บทที่ 254 คุณหนูช่างไร้มารยาทยิ่งนัก

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 254 คุณหนูช่างไร้มารยาทยิ่งนัก
บทที่ 254 คุณหนูช่างไร้มารยาทยิ่งนัก

ตู้เหิงปรายตามอง นัยน์ตานั้นฉายแววกังวลเล็กน้อย จากนั้นก็พูดอย่างเฉลียวฉลาดว่า “ใช่เจ้าค่ะ ท่านป้า เพียงแต่เหิงเอ๋อร์ไม่ค่อยวางใจ…”

แม้ว่าจะแต่งหน้าอย่างละเอียดลออเพียงใดก็ไม่อาจปกปิดสีหน้าเศร้าหมองของหญิงสาวได้ กุ้ยเฟยส่งเสียงไอเบา ๆ และพูดด้วยเสียงราบเรียบว่า “โรคนี้ก็เป็นเช่นนี้ ต่อให้เจ้าจะอยู่ที่นี่เป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปี มันมีแต่จะเพิ่มความเบื่อหน่ายให้เท่านั้น”

รอบดวงตาของตู้เหิงค่อย ๆ รื้นไปด้วยหยาดน้ำตา โดยไม่พูดสิ่งใด

เวลานี้ตระกูลตู้อยู่ในช่วงเจริญรุ่งเรืองดุจบุปผาบนดิ้นแพร องค์จักรพรรดิยังไม่ได้แต่งตั้งจักรพรรดินี ผู้เป็นป้าของตู้เหิงจึงมีสถานะสูงที่สุดในวังหลัง

บิดาของตู้เหิงเป็นทั้งขุนนางเจ้าอาลักษณ์ ดูแลทั้งกรมพระคลัง ครอบครองภาษีที่นาในราชสำนัก นอกจากนี้ก็ยังมีบุตรชายคนที่สองของตระกูลตู้ผู้เป็นบัณฑิตดำรงตำแหน่งขุนนางอยู่ในราชสำนัก

เพียงแต่ในชาติแล้ว สถานะของกุ้ยเฟยค่อย ๆ เสื่อมถอยลง ความมีสง่าราศีลดลงตั้งแต่ยังวัยเยาว์ ต่อมาจวนตระกูลตู้ก็เกิดเรื่อง…

ตู้เหิงเกลียดชังตัวเองที่ไม่สามารถรักษาอาการป่วยของกุ้ยเฟยได้ และยังกลัวว่าตลอดชีวิตนี้ของนางจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงจุดจบที่แน่นอนได้เลย…

กระทั่งเห็นความงดงามบนใบหน้าของกุ้ยเฟยไม่ได้ลดลงเพราะความเจ็บป่วย ทั้งยังพูดกับตู้เหิงด้วยน้ำเสียงเป็นปกติว่า “โชคชะตาฟ้าเป็นผู้กำหนด นับตั้งแต่ที่จวนตระกูลตู้ส่งข้าเข้าไปในวังวันนั้น ข้าได้เสพสุขกับความเจริญรุ่งเรืองมานานหลายปี ส่วนวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ทั้งหมดล้วนเป็นลิขิตจากฟ้าเบื้องบน”

ตู้เหิงจึงทนไม่ไหวอีกต่อไป ปล่อยให้หยาดน้ำตาพรั่งพรู “ท่านป้า!”

กุ้ยเฟยเห็นถึงความหวาดกลัวในสายตาของตู้เหิง แต่ไม่รู้ว่าความรู้สึกนั้นมาจากที่ใด ยามนั้นนางยังเด็ก คงจะทนเห็นการพลัดพรากจากความตายไม่ได้โดยง่าย

นางพูดเสียงราบเรียบ “เอาล่ะ เจ้าไม่ต้องอยู่ในวังเป็นเพื่อนข้าหรอก กลับไปเถอะ”

ตู้เหิงเก็บความรู้สึกทันที จากนั้นก็เช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ค่อย ๆ ปรับตัวเองให้มาอยู่ในสภาวะปกติ

นางรู้ว่าที่ในใจของผู้เป็นป้ารู้สึกโกรธเคืองมาตลอดเพราะความดึงดันของจวนตระกูลตู้ในการพยายามส่งนางเข้าวังในครั้งนั้น แม้แต่กับนางก็ไม่ได้สนิทสนมเหมือนเมื่อครั้งอดีต

แต่ในสายตาของตู้เหิงตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว กุ้ยเฟยเป็นหญิงสาวที่อ่อนโยนและใจกว้างในความทรงจำของนาง

หลายปีมานี้ นางเห็นผู้เป็นป้าเป็นแบบอย่างของตัวเองมาโดยตลอด

นางไม่อยากขัดขืนอีกฝ่าย แต่ตอบรับเสียงต่ำว่า “วันนี้เหิงเอ๋อร์ของตัวลา ว่าแต่ท่านป้ามีอะไรจะฝากไปบอกกับท่านพ่อหรือไม่เจ้าคะ?”

เปลือกตาของกุ้ยเฟยไม่ได้ยกขึ้น แค่พูดเสียงราบเรียบว่า “ไม่มี เจ้าไปเถอะ”

ตู้เหิงมองใบหน้าที่ยังคงงามสะพรั่งของกุ้ยเฟยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะพยักหน้าและตอบรับ “เหิงเอ๋อร์ทูลลา”

นางกำนัลของกุ้ยเฟยนำทางตู้เหิง พานางไปส่งนอกวัง

ในยามที่ทั้งสองคนเดินมาได้ครึ่งทาง ตู้เหิงพลันได้ยินเสียงบทสนทนาของบุรุษ

ครั้นนางกำนัลเห็นตู้เหิงหยุดฝีเท้าลงฉับพลัน จึงคิดว่านางอาจจะกลัวที่ต้องเจอกับใครบางคน จึงพูดปลอบใจว่า “คุณหนูตู้ไม่ต้องกลัว ได้ยินว่าในวังกำลังตรวจสอบคดีความ คิดว่าคนที่พูดอยู่นั้น น่าจะเป็นใต้เท้าผู้มาใหม่ทั้งสองท่านเจ้าค่ะ”

ยามที่ตู้เหิงอยู่ในตำหนักกุ้ยเฟย ก็เคยได้ยินการซุบซิบนินทาของเหล่าคนในวังมาบ้าง บอกว่าที่ฝ่าบาททรงตกจากหลังม้าเป็นมือของมือมืด ทรงมีรับสั่งห้ามคนในวังพูดมาก

ในอดีตนางเคยได้ยินเรื่องนี้ ตอนนั้นในเมืองหลวงเกิดเรื่องวุ่นวายมาก ดูท่าองค์จักรพรรดิคงจะส่งคนเข้ามาตรวจสอบอยู่กระมัง?

แต่เสียงนี้ ต่อให้เป็นในความฝันของนาง ก็ไม่มีทางจำผิดแน่นอน!

ตู้เหิงยิ้มให้กับนางกำนัล แต่ในใจกลับเต้นเร็วรัวแล้ว แม้แต่ฝ่ามือก็ยังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อไม่น้อย

หญิงสาวหยุดก้าวทันใด ตั้งใจถามด้วยความอยากรู้ “ในวังมีการให้บุรุษภายนอกเข้ามาทำการตรวจสอบได้อย่างนั้นหรือ?”

นางกำนัลไม่อยากสร้างปัญหาเพิ่ม แต่ถึงกระนั้นก็คงดูไม่ดีถ้าจะพาตู้เหิงเดินออกไปเช่นนี้ จึงพยายามอธิบายอย่างนุ่มนวลว่า “ในสถานการณ์พิเศษ ตราบใดที่เป็นคำสั่งของฝ่าบาท ย่อมได้ทั้งนั้น เพียงแต่ตอนนี้พระสนมกุ้ยเฟยทรงป่วยอยู่ อาจจะติดเชื้อจากสิ่งเหล่านี้ได้”

นางกำนัลเดินรุดขึ้นหน้าหนึ่งก้าว แต่กลับไม่เห็นอีกฝ่ายเดินตาม จึงหันกลับไปมองตู้เหิงด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ

ครั้นตู้เหิงได้ยินเสียงของหลินเหรา ไฉนเลยจะย่างเท้าออก? ในใจของนางเต้นระรัวนานแล้ว แต่มักเคยชินกับการแสดงสีหน้านิ่งเฉย คนภายนอกจึงมองไม่ออกเท่านั้น

นางกำนัลมองไปทางตู้เหิง “คุณหนูตู้?”

ตู้เหิงยิ้ม แม้แต่เล็บก็ยังจิกลงบนฝ่ามือโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็ใช้น้ำเสียงที่นิ่งสงบพูดกับนางกำนัลว่า “เดิมทีข้าไม่ควรเข้ามายุ่งแทนท่านป้า เพียงแต่เสียงเมื่อครู่มันช่างคุ้นหูยิ่งนัก จึงอยากไปดูเสียหน่อย”

นางกำนัลไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติแต่อย่างใด

เดิมทีตู้เหิงเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์ที่ได้รับการชมชอบจากเหล่าลูกหลานครอบครัวขุนนางในเมืองหลวง นางจึงรู้จักกับเหล่าบุรุษรูปงามวัยเยาว์ไม่น้อย ซึ่งเป็นเรื่องที่สมควร

เพียงแต่กุ้ยเฟยปิดประตูไม่ต้อนรับแขกเพื่อรักษาอาการป่วยอยู่แต่ในตำหนักหลายวัน เวลานี้หากมีคนเข้ามายุ่ง คิดว่าคงจะกระตุ้นความไม่พอใจของพระสนมเป็นแน่…

ครั้นเห็นสีหน้าที่ดูสงสัยของนางกำนัล ตู้เหิงจึงพูดอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าแค่ไปดูเท่านั้น ดูว่าคนที่เข้ามาตรวจสอบเป็นสหายของข้าใช่หรือไม่ ไม่ได้สร้างความวุ่นวายให้แก่พระสนมเลยแม้แต่น้อย”

นางกำนัลรู้สึกหมดหนทาง ทั้งยังไม่สามารถทิ้งตู้เหิงไว้เพียงลำพังได้ จึงทำได้แค่พยักหน้าและพูดว่า “เช่นนี้ ข้าน้อยจะไปเป็นเพื่อนคุณหนูตู้เองเจ้าค่ะ คุณหนูตู้มีความรู้รอบตัว จะต้องไม่สร้างความลำบากใจให้แก่พระสนมแน่นอน”

ตู้เหิงยิ้ม ในใจรู้สึกโล่งอก

นางกำนัลพาตู้เหิงไปยังทิศทางอีกด้าน ทะลุทางแคบยาวที่ปูด้วยหินเงินทางหนึ่ง เบื้องหน้านั้นดูกว้างขวางอากาศปลอดโปร่งมากทีเดียว

ตู้เหิงชำเลืองไปมองเงาร่างที่แต่งกายด้วยชุดคลุมสีน้ำเงินยืนสง่าผู้นั้นแวบหนึ่ง

เสี้ยวหน้าด้านข้างของหลินเหราเฉียบคมดุจดาบ กลิ่นอายดูน่าเกรงขาม

มองแค่แวบเดียวนางก็เห็นถึงใบหน้าอันหล่อเหลาที่ดูสะดุดตาภายใต้กลิ่นอายที่น่าเกรงขามนั้น

ในใจของนางเต้นลิงโลดด้วยความดีใจทันที แม้แต่ลมหายใจก็ยังปั่นป่วนเล็กน้อย จากนั้นก็ตะโกนเรียกเงาร่างผู้นั้นทันที “คุณชายหลิน!”

หลินเหราและเหยาเฉาแยกกันตรวจสอบ ไล่ถามคนในวังตามตำหนักต่าง ๆ เพียงลำพัง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยนี้ จึงรีบหันกลับไปด้วยจิตใต้สำนึก

กระทั่งเห็นตู้เหิงที่แต่งกายด้วยชุดหวาฝู แม้ว่าจะขับใบหน้าให้ดูอ่อนเยาว์เหมือนเด็กสาว แต่กลับดูเป็นทางการอย่างมากทีเดียว

หลินเหราตะลึงงันไปชั่วขณะ คาดไม่ถึงว่าจะมาเจอนางในวัง “แม่นางตู้?”

ตู้เหิงจับชายกระโปรงด้วยมือทั้งสองข้าง จากนั้นก็สาวเท้าก้าวมาตรงหน้าของหลินเหราอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ และพูดว่า “เป็นคุณชายหลินจริง ๆ ด้วย เมื่อครู่ข้าเดินผ่าน ข้ายังคิดว่าตัวเองหูฝาดอยู่เลยเจ้าค่ะ”

เดิมทีหลินเหราและตู้เหิงไม่ได้สนิทกัน เพราะช่วยเหลือกันแค่ครั้งเดียว นอกจากนี้ตู้เหิงยังขอร้องให้เขาช่วยตามหาสิ่งของที่ค่อนข้างพิเศษในเมืองชิงถง จึงถือว่าได้คุยกันไม่กี่ประโยค

ตอนนี้ได้พบกันในวัง หลินเหราก็ไม่ได้รู้สึกสนิทสนมเหมือนกับตู้เหิง

เขาพยักหน้าอย่างนิ่งเฉย และพูดกับตู้เหิงว่า “ไม่เจอกันนาน”

ตู้เหิงเดินมาตรงหน้าหลินเหรา ครั้นเห็นความรู้สึกห่างเหินทางสีหน้าของเขา จึงเงียบสงบในทันที

นางดึงตัวเองกลับมาอยู่ในท่าทีสง่าผาเผยและเย็นเยือกเหมือนปกติ “ได้ยินว่าคุณชายหลินมาตรวจสอบคดีความในวัง ไม่ทราบว่ามีส่วนไหนที่พอจะช่วยคุณชายได้บ้างเจ้าคะ?”

นางกำนัลในตำหนักกุ้ยเฟยยืนอยู่ไกล ๆ เสียงในการสนทนาของตู้เหิงไม่ดังนัก จึงไม่ได้ยินเนื้อหาในการสนทนาของนาง คิดว่าตู้เหิงคงจะทักทายคนรู้จักเท่านั้น

ถ้านางรู้ว่าตู้เหิงจะสร้างปัญหาให้นาง เกรงว่าคงจะโกรธจนเอาไปรายงานต่อกุ้ยเฟยเป็นแน่

ครั้นหลินเหราเห็นว่าตู้เหิงยินดีจะช่วยเหลือ จึงไม่ได้รีบเอ่ยปาก แต่กลับถามประโยคเดียว “แม่นางอยู่ในวังใช่หรือไม่?”

ตู้เหิงนั้นเฉลียวฉลาด หลังจากข่มความรู้สึกดีใจที่ได้เจอกับหลินเหราแล้ว ก็นึกขึ้นได้ว่าเขาอาจจะพะว้าพะวง

เสียงของนางอบอุ่น ทั้งยังกดให้ต่ำลงเล็กน้อย และพูดว่า “ช่วงนี้พระสนมกุ้ยเฟยป่วยตลอด ข้าต้องมาคอยดูแล ตอนนี้ตำแหน่งในวังหลังยังคงว่าง พระสนมกุ้ยเฟยยังต้องสู้รบปรบมือไม่เคยหยุดพัก หากคุณชายหลินอยากจะตรวจสอบคดี เกรงว่ายังต้องเชิญพระสนมมาออกหน้าให้เจ้าค่ะ”

คิ้วรูปดาบของหลินเหราขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ครุ่นคิดถึงคำพูดของตู้เหิง…

เวลาเพียงสั้น ๆ นี้ หลินเหราได้พบกับอุปสรรคหลากหลายรูปแบบ

ตอนนี้ในวังมีนางสนมถึงสี่นาง หลินเหราไม่สามารถแตะต้อง แต่กลับรู้สึกถึงพลังในความมืดระหว่างนางสนมทุกคน

วังหลังมีจิ้งเฟยเป็นผู้นำ เมื่อนางสนมที่เหลือเห็นในตำหนักของจิ้งเฟยเกิดเรื่อง พอได้ยินข่าวก็พากันเคลื่อนไหวทันที

ถ้ามีตู้เหิงอยู่ บางทีเขาอาจจะไม่ถึงขนาดต้องหลับหูหลับตาคลำทางก็ได้

เพียงแต่เรื่องที่กุ้ยเฟยจะออกหน้าให้อย่างที่นางว่าไว้นั้น…

หลินเหราไม่อยากใช้อำนาจเข้ามาแทรกเกินไป

หลินเหรามองไปทางตู้เหิง และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาสีหน้าไร้ความรู้สึกว่า “ข้าอยากจะให้แม่นางตู้ช่วยเหลือสักหน่อย ไม่ทราบว่าแม่นางตู้จะว่าอย่างไร?”

ยากนักที่หลินเหราจะออกปากด้วยตัวเอง ตู้เหิงตื่นเต้นดีใจอย่างมาก แต่ใบหน้ากลับไม่แสดงความรู้สึกออกมา

หญิงสาวยิ้ม “คุณชายหลินเชิญว่ามาได้”

หลินเหราพูดตรง ๆ “ข้าไม่คุ้นเคยกับวังหลัง หวังว่าแม่นางจะบอกได้ ถึงสถานการณ์ทั่วไปของแต่ละตำหนัก”

ตู้เหิงรู้ว่าเขาจะต้องจัดการเรื่องราวต่าง ๆ อย่างระมัดระวัง จึงไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องในตำหนักของกุ้ยเฟย จึงรู้สึกเกลียดชังตัวเองในใจที่ร้อนใจเกินไป

ต่อหน้า นางยังคงพูดเหมือนดั่งบุปผาที่เข้าใจภาษาคนพูด [1] ว่า “แรกเริ่มที่คุณชายหลินได้รับตำแหน่งจะต้องตรวจสอบคดีความที่ยุ่งยากซับซ้อนเช่นนี้ คุณชายอยากทราบเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ ข้าจะบอกเท่าที่รู้”

หลินเหราขอบคุณตู้เหิงอีกครั้ง จากนั้นก็เอ่ยถามถึงสถานการณ์ของแต่ละตำหนักจากนางด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำ

ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน กลับเห็นนางกำนัลในตำหนักกุ้ยเฟยทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงอดเดินรุดขึ้นหน้าหลายก้าวเพื่อมาเรียกตัวของตู้เหิงไม่ได้

นางเอ่ยอย่างสุภาพว่า “คุณหนู ไม่ทราบว่าตอนนี้เราจะออกจากวังได้หรือไม่เจ้าคะ? พระสนมยังรอให้ข้าน้อยกลับไปรับใช้อยู่นะเจ้าคะ”

ไม่ง่ายเลยที่จะได้เจอกับหลินเหราในวัง ในใจของตู้เหิงจึงไม่มีทางยอมให้ผู้ใดเข้ามารบกวนโดยเด็ดขาด แต่ก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเอาแต่ใจ

นางปรายตามองหลินเหรา “ไม่ทราบว่าคุณชายหลินสะดวกหรือไม่ เดินไปพร้อมกับข้าได้ไหมเจ้าคะ?”

หลินเหราเพิ่งเอ่ยถามถึงจุดเชื่อมต่อหนึ่ง กำลังจะถามต่อไปอีกส่วนหนึ่ง จึงตอบตกลง

ทั้งสองคนเดินข้างกันไปข้างหน้า พร้อมกับพูดคุยกันเสียงน้ำแผ่วเบา

เสียงนั้นไม่ดังมากนัก จึงหมดหนทางให้คนที่อยู่ด้านหลังได้ยินอย่างชัดเจน

แม้ว่านางกำนัลจะรู้สึกถึงความไม่เหมาะสม แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดมากความ

แค่รอให้นางกลับไปยังที่ของพระสนมกุ้ยเฟยเสียก่อน จะต้องบอกถึงการแสดงออกของคุณหนูกับพระสนมอย่างแน่นอน…

คุณหนูช่างไร้มารยาทยิ่งนัก!

ตู้เฟิงรู้สึกถึงสายตาจากด้านหลัง นัยน์ตาที่ลึกล้ำนั้นได้ฉายแววหมดความอดทน และมันถูกซ่อนไว้อย่างรวดเร็ว

นางไม่ได้แสดงความผิดปกติต่อหน้าหลินเหราแม้แต่น้อย มิเช่นนั้นจะสู้กับเหยาซูได้อย่างไร?

……………………………………………………………………………………………………..

[1] บุปผาที่เข้าใจภาษาคนพูด ดอกไม้ที่เข้าใจภาษาที่คนพูด อุปมาถึงหญิงงามที่เฉลียวฉลาด รู้ใจคน

สารจากผู้แปล

ตอนนี้เหมือนเห็นปลากระดี่ได้น้ำนะคะ

ขอบคุณแม่นางข้างหลังนะคะที่ช่วยพูดแทนผู้แปลไปหมดแล้ว

ไหหม่า(海馬)