ตอนที่ 281 หักมุมอีกครั้ง
เมื่อเผชิญกับการหักมุมกะทันหันของภาพยนตร์ ผู้ชมทั้งโรงฉายก็ล้วนตะลึงงันไปตามกัน!
ไม่มีใครคาดคิด ว่าเยี่ยเซินจะไม่ใช่คนตาบอด!
เมื่อนึกเชื่อมโยงถึงภาพการทำงานของเยี่ยเซินก่อนหน้านี้ ถึงได้รู้ว่าเศรษฐีเหล่านั้นได้เปิดเผยด้านมืดทั้งหมดของตนต่อหน้าเยี่ยเซินซึ่งเป็น ‘คนตาบอด’
“เชี่ย หักมุมได้โหดมาก!”
“ฉันคิดว่าตัวเอกเป็นคนตาบอดมาตั้งแต่แรกเลยนะเนี่ย!”
“งั้นก่อนหน้านี้เยี่ยเซินก็เห็นผู้หญิงที่ไม่ใส่เสื้อผ้าเต้นรำหมดเลยน่ะสิ แถมยังมีผู้ชายกับผู้หญิงคู่นั้นอีก เฮ้ย แถมยังมีผู้ชายวิตถารคนนั้นอีก…”
“นึกไม่ถึงเลยจริงๆ!”
“ก่อนหน้านี้ตัวเองปลอมเป็นคนตาบอดได้เนียนมาก เชื่อสนิทใจเลย!”
“…”
จู่ๆ ไต้รุ่ยก็เอ่ยขึ้นมา “ลองมาคิดดูดีๆ แล้ว ถ้าคนตาบอดมาเล่นเปียโนตรงหน้าฉัน ฉันก็คงไม่ได้ระแวงอะไรเหมือนกัน”
“นี่คือจุดที่น่ากลัวเลยล่ะ”
จางปินส่ายหน้า “ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าน่ากลัว อยู่ข้างนอกวางภาพลักษณ์ซะดูดี แต่มุมมืดของมนุษย์เรา พออยู่ต่อหน้าคนตาบอดแล้วก็ไม่ได้ระวังตัวเลย”
ในตอนนี้ ก็มีเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง
เป็นเสียงของตัวเอก “ศิลปะคือความหมายของชีวิตศิลปิน แต่เขาก็มีราคาที่ต้องจ่ายเพื่อแลกมา”
เสียงของผู้หญิงดังขึ้น “ความหมายของการถ้ำมอง?”
ตัวเอกชะงักไป เอ่ยอธิบาย “ผมแค่รู้สึกว่าการปิดประสาทสัมผัสหนึ่งของมนุษย์ไป จะทำให้เข้าถึงศิลปะได้มากขึ้น”
เสียงสิ้นสุดลง
เรื่องราวเพิ่งเริ่มต้นขึ้น
ที่แท้ความฝันของตัวเอกก็คือการหาเงินจากการเล่นเปียโน เพื่อเติมเต็มความฝันของตนที่จะได้แสดงในฮอลล์ทองทำของมณฑลฉิน
เขารู้สึกว่าตนหาเงินได้มากขึ้นเมื่อแสร้งเป็นคนตาบอด
เมื่อเทียบกับคนปกติแล้ว ผู้คนคล้ายกับว่าจะเชื่อมั่นในความสำเร็จของคนตาบอดมากกว่า
ยิ่งไปกว่านั้น แผนการของตัวเอกก็สำเร็จแล้ว
รวมไปถึงซูเฟย เธอสนับสนุนตัวเอกมากขึ้นเนื่องจากสถานะคนตาบอดของเขา ไม่เพียงคบหาดูใจกับเยี่ยเซิน มิหนำซ้ำยังแนะนำตัวเอกให้เข้าไปทำงานในภัตตาคารของบิดาตนด้วย
ค่าตอบแทนของภัตตาคารแห่งนี้ดีมาก
ตัวเอกเล่นเปียโนอยู่ที่นี่ ไม่เพียงได้รับทิปจำนวนมาก แต่ยังได้รับการชื่นชมจากบุคคลระดับสูงอีกด้วย
ตัวอย่างเช่นซูไท่
ซูไท่เคยเป็นดาราภาพยนตร์ครั้นยังเป็นเด็กหนุ่ม ตอนนี้แม้จะผันตัวมาอยู่หลังฉาก แต่นับว่าประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงโด่งดัง
เขาแต่งงานกับศิลปินหญิงคนหนึ่ง เธอมีชื่อว่าเจียงเยี่ยน อายุน้อยกว่าซูไท่มาก
เป็นคู่รักต่างวัยคู่หนึ่งก็ว่าได้
เนื่องจากชื่นชมในฝีมือการบรรเลงเปียโนของเยี่ยเซิน แม้ว่าเป็นผู้มีความบกพร่องทางการมองเห็นคนหนึ่งก็ตาม ดังนั้นซูไท่จึงเชิญเยี่ยเซินไปบรรเลงเปียโนที่บ้านของตนในวันอาทิตย์ เพื่อฉลองวันครบรอบแต่งงานของตนและภรรยา
เยี่ยเซินตอบรับ
ในวันอาทิตย์ เยี่ยเซินไปถึงบ้านของซูไท่ตามเวลานัดหมาย แต่กระนั้นเมื่อเยี่ยเซินเดินเข้าไป ภาพที่เห็นกลับทำให้ผู้ชมต้องตะลึงงันอีกครั้ง!
เลือด!
เลือดนองเต็มพื้น!
เศษแก้วแตกกระจายท่ามกลางกองเลือด!
ร่างไร้วิญญาณนอนอยู่บนโซฟา!
เพียงปราดเดียวผู้ชมก็มองออก…
ว่านี่คือศพของซูไท่!
“เกิดอะไรขึ้น!”
หัวใจของไต้รุ่ยเต้นไม่เป็นส่ำ
จางปินซึ่งอยู่ด้านข้างกลืนน้ำลาย “ซูไท่ตายแล้ว? มิน่าล่ะทำไมเจียงเยี่ยนถึงเป็นคนเปิดประตู แถมเจียงเยี่ยนก็มีท่าทีไม่อยากให้ตัวเอกเข้าไปอีก”
เมื่อเผชิญกับการหักมุมอีกครั้งหนึ่งของภาพยนตร์ อารมณ์ของผู้ชมก็พลันตึงเครียดขึ้นมา!
ต่อให้เป็นคนที่แสร้งปลอมเป็นคนตาบอดมานาน และรับมือกับสถานการณ์สารพัดรูปแบบมานักต่อนักอย่างเยี่ยเซิน ก็ยังรู้สึกหวาดกลัว!
เจียงเยี่ยนเริ่มทดสอบเยี่ยเซิน เธอไม่มั่นใจว่าเยี่ยเซินตาบอดสนิทหรือไม่…
เยี่ยเซินรับมือด้วยความหวั่นวิตก เขาจึงขอตัวไปห้องน้ำ คล้ายกับว่าเพื่อไปผ่อนคลายอารมณ์
ปรากฏว่า ยามที่เจียงเยี่ยนพาเยี่ยเซินเข้าไปในห้องน้ำ ภาพเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงยิ่งกว่าก็ปรากฏขึ้น!
มีผู้ชายอยู่ในห้องน้ำ!
ผู้ชายคนนี้ถือปืน เล็งมาที่เยี่ยเซิน
‘ผู้ชายคนนี้เป็นชู้!’
จุดหักมุมที่สามของภาพยนตร์ ทำให้หัวใจของผู้ชมแทบหล่นลงไปถึงตาตุ่ม!
เยี่ยเซินกัดริมฝีปากข่มความรู้สึกสุดชีวิต แสร้งทำเป็นสงบเงียบจนทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำเสร็จเรียบร้อยและออกมา ก่อนจะกลับไปยังห้องรับแขก
ภาพยนตร์เข้าสู่ช่วงย้อนเรื่องราวในอดีต
ที่แท้เจียงเยี่ยนภรรยาสาวแสนสวยกับผู้ชายในห้องน้ำก็เป็นชู้กัน และเหตุผลที่ถูกสังหารกลับเป็นเพราะซูไท่หลอกภรรยาว่าวันนี้ตนจะไปทำงานเมืองอื่น ปรากฏว่าจู่ๆ ก็กลับมาพร้อมกับไวน์แดงและดอกไม้สด เพื่อเซอร์ไพรส์ภรรยา รวมไปถึงที่เชิญเยี่ยเซินมาบรรเลงเปียโน ก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนเซอร์ไพรส์
ผลปรากฏว่า…
จากความเซอร์ไพรส์กลายเป็นความน่าสะพรึงกลัว
เขาถูกชายชู้ลั่นไกปลิดชีพเสียเอง…
‘ฉันเป็นคนตาบอด ฉันเป็นคนตาบอด ฉันมองไม่เห็น’
เยี่ยเซินย้ำเตือนตนเองเช่นนี้อยู่ในใจ ก่อนจะเข้าไปเล่นเปียในห้องซึ่งเต็มไปด้วยเลือด เผชิญหน้ากับซูไท่ซึ่งไม่รู้ว่าเสียชีวิตมานานเท่าไหร่แล้ว ส่วนด้านหลังของเขาคือเจ้าบ้านฝ่ายหญิงซึ่งกำลังจ่อปลายกระบอกปืนมาที่ศีรษะของเขา
เป็นภาพที่แปลกประหลาดเหลือเกิน!
และท่ามกลางฉากอันแปลกพิสดารและเขย่าขวัญนี้เอง บทเพลงเปียโนชิ้นใหม่ก็ปรากฏขึ้น
เพลงวิวาห์ในฝันนั่นเอง!
ราวกับว่าบทเพลงนี้กำลังถ่ายทอดความโศกเศร้า กำลังคร่ำครวญถึงความตายของซูไท่ และกำลังเย้ยหยันภาพเหตุการณ์ในตอนนี้ ทำให้ในใจของผู้คนพลอยเกิดความรู้สึกประเดประดังตามบทเพลง
ยามนี้ผู้ชมในโรงภาพยนตร์กำลังเข้าถึงบทเพลงอย่างลึกซึ้ง
และภาพความโหดร้ายซึ่งไม่สมมาตรอย่างยิ่งกับความเศร้าโศกและความสวยงามที่ถ่ายทอดผ่านท่วงทำนองก็คือ
เจียงเยี่ยนกับชายชู้เริ่มขนย้ายศพของซูไท่ ซ่อนเขาไว้ในกระเป๋าเดินทาง จากนั้นจึงทำความสะอาดคราบเลือด…
ทุกขั้นตอนล้วนอยู่ในสายตาของตัวเอก
จนกระทั่งชายชู้ลากกระเป๋าเดินทางซึ่งยัดศพไว้ข้างในออกไป ไต้รุ่ยถึงตั้งสติได้
ดวงตาของเขาพลันเบิกกว้าง “เพลงเมื่อกี้…”
จางปินที่ตระหนักได้ถึงบางอย่างเช่นกัน ก็รู้สึกราวลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นมา
เนื่องจากพล็อตเรื่องดำเนินมาถึงขณะนี้ เต็มไปด้วยความตึงเครียดและตื่นเต้น ดังนั้นพวกเขาจึงมองข้ามบทเพลงไปชั่วขณะ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าโสตประสาทถูกปิดกั้น!
ถึงแม้กว่าพวกเขาจะตั้งสติได้ บทเพลงเปียโนก็จบลงแล้ว ทว่าความรู้สึกที่มาพร้อมกับบทเพลงกลับกำลังกลั่นตัว ก่อเกิดเป็นความตกตะลึงครั้งใหญ่ของเรื่อง!
“สมแล้วที่เป็นเซี่ยนอวี๋”
จางปินพึมพำ ไม่รู้ว่ากำลังวิพากษ์วิจารณ์ความประณีตของฉาก หรือรำพันถึงความงดงามของบทเพลงเมื่อครู่นี้
“…”
ไต้รุ่ยพูดไม่ออก เพียงแค่กลืนน้ำลาย ในใจเกิดความรู้สึกที่ไม่อาจพรรณนาได้ จนขนลุกซู่ไปทั้งตัว
แน่นอนว่าความรู้สึกเช่นเดียวกันนี้ ก็เกิดกับผู้ชมทุกคนในโรงภาพยนตร์
“ได้ยินหรือเปล่า…”
“เพลงเมื่อกี้…”
“ตื่นเต้นกว่าเพลงฉากเปิดอีก…”
“อยากฟังอีกรอบ!”
“งดงาม เจ็บปวด อ่อนโยน โหดร้าย…”
“นี่คือ…คำตอบของเซี่ยนอวี๋ใช่ไหม?”
“ดูหนังก่อนเร็ว…”
มีคนสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่
บทเพลงไม่ใช่ประเด็นสำคัญอีกต่อไป เพราะเรื่องราวกำลังเข้มข้น ทำให้ผู้ชมรู้สึกสมองชาอย่างห้ามไม่อยู่ อีกทั้งยังตั้งหน้าตั้งตารอการเปิดเผยเรื่องราวต่อจากนี้!
“ไม่เกี่ยวกับฉัน…”
“ฉันไม่เห็นอะไรเลย…”
“ฉันสงสารคุณซูไท่มาก…”
“เขาช่วยฉันมาตั้งมาก แต่ฉัน…”
เยี่ยเซินหวาดกลัว รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว มือและขาสั่นเทิ้ม หลังจากที่เขานั่งอยู่ริมถนนอยู่นาน ท้ายที่สุดแล้วก็เลือกที่จะเรียกรถกลับบ้าน และปลอบใจตนเองระหว่างทาง
“อย่าหาเรื่องใส่ตัว…”
“คนพวกนั้นจะตามมาฆ่าฉัน…”
ผู้ชมสามารถจินตนาการได้ถึงความทุกข์ทรมานของตัวเอกในยามนี้
ชั่วขณะนั้น ผู้ชมก็อดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ รู้สึกว่าตัวเอกไม่มีความรับผิดชอบเอาซะเลย
แต่ถึงอย่างนั้น
ภาพก็ตัดไปอีกครั้ง
ตัวเอกกลับไปโผล่ที่สถานีตำรวจ!
พระเจ้าช่วย!
เปลี่ยนฉากได้เก๋สุดๆ!
ในท้ายที่สุดแล้ว ตัวเอกก็ตัดสินใจไปแจ้งความ!
ชั่วขณะนั้น ผู้ชมเริ่มชื่นชอบตัวเอกขึ้นมา อย่างน้อยเขาก็ยังมีมโนสำนึกพื้นฐานของมนุษย์
ไม่ใช่หรือไง?
อย่างไรก็ดี ภาพยนตร์เรื่องนี้ดันถูกลิขิตชะตามาให้ผู้ชมคาดเดาไม่ได้ เพราะเมื่อถึงสถานีตำรวจ สิ่งที่ทำให้ทุกคนอึ้งยิ่งกว่าก็คือฉากต่อมา!
ที่แท้…
ผู้กำกับการของสถานีตำรวจแห่งนั้น ก็คือชายชู้ที่ตัวเอกเพิ่งเจอที่บ้านของซูไท่ก่อนหน้านี้!!!
“คุณมาแจ้งความ?”
ฆาตกรสวมชุดตำรวจ สายตาจ้องเขม็งมายังเยี่ยเซิน
หัวใจของผู้ชมแทบร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่มอีกครั้ง!
แม่เจ้าโว้ย!
จุดหักมุมของเรื่องนี้เยอะเกินไปแล้ว!
และทุกครั้งที่หักมุม ก็ทำให้ทุกคนใจหายใจคว่ำไปตามๆ กัน!
……………………………………………..