไว้ก่อน เรื่องของหนานกงจี๋ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกขา ไม่จำเป็นต้องให้พวกมาเดือดร้อนต้องพลอยเสียชีวิตไปด้วย”

“ดังนั้นเจ้ามีแผนว่า จะล้มล้างข้อกล่าวหาของหนานกงจี๋? ต่อให้เขามิได้ก่อกบฏ แต่เรื่องที่เขาได้กล่าวออกมาพวกนั้น เพียงพอที่จะให้คนพวกนี้ตามเขาไปด้วยแล้ว” จ้านเป่ยเซียวยังคงหลับตา กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“ลองดูก่อน จะสำเร็จหรือไม่นั้นข้าไม่เคยคิดมาก่อน ล้มเลิกความตั้งใจโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย มันไม่ใช่วิธีการของข้า” เฟิ่งชิงหัวยิ้มกล่าว

จ้านเป่ยเซียวมิได้กล่าวใด ๆ ราวกับว่าได้หลับไปเสียแล้ว

เฟิ่งชิงหัวรู้ว่าเขายังไม่หลับ แต่ก็ไม่ได้รบกวนเขา นั่งพิงกำแพงครุ่นคิดเรื่องราว

ครู่หนึ่ง จ้านเป่ยเซียวกล่าว: “ข้ารู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ใด”

เฟิ่งชิงหัวได้ยินเช่นนั้น ก็หันไปมองเขาที่อยู่ข้าง ๆ : “ท่านหาเขาเจอแล้วหรือ? เหตุใดถึงไม่จับเขากลับมาเล่า?”

จ้านเป่ยเซียวกล่าว: “สถานที่แห่งนั้น ค่อนข้างแปลกประหลาด หากข้าเดาไม่ผิดละก็ น่าจะเป็นสถานที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับศพสีแดงพวกนั้น”