บทที่ 285 มณฑลชิงเหอ

เพียงพริบตาเวลาก็ผ่านไปแล้วถึงสองปี ในสองปีที่ผ่านมามีเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ร้านอาหารหนิงเฟิงของถังหลี่เปิดสาขาทั่วมณฑลชิงเหอ มีทั้งหมดสิบสามแห่ง ทุกเมืองจะต้องมีเปิดหนึ่งร้าน แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะถังหลี่และหลูหลิงแต่เป็นเพราะเจิ้งติ่งต่างหาก เขาแสดงความสามารถที่น่าทึ่งในการทำการค้า หลังจากที่เขาส่งต่อเป่าชิงเก๋อให้แก่หลูชิงแล้ว เจิ้งติ่งก็ให้ความสำคัญกับกิจการร้านอาหาร

เมื่อมีเจิ้งติ่งและหลูหลิงคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเช่นนี้ ถังหลี่แทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย นางได้ข่าวของต้าเป่าและสวี่เจวี๋ย พวกเขาติดตามตู้ชิงหยูเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ มากมายในช่วงสองปีที่ผ่านมา ทั้งเมืองหลวงที่คนพลุกพล่านหรือทะเลทรายที่รกร้าง

ดังคำกล่าวที่ว่าการเดินทางหลายพันลี้ย่อมดีกว่าการอ่านตำราหลายพันเล่ม ความรู้ที่เด็กสองคนได้รับนั้นมากกว่าสิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากตำรามากนัก

ในวันสอบ พวกเขากลับมายังเมืองเหอตงเพื่อเข้าร่วมการสอบ เด็กทั้งสองยังได้ที่หนึ่งและสองในการสอบโดยไร้ข้อกังขาใด ๆ ครั้งนี้คนที่ได้ลำดับหนึ่งคือสวี่เจวี๋ยและต้าเป่าอยู่ในลำดับสอง ส่วนจั๋วชูเองก็ได้เข้าสำนักศึกษาของมณฑลด้วยคะแนนลำดับที่สิบสาม

จากผลการสอบที่ยอดเยี่ยมของเมืองเหอตง ใต้เท้าจูจึงมีความสุขมากแม้แต่ยามหลับฝันใบหน้าของเขายังมีรอยยิ้มประดับอยู่

เนื่องจากต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยสอบเข้าสำนักศึกษาระดับมณฑลได้ในชิงเหอ ทางครอบครัวสกุลเว่ยจึงได้ย้ายทุกอย่างไปที่เมืองชิงเหอ

มณฑลชิงเหออยู่ทางตอนใต้

ที่นี่มีสะพานเล็ก ๆ มีแม่น้ำไหลผ่าน ภูเขาที่สวยงามและน้ำทะเลที่ใสสะอาด มีคฤหาสน์หลังงามอยู่ที่นี่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังอยู่ไม่ไกลจากตลาดและไม่อึกทึกจนเกินไปนักเหมาะแก่การอยู่อาศัยเป็นอย่างมาก ตามท้องถนนและตรอกซอกซอยมักจะเห็นนักกวีและสาว ๆ พลอดรักกันอย่างหวานชื่น

ที่พำนักของสกุลเว่ยอยู่ที่นี่เช่นกัน คฤหาสน์หลังนี้มีทางเข้าออกสามทาง เป็นลานขนาดใหญ่ มีดอกไม้ปลูกไว้ที่ประตูทางเข้า การจัดแต่งสวนงดงามเห็นได้ชัดถึงความตั้งใจของเจ้าของบ้าน ท่ามกลางแปลงดอกไม้เหล่านั้น มีร่างเพรียวบางร่างหนึ่งกำลังก้มตัวตัดแต่งดอกไม้อยู่

นางสวมชุดสีชมพู เกล้าผมปักปิ่นเหมือนหญิงออกเรือน ท่วงท่าของนางมีความสง่างาม เมื่อหญิงสาวยืดตัวขึ้นจะเห็นช่วงเอวคอดกิ่วถูกรัดไว้ด้วยเข็มขัด ทำให้เห็นรูปร่างที่เพรียวบางของนางได้อย่างชัดเจน

ยามที่หันกลับมาใบหน้าของหญิงสาวนั้นงดงามยิ่งกว่าดวงจันทร์ คิ้วเรียวบางเบา ดูนุ่มนวลอ่อนโยน งดงาม ให้ความรู้สึกเย็นตาสบายใจ

หญิงสาวผู้นี้คือถังหลี่ ในช่วงระยะเวลาสองปีที่ผ่านมาเสน่ห์ของนางเปลี่ยนไป ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

เมื่อถังหลี่หันหน้าไปก็พบว่ามีดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองมาที่นาง

“เสี่ยวหลี่ของเรางดงามขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะ” ตู้ชิงหยูเอ่ยชม

ในช่วงสองปีมานี้ตู้ชิงหยูไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก นางยังร่าเริงเหมือนก่อนและชอบแต่งกายด้วยชุดของบุรุษ

ไม่มีใครสงสัยในตัวจริงของนางเลยว่าความจริงแล้วนางหาใช่ผู้ชายไม่ ตู้ชิงหยูคุ้นเคยกับถังหลี่ดี เมื่อได้ย้ายมาที่มณฑลชิงเหอแห่งนี้นางจึงไม่ได้ซื้อบ้าน แต่อาศัยอยู่ที่จวนสกุลเว่ยกับถังหลี่แทน

ทุกคนในละแวกนั้นจึงคิดว่าตู้ชิงหยูเป็นสามีของถังหลี่ ทำให้หญิงสาวลดปัญหาตรงนี้ไปได้ นางจึงไม่เคยพูดแก้ต่าง ถังหลี่เคยชินกับการพูดเยินยอของตู้ชิงหยูแล้ว จึงรับฟังอย่างใจเย็น ถังหลี่เป็นคนงาม นางชมเชยได้ถูกต้องแล้ว ตู้ชิงหยูหันมองไปรอบ ๆ เอ่ยถามขึ้นมาว่า

“วันนี้เอ้อร์เป่าหยุดไม่ใช่หรือ? เขาอยู่ไหนล่ะ?”

หลังจากครอบครัวสกุลเว่ยย้ายมาที่นี่ เอ้อร์เป่าก็ต้องย้ายสำนักศึกษาด้วยเช่นกัน เด็กคนนี้ไม่ชอบเรียนหนังสือ เขามีความคิดเป็นของตนเอง ถังหลี่จึงตามใจเขาด้วยการให้เอ้อร์เป่าเรียนที่สำนักศึกษาที่มีการเรียนการสอนที่ไม่หนักเกินไป และมีวันหยุดมากกว่าสำนักอื่น

“ออกไปกับซานเป่าและเสี่ยวไป๋” ถังหลี่กล่าว

…..

หอตำรา

เด็กหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าชั้นหนังสือ เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีผมยาวสลวย เส้นผมถูกมัดไว้อย่างหลวม ๆ ใบหน้าอ่อนเยาว์ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ดวงตาดอกท้อของเขาบ่งบอกถึงอารมณ์ช่างฝันอ่อนไหว หากโตมากกว่านี้จะต้องเป็นบุรุษเนื้อหอมแน่นอน เด็กหนุ่มคนนี้คือเอ้อร์เป่าหรือ เว่ยจื่ออี้นั่นเอง

เว่ยจื่ออี้มองไปรอบ ๆ ชั้นหนังสือ พลางขมวดคิ้ว ก่อนที่แววตาจะสว่างวาบขึ้น เมื่อเห็นตำราที่ต้องการ ในตอนที่เขากำลังจะเอื้อมมือไปหยิบ ก็มีมืออีกข้างหนึ่งยื่นมาหยิบตัดหน้าเด็กหนุ่มไป เว่ยจื่ออี้ชักมือกลับทันทีเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กที่อายุมากกว่าตน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต่างถูกใจหนังสือเล่มนี้เหมือนกัน

“เรื่องแปลกของเฟิงตู” เล่มนี้เป็นหนังสือที่เขาตามหามานาน จื่ออี้เคยได้ยินเรื่องราวของหนังสือเล่มนี้ จากผู้คนตามตรอกซอกซอยที่พูดคุยกัน ทำให้เขาสนใจขึ้นมา จากนั้นเว่ยจื่ออี้จึงหามันไปทั่วหอตำราในเมืองชิงเหอ ในที่สุดก็พบมันเข้าจนได้! ตอนนี้จื่ออี้รู้สึกคันยุบยิบในหัวใจ เขาอยากจะยืมหนังสือเล่มนี้และอ่านรวดเดียวจนจบ เขาแทบอดทนรอไม่ไหวแล้ว

เขามองเด็กชายที่อายุมากกว่าตัวเองอย่างหงุดหงิด

“ข้าจะให้เจ้าเมื่อข้าอ่านจบแล้ว”

น้ำเสียงของเด็กหนุ่มดูเจ้าเล่ห์ หลังจากพูดจบเขาก็ถือหนังสือเอาไว้เพื่อไม่ให้เว่ยจื่ออี้หยิบไปได้ เว่ยจื่ออี้ที่ไม่สามารถทำอะไรได้จ้องไปที่เขาด้วยความโกรธ

“ทำไม? อยากแย่งไปหรือ?” เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว

แก้มของเว่ยจื่ออี้พองขึ้น ดวงตาดอกท้อของเขาเบิกกว้างจ้องมองเด็กหนุ่มอย่างน่าสงสาร

เด็กหนุ่มอายุมากกว่า “….”

เมื่อเห็นดวงตาดอกท้อที่น่าสงสารแกมขอร้องของเด็กน้อย ความโกรธของเด็กหนุ่มค่อย ๆ มลายหายไป ท่าทีเขาอ่อนลง

“เจ้าเอาไปอ่านก่อนก็ได้” เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เขาไม่อยากยอมรับเลย แต่เด็กคนนี้น่ารักจริง ๆ

เด็กหนุ่มส่งหนังสือให้กับเว่ยจื่ออี้ที่รับไปอย่างมีความสุข เขารีบหันหลังเดินจากไปทันที

“ขอบคุณพี่ชายที่มอบมันให้ข้า ข้าจะอ่านมันให้จบภายในเวลาสามวัน ท่านมายืมหลังจากสามวันแล้วกันนะ”

เว่ยจื่ออี้กุมมือคารวะขอบคุณเขา

“ไร้ยางอายจริง ๆ”

คนที่พูดคือเจ้าของหอตำราอายุประมาณยี่สิบปีแก่กว่ามารดาของเขาเล็กน้อย เอ้อเป่าร์ป้วนเปี้ยนร้านหนังสือหลายแห่งในเมืองชิงเหอ ถึงแม้ว่าที่นี่จะเล็กแต่เอ้อเป่าร์มักจะมาประจำ จึงค่อนข้างคุ้นเคยกับเจ้าของร้านเป็นอย่างดี

“อย่างไรก็ตามหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือหายากยาก ทางร้านมีกฎระเบียบว่าห้ามยืมหนังสือหายาก”

เว่ยจื่ออี้ฉีกรอยยิ้มอย่างสดใส พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า

“เจ้าของร้าน ให้ข้ายืมได้หรือไม่? ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำมันเสียหายอย่างแน่นอน”

เจ้าของร้านตกตะลึงกับรอยยิ้มของเขา รู้สึกยินดีอยากมอบทุกอย่างให้ตามที่เขาร้องขอเลยทีเดียว ในที่สุดนางจึงละเมิดกฎให้เขายืมหนังสือเล่มนั้นไปอย่างมึนงง

เว่ยจื่ออี้หยิบหนังสือเดินออกไป เจ้าของร้านมองตามเด็กหนุ่มไปด้วยรอยยิ้มก่อนจะส่ายหัวเบาๆ

“เป็นจิ้งจอกตัวน้อยจริง ๆ”

แม้อายุจะน้อยแต่ไหวพริบของเขาสามารถจับทางผู้คนได้อย่างแม่นยำ ยิ่งโตยิ่งเก่งกล้าขึ้น

เว่ยจื่ออี้อยู่ที่ประตูหอตำรา พบว่าน้องสาวของเขาและตู้เสี่ยวไปหายไป เขาจึงต้องตามหาเด็กทั้งสองคน