บทที่ 126 ขอร้องพวกเจ้าปล่อยข้าไปเถอะ!

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 126 ขอร้องพวกเจ้าปล่อยข้าไปเถอะ!
ต้องรักษาชีวิต รักษาชีวิตไว้!

เฉินโหยวซวนเหงื่อแตกซิก มือเจ็บ และหวาดกลัว ตกอยู่ในสภาวะใกล้บ้าเต็มทน

สวีฉางหลินที่อยู่ข้างๆมองดูสีหน้าเขาแล้ว พูดออกมาว่า “ตามใจเจ้า”

เขาดึงขาตนเองกลับมา ย่อตัวลงจะแบกเฉินโหยวซวนขึ้นอีก

“ข้ายอมแล้วข้ายอมแล้ว! ข้าทำเอง ข้าทำทั้งหมดเอง! พวกเจ้าปล่อยข้าไปเถอะ ขอร้องพวกเจ้าปล่อยข้าเถอะ!”

เฉินโหยวซวนถอยหลังอย่างหวาดกลัวอีก แต่พอเขาขยับ มือก็เจ็บหนักขึ้น

เขากัดฟัน สูดลมหายใจสะท้านเยือก

พูดออกมาแล้ว…..

โจวกุ้ยหลานสบตากับสวีฉางหลิน พลางแอบถอนหายใจโล่งอก

“ข้าจะรู้ได้ไงว่าเจ้ายอมสารภาพแค่ให้พวกเราปล่อยเจ้าไป?” โจวกุ้ยหลานถามต่อ

เรื่องนี้จะจบแบบนี้ไม่ได้ นางต้องเอาให้แน่ใจ ในเมื่อจะจัดการเรื่องนี้เอง งั้นนางก็ไม่อยากให้เขายอมสารภาพเพราะโดนทรมาน ดังนั้นต้องถามให้แน่ชัด

“ข้าวางเพลิงเอง ข้ายังสุมท่อนไม้ไว้นอกประตูและหน้าต่างบ้านเจ้าด้วย และยังเอาน้ำมันในบ้านสาดไว้ด้านบน เพราะเรื่องนี้ข้ายังทะเลาะกับพี่สะใภ้ เจ้าไปถามพี่สะใภ้ข้าได้!”

เวลานี้เฉินโหยวซวนไม่กล้าปิดบังอีก แค่เขาเหลือบตาไปทางสายตาเรียบเฉยของสวีฉางหลิน ใจเขาก็สั่นเป็นกลองเพล รู้สึกว่าชายผู้นี้น่ากลัวนัก

ถ้าเขาไม่พูด ชายผู้นี้ต้องใช้วิธีต่างๆมากมายมาจัดการเขาแน่ บางที…. บางทีอาจจะให้เขาเลือดไหลหมดตัวแล้วทิ้งเขาไว้ในป่าลึก ให้สัตว์ร้ายกัดกินก็ได้….

ยิ่งคิด เขาก็ยิ่งกลัว จนลืมความเจ็บปวดของเนื้อตัวไปสิ้น

“งั้นแปลงผักของเราเล่า?”

โจวกุ้ยหลานถามต่อ

“ข้าทำเอง ข้ารู้ว่าเจ้าชอบนอนกลางวัน ข้าเลยเข้าไปทำลายแปลงผักเจ้าเวลานั้น!”

เฉินโหยวซวนรีบตอบ กลัวทั้งสองคนไม่เชื่อ ยังพูดไปพยักหน้าไปอีก

โจวกุ้ยหลานโกรธจัด เป็นเขาทำจริงๆ! ถึงก่อนหน้านี้จะสงสัย แต่พอฟังเขายอมรับกับปากแล้ว นางก็โกรธแทบลมจับ

“เจ้าทำอย่างนี้ทำไม?” โจวกุ้ยหลานโกรธจัดแล้ว ตะคอกถามเสียงดัง

คนผู้นี้โหดร้ายมากจริงๆ เกือบโดนเขาฆ่ายกบ้านแล้ว

เฉินโหยวซวนตอนนี้ก็ไม่มีแก่ใจจะคุยกับโจวกุ้ยหลานแล้ว เขาพึมพำว่า “ข้าทำเอง พวกเจ้าจับข้าไปให้ทางการเถอะ! ขอร้องพวกเจ้าล่ะ ให้ข้าเข้าคุกเถอะ!”

โจวกุ้ยหลานโกรธจนเตะเขาอย่างแรงไปหนึ่งที แต่ยังไม่สาแก่ใจ ก็เตะรัวๆไปอีกหลายที จนตนเองเหนื่อย แต่ความโกรธยังไม่สลายหายไป

สองเดือนก่อนนางเกือบตายไปครั้งหนึ่ง พึ่งจะได้อยู่ดีกินดี ก็มาโดนคนอย่างนี้จ้องจนเกือบตายเป็นครั้งที่สอง

ยังมีเจ้าก้อนน้อย เขายังไม่ถึงสามขวบเลยนะ เกือบโดนไฟคลอกตายเหมือนกัน

ถ้าไม่ใช่เพราะที่บ้านมีโอ่งน้ำไว้ และในโอ่งน้ำมีน้ำอยู่ บวกกับสวีฉางหลินกลับมาทันเวลา นางกับเจ้าก้อนน้อยก็ตายไปนานแล้ว!

พอคิดอย่างนี้ ก็เตะไปอีกหลายที

สวีฉางหลินเห็นโจวกุ้ยหลานเตะไปหลายทีติดๆกัน ก็ยื่นมือเข้ามาอุ้มนางทั้งตัว และถอยหลังไป

โจวกุ้ยหลานโดนอุ้มขึ้นทั้งตัว ก็ยังเตะไปอีกหลายที แต่เท้านั่นกลับเตะไปมากลางอากาศ ไม่โดนตัวเฉินโหยวซวน

เฉินโหยวซวนที่เจ็บปวดหนักนาถอยหลังไปอีก เขาร้องไห้เสียงดังด้วยความเจ็บไปทั้งตัว

เจ็บจะตาย…เจ็บจะตายแล้ว เขาจะตายแล้ว

“ภรรยาข้า อย่าเตะเลย เจ็บขา” สวีฉางหลินถอยหลังไปหลายก้าว ปลอบโยนโจวกุ้ยหลานแล้วจึงวางนางลงมา

“ข้าจะถีบเขาให้ตาย! ไอ้เลวนี่ ฆ่าคนวางเพลิงนะ!” โจวกุ้ยหลานด่ากราดอย่างกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน

นางไม่ใช่คนใจเย็นอะไรนะ ตอนนี้อยากจะฆ่าเฉินโหยวซวนแล้วด้วยซ้ำ

“ได้ ข้าจะฆ่าเขาให้เจ้า เจ้าอย่าทำขาตัวเองเจ็บเลย”

สวีฉางหลินจับแขนโจวกุ้ยหลานไว้ ไม่ยอมให้นางขึ้นหน้าแล้ว

โจวกุ้ยหลานโกรธทรุดนั่งลงกับพื้น พอมองดูสภาพไหม้หมดเป็นเถ้าถ่านเบื้องหน้าแล้ว นางอยากร้องไห้นัก

สวีฉางหลินช่วยลูบหลังให้นาง พอเห็นดวงตาแดงเรื่อของนางแล้ว สายตาที่มองไปยังเฉินโหยวซวนเต็มไปด้วยความมาดร้าย

เขาเกือบจะสูญเสียภรรยาไปแล้ว เพราะน้ำมือคนผู้นี้! ยังมีเสี่ยวเทียน ก็เกือบตายแล้วเหมือนกัน

ต่อให้ฆ่าคนผู้นี้ เขาก็ยังไม่หายแค้น!

จะเก็บคนผู้นี้ไว้ไม่ได้!

สวีฉางหลินตบแขนโจวกุ้ยหลาน ทำให้นางสงบลง ถึงสั่งภรรยาเสียงต่ำว่า “เจ้าอยู่ที่นี่อย่าขยับนะ อีกครู่ข้าจะกลับมา”

“เจ้าจะไปทำอะไรน่ะ?”

โจวกุ้ยหลานลูบใบหน้าและถามเขา

“ไปส่งอาหารให้เหล่าสัตว์ที่ข้าล่ามาตลอดสักหน่อย” สายตาสวีฉางหลินมีประกายเย็นเยียบ พลางลุกขึ้น สาวเท้าเดินไปทางเฉินโหยวซวนทีละก้าว

โจวกุ้ยหลานเบิกตากว้าง มองตามแผ่นหลังสวีฉางหลิน ในใจรู้สึกประหลาด

พอคิดอีกที ถ้าไม่จัดการคนผู้นี้ ต่อไปเขาก็ยิ่งแค้นครอบครัวตนมากขึ้น ครั้งหน้าเกิดอะไรขึ้นมาอีก นางจะหนีรอดได้อีกรึ?

แจ้งความ?

แบบนี้เจ้าก้อนน้อยจะโดนพ่อแท้ๆพบเข้า ถึงเวลนั้นจับกลับไป คงจะไม่รอดแน่….

พอคิดแบบนี้แล้ว เฉินโหยวซวนไม่ตาย ก็ครอบครัวตนไม่รอด….

ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นไม่ว่ายังไงนางจะใจอ่อนไม่ได้!

พอคิดตก โจวกุ้ยหลานก็สงบจิตใจลง มองดูสวีฉางหลินแบกเฉินโหยวซวนที่ยังดิ้นรนร้องโหยหวนขึ้นมาเงียบๆ

สวีฉางหลินหมุนตัวหันมาบอกโจวกุ้ยหลานที่นั่งอยู่ที่พื้นด้วยเสียงเรียบว่า “รอข้ากลับมา”

โจวกุ้ยหลานพยักหน้า กลัวสวีฉางหลินไม่เห็น รีบบอก “เจ้าดูแลตัวเองด้วยนะ

“อืม” สวีฉางหลินรับคำ พลางลุกขึ้น ปัดฝุ่นตามตัว เดินไปทางบ้านไม้

เข้าไปในบ้านไม้ นางถึงพบว่า ในบ้านไม้ นอกจากไส้เดือนไม่กี่ถาด ไม่มีอะไรเหลือเลย

ดูท่าระยะนี้พวกคนที่มาวนเวียนที่นี่จะเอาไปหมดแล้ว

โจวกุ้ยหลานรู้สึกไม่ดีนัก นางนั่งลงบนเตียงเตา ปรายตามองไปทั่ว และเห็นว่าคันธนูของสวีฉางหลินยังอยู่

ในป่า สวีฉางหลินแบกเฉินโหยวซวนและพุ่งเข้าไปในป่าด้วยความเร็วสูงสุด

เฉินโหยวซวนทั้งร้องไห้ทั้งโหยหวน มือเท้าเตะตีไม่หยุด

“เจ้าฆาตกรนี่! ข้าจะฟ้องเจ้า! ให้เจ้าโดนตัดหัว!”

“เจ้ากับนังแพศยานั่นต้องไม่ได้ตายดี! ต่อให้เป็นผีข้าก็จะไม่มีทางละเว้นพวกเจ้า!”

สวีฉางหลินขมวดคิ้ว รู้สึกว่าเขาดิ้นมากไปทำตนเสียเวลา เลยวางเขาลงมา

เฉินโหยวซวนได้โอกาส ก็คิดหนี แต่โดนสวีฉางหลินคว้าเสื้อไว้ จากนั้นก็กระชากโดยแรง จนล้มลงไปนอนกับพื้น คอเสื้อโดนลากจนไถลถากไปกับพื้น แผ่นหลังโดนก้อนหินกิ่งไม้บาดจนเจ็บปวด โดยเฉพาะมือขวาที่หักลงนั้น โดนลากจนยิ่งเจ็บมากขึ้นไปอีก

“อ๊า! ข้าผิดไปแล้ว! เจ้าปล่อยข้าไปเถอะ! ข้าผิดไปแล้วจริงๆ ต่อไปข้าไม่กล้าแล้ว!” สวีฉางหลินที่เดินนำอยู่ข้างหน้าไม่สนใจเขาเลยสักนิด ยังคงดึงคอเสื้อเขาลากพลางวิ่งเร็ว

ตอนแรกยังมีเสื้อผ้าบังอยู่ เฉินโหยวซวนแค่รู้สึกว่าแผ่นหลังเคล็ดขัดยอกนัก แต่ไม่นานเสื้อผ้าถูกบาดจนขาดวิ่น แผ่นหลังเขาก็ถลอกปอกเปิกไปด้วย ไม่นานผิวก็ถูกกรีด เลือดไหลซิบออกข้างนอก ทำให้เจ็บปวดนัก