บทที่ 379 ผลข้างเคียงของวิชา
บทที่ 379 ผลข้างเคียงของวิชา
สามารถกล่าวได้ว่าสงครามในครั้งนี้คือชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของฝ่ายมนุษย์ ซอมบี้จากเดิมที่มีอยู่ 1 ล้านตน ตอนนี้เหลือไม่ถึง 200,000 ตน นี้เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นเลยทีเดียว
การชนะในครั้งนี้มีกุญแจสำคัญอยู่ที่แผนการของพวกซอมบี้เอง แผนที่พวกนั้นวางไว้และการเลือกที่จะหลอกมนุษย์เพื่อเข้ามาในตัวเมือง ทั้งหมดนี่ได้นำภัยมาสู่พวกมันด้วยกันเองแท้ ๆ เลยทีเดียวเชียว
หลังจากถอยทัพกลับ พลทหารทุกคนก็ได้รับการต้อนรับด้วยเสียงโห่ร้องจากชาวเมือง พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าสามารถจัดการโค่นกองทัพซอมบี้ทั้ง 1 ล้านตนลงได้ในเวลาสั้น ๆ แบบนี้ อีกทั้งอีกฝ่ายยังถูกกำจัดไปได้มากกว่า 750,000 ตน
นี้เป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับชาวเมืองอย่างมาก พวกเขาจำได้ดีว่าตอนที่เห็นพวกซอมบี้นับล้านอยู่หน้าประตูเมือง ภาพดังกล่าวมันดูน่าหวาดกลัวขนาดไหน ตอนนั้นพวกชาวบ้านพากันคิดว่าเมืองโบราณคงต้องตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว ต้องขอบคุณแผนการอันแสนร้ายกาจของของนายพลฉู่ ไม่งั้นพวกเขาคงไม่พลิกกลับมาชนะได้ง่ายขนาดนี้!
จนถึงตอนนี้ นอกจากพวกเขาจะเคารพนับถือในตัวฉู่เหินมากขึ้นแล้ว เวลาที่ชายหนุ่มเดินไปตามท้องถนนในตัวเมือง ผู้คนโดยรอบก็จะพากันจ้องมองเขาด้วยแววตาเลื่อมใส โดยเฉพาะจากสาวน้อยสาวใหญ่ทั้งหลาย พวกเธอต่างก็มองมาที่ฉู่เหินด้วยสายตาเผ็ดร้อน
สายตาแบบนี้ทำให้ฉู่เหินรู้สึกกระอักกระอ่วนมากทีเดียว ทั้งนี้ก็เป็นเพราะการที่ลมปราณของเขาเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว จนตอนนี้จวนจะได้เลื่อนขั้นเป็นราชันดาราแล้ว ความรวดเร็วดังกล่าวทำให้ผลข้างเคียงจากการใช้พลังกิเลนปรากฏชัดขึ้น และนั่นก็คือการที่ทุกวัน เจ้าแท่งหยกของเขาจะแข็งตรงราวกับเสาธงเหล็ก
อย่างเช่นวันนี้ ตอนที่ชายหนุ่มเดินอยู่บนถนน ถ้าสังเกตดี ๆ ก็จะแอบเห็นว่าตรงนั้นนูนขึ้นมาเล็กน้อย เพียงแต่ว่าฉู่เหินไม่ได้ใส่ใจกับตรงนั้นนัก ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ ผลที่เกิดขึ้นก็คือการที่ชาวเมืองและทหารทุกนายพากันจับจ้องเขาไปตลอดทาง
เมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้า ในที่สุดความลับดังกล่าวก็เก็บไว้ไม่อยู่อีกต่อ ฉู่ฉุนเมื่อทราบเรื่อง เขาก็ถึงกับบุกเข้าไปถามพี่ชายของตัวเอง ก่อนที่สุดท้ายจะได้รู้ว่ามันเป็นผลข้างเคียงจากวิชาบางอย่าง
ที่จริงแล้วฉู่เหินเคยแวะเวียนไปที่ภูเขาพลังหลายครั้ง เขาหวังว่าจะไปหาเสี่ยวชิงให้เธอช่วยขจัดผลข้างเคียงนี้ให้ เพราะถ้าไม่สามารถควบคุมมันได้ล่ะก็ การที่เขาจะทะลวงขั้นราชันดาราก็เห็นทีว่าจะเป็นไปไม่ได้ บางที หากเขาฝืนทะลวงขั้นราชันดาราละก็ ในชั่วพริบตานั่น ร่างของเขาคงจะระเบิดออกอย่างแน่นอน
แต่ต่อให้ร่างกายไม่ได้ระเบิด ตรงนั้นของเขาก็เจ็บปวดจนทนจะไม่ไหวแล้ว! ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะ ฉู่เหินคงได้เสียใจไปตลอดชีวิตแน่!
เพียงแต่น่าเสียดายที่เสี่ยวชิงกับเหล่าสัตว์ทั้งหลายกำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ ดังนั้นจึงไม่ควรไปรบกวนเวลาดังกล่าว ถ้าหากรบกวนล่ะก็ ผลลัพธ์ที่ตามมาคงรุนแรงเกิดจะคาดเดา ดังนั้นทุกครั้งที่ฉู่เหินแวะไปหาก็จะไม่กล้ารบกวนเธอ แต่จะค่อย ๆ ถอยกลับออกมา การรอคอยนับครั้งไม่ถ้วนนี้ทำให้เขารู้สึกว่ามันพองขยายจนแทบจะระเบิดแล้วอยู่แล้วในตอนนี้!
ความรู้สึกพองขยายมันช่างยากเกิดจะทนไหว กระทั่งทุกวันต้องไปที่ลานฝึกเพื่อระบายอยู่บ่อยครั้ง แต่ทุกคนครั้งที่เจอผู้คน ฉู่เหินก็มักที่จะยิ้มกลบเกลื่อนอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ทุกคนไม่รู้ว่าตอนนี้เขาได้รับความทรมานมากขนาดไหนอยู่กันแน่
ในเมืองแห่งนี้มีนักบวชอยู่คนหนึ่ง นักบวชคนนี้มีตำแหน่งในเมืองโบราณ ชาวบ้านจะเรียกเขาว่าอากง ฉู่เหินอยู่ในสายตาของอากงตลอดเวลา ชายชรามองปราดเดียวก็รู้ว่าชายหนุ่มนั้นต้องถูกวิชาตัวเองย้อนกลับอย่างแน่นอน เขารู้ว่าฉู่เหินมีภรรยา แต่ตอนนี้ภรรยาของฉู่เหินกำลังติดพันกับการฝึกฝนวรยุทธ์ ดังนั้นจึงไม่อาจรบกวนได้!
อีกทั้งอากงยังรู้อีกว่าภรรยาของฉู่เหินกับสัตว์เหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนของฉู่เหิน ดังนั้นในเวลาแบบนี้จึงไม่อาจไปก่อกวนพวกเขาได้ แต่ถ้าฉู่เหินยังพองขยายต่อไปแบบนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้ครั้งต่อไปเลย เกรงว่าชีวิตของชายหนุ่มคงจะอยู่ไม่ถึงตอนนั้นเอาเสียมากกว่า
เมื่อรู้ดังนั้นอากงจึงแอบวางแผนบางอย่างขึ้นมา รุ่งเช้าวันถัดมา จู่ ๆ พวกผู้เฒ่าผู้แก่ในเมืองก็เข้าไปหาฉู่เหิน พวกเขาได้จัดเตรียมสาว ๆ ที่จะไม่สร้างเรื่องวุ่นวายในชีวิตฉู่เหินตามมาด้วย สาว ๆ ที่ตามมาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ยินยอมพร้อมใจกันทุกคน แต่ถึงอย่างงั้น ยังไงฉู่เหินก็อาจยอมรับพวกเธอได้
ล้อเล่นกันหรือยังไง? การที่ถูกวิชาย้อนกลับ นี่จะสามารถเป็นเหตุผลให้คนเราทำลายบริสุทธิ์ของผู้หญิงคนหนึ่งได้เลยน่ะหรือ ยังไงฉู่เหินก็ไม่อาจทำตัวไร้น้ำใจแบบนั้นได้ ดังนั้นทุกครั้งที่คนแก่เหล่านี้มาหา ชายหนุ่มก็จะทำการปฏิเสธไปอย่างนิ่มนวล แต่ยิ่งทำแบบนี้เขาก็ยิ่งได้รับการนับถือจากชาวบ้านมากขึ้นไปอีก ชายหนุ่มไม่รู้เลยแม้แต่น้อย แท้จริงแล้วสาว ๆ เหล่านั้นล้วนแต่ยอมไปตายเพื่อเขาได้ แล้วนับประสาอะไรกับความบริสุทธิ์ล่ะ!
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับฉู่เหินทำให้ฉู่ฉุนและพวกชาวบ้านพากันร้อนรน ตอนนี้เรื่องที่ร่างกายของฉู่เหินมีปัญหาไม่ใช่ความลับอีกต่อไปแล้ว ทั่วทั้งเมืองโบราณได้ทราบเรื่องดังกล่าวกัน ช่วงแรก ๆ ฉู่เหินก็รู้สึกอับอายอยู่บ้าง แต่พอเวลาผ่านไป เขาก็เริ่ม เฉยชากับมัน
พวกชาวเมืองที่เห็นฉู่เหินไปเฝ้าระวังที่กำแพงเมืองทุก ๆ วัน ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกปวดใจเพราะนี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว ยิ่งนานวันเข้า ร่างกายของฉู่เหินก็พาลจะเปลี่ยนเป็นสีแดง ดูเหมือนว่าเจ้าแท่งหยกที่พองขยายอย่างไม่หยุดพักจะเริ่มสร้างผลกระทบบางอย่างกับชายหนุ่มเข้าให้แล้ว
จนกระทั่งวันหนึ่ง จู่ ๆ ฉู่เหินก็ได้รับบัตรเชิญไปงานเลี้ยงดื่มเหล้า และคนที่ส่งมาก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอากง ถ้าเป็นคนอื่นมาเชิญชายหนุ่มก็คงเลือกที่จะปฏิเสธ ร่างกายเขาร้อนจะตายอยู่แล้วยังจะให้ไปดื่มเหล้าอีกได้ไง แต่อากงนั้นไม่เหมือนกันคนทั่วไป การที่ชายชราส่งบัตรเชิญมาให้ฉู่เหินแบบนี้ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องไปเสียหน่อย
บ้านของอากงนั้นอยู่ทิศตะวันออกของเมือง เป็นเรือนสี่ประสาน*เล็ก ๆ หลังหนึ่ง ตัวเรือนไม่ได้ใหญ่มาก แต่ให้ความรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยมนต์ขลัง พอฉู่เหินมาถึง อากงก็ยืนต้อนรับอยู่หน้าบ้านแล้ว
*เรือนสี่ประสาน(四合院)บ้านที่สร้างเป็นลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้าบนพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้าโดยรอบ จะเป็นที่ตั้งเรือนพักอาศัยล้อมรอบทิศทั้งสี่เอาไว้ เว้นพื้นที่ตรงกลางให้เป็นที่โล่ง เหมือนวงแหวนที่มีลักษณะสี่เหลี่ยม โดยถือเอาที่โล่งว่างกลางบ้านเป็นศูนย์กลาง
“เกรงใจผู้อาวุโสแล้ว ท่านไม่จำเป็นที่จะต้องมายืนรออยู่ด้านหน้าก็ได้ ทำให้อากงต้องรอนาน ผมคงต้องขออภัยด้วย!” หลังจากเห็นอากง ฉู่เหินก็รีบก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว พร้อมกับผสานมือทำความเคารพชายชรา
“นายพลฉู่ ไม่ต้องเกรงใจ มา ๆ พวกเรามาพูดกันในบ้านเถอะ!” จากนั้นอากงก็ยื่นมือข้างหนึ่งไปดึงตัวฉู่เหินให้เดินเข้าบ้านมาด้วยกัน
ห้องของผู้เฒ่านั้นตกแต่งอย่างเรียบง่าย นอกจากของใช้จำเป็น ในบ้านก็คล้ายจะไม่มีของตกแต่งอะไรอีก แต่ตรงกลางห้องของอากงนั้นมีรูปภาพแขวนอยู่ภาพหนึ่ง เป็นภาพขั้นบันไดทะลุก้อนเมฆ
หลังจากเพิ่งเข้ามาในห้อง ฉู่เหินก็ถูกรูปภาพนั้นดึงดูดทันที ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะจ้องมองมัน รูปภาพนี้ดูคล้ายกับมีเทคนิคบางอย่างแอบแฝง บันไดจากพื้นดินทอดยาวไปในอากาศ ก่อเกิดเป็นชั้น ๆ ขึ้นไป มันฝ่าทะเลไปจนถึงท้องท้องฟ้าสีคราม ผ่านมวลเมฆขาว
ขั้นบันไดพวกนี้ดูจะหลอมรวมเข้ากับเมฆขาวจนเป็นหนึ่งเดียว ก้อนเมฆสีขาวที่ลอยอยู่ในอากาศ ดู ๆ ไปแล้วก็คล้ายกับเปลือกนอกที่ดูดีแต่แท้จริงข้างในไม่ได้ดีอย่างที่เห็น ทว่าไม่ว่าก้อนเมฆจะเคลื่อนที่อย่างไร มันก็ยากจะหลีกเลี่ยงการติดตามของบันไดนี้ได้
ฉู่เหินยืนพิจารณาอย่างละเอียดด้านหน้ารูปภาพนี้ เขาเริ่มจมอยู่กับความรู้สึกลึกลับอย่างช้า ๆ ภาพรูปนี้ดูจะสอดคล้องกันโดยกับแก่นแท้ของอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มยืนนิ่ง ดู ๆ ไปคล้ายรูปหิน ฉู่เหินกำลังตกอยู่ในภวังค์จนลืมที่จะขยับไปไหน พออากงในฉากเข้า ชายชราก็ถึงกับตกใจ เขาอ้าปากออกด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากจะเชื่อ
รูปภาพนี้มีมาตั้งแต่ยุคไหนเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน มันเป็นของที่เหล่านักบวชได้รับสืบทอดต่อ ๆ กันมา ทุกครั้งที่มีการคัดเลือกนักบวช คนผู้นั้นก็จะได้รับการส่งมอบภาพ ๆ นี้ต่อ กระทั่งภาพนี้มีสิ่งอื่นแอบแฝงพวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
แม้กระทั่งอากงผู้มีพลังวรยุทธ์แข็งแกร่งก็ยังไม่อาจตรวจสอบภาพนี้ได้ คิดไม่ถึงเลยว่าฉู่เหินที่เพิ่งเดินเข้ามาที่นี่จะสามารถเข้าใจมันได้ ฉากนี้ส่งผลให้นักบวชชราถึงกับตัวสั่น
ในเวลานี้ ฉู่เหินรู้สึกราวกับว่าตัวเองได้เข้ามาอยู่ในภาพนี้ รูปก้อนเมฆ ท้องฟ้าและขั้นบันไดกำลังบอกเล่าอะไรบางอย่างให้กับชายหนุ่มฟัง เขารู้สึกว่าตัวเองได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของภาพ รู้สึกว่าตัวเองเป็นก้อนเมฆเป็นท้องฟ้านั้น และเป็นขั้นบันไดที่ทอดยาวในภาพนั่น จิตใต้สำนึกทั้งหมดชายหนุ่มเข้าไปอยู่ในรูปภาพหมดจนหมดแล้ว คงยากที่จะถอนตัวออกมาได้