ตอนที่ 113-2 กิจวัตรประจำวันของเศษสวะ

เมื่อตกอยู่ในมือของวั่งซู งูพิษทั้งสองตัวก็กระดิกตัวไม่ได้แม้แต่น้อย

วั่งซูเดินก้าวกระโดดไปที่ประตูแล้วมองเสี่ยวไป๋ที่กำลังเลียขวดยาพิษอย่างบ้าคลั่ง เสียงนุ่มนิ่มเอ่ยว่า “เสี่ยวไป๋ เด็กๆ ของเจ้าหนีอีกแล้ว”

เสี่ยวไป๋บอก ข้ามอบให้ท่านลุงไปแล้ว!

วั่งซูจึงเอางูหางกระดิ่งกับงูเห่าให้กับชายชุดดำ “ท่านลุง ของขวัญที่เสี่ยวไป๋ให้ท่านต้องถือไว้ให้ดีนะเจ้าคะ”

ชายชุดดำมองลูกสุนัขที่กินยาพิษเท่าใดก็ไม่ตาย จากนั้นหันไปมองเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่จับงูพิษเหมือนจับไส้เดือน แล้วคำรามในใจ บ้าเอ๊ย นี่มันฝูงสัตว์ประหลาดอะไรกัน!

ชายชุดดำร้องไห้วิ่งลงจากเขา

สถานที่บัดซบเช่นนี้ ให้ตายเขาก็ไม่มีวันมาอีก…

บนยอดเขา บรรยากาศของพวกโจรดูแปลกไปเล็กน้อย

เจินเวยเหมิ่งจอมพลังหนีไปปัสสาวะแล้ว

ตู้ซานเชียนปรมาจารย์แห่งพิษสังหารก็หนีไปปัสสาวะด้วย

เจียงเสี่ยวซื่อเจ้าแห่งอสรพิษยังไม่ทันหนี แต่ก็กำลังจะหนีเหมือนกัน

เสี่ยวเว่ยถามอย่างอกสั่นขวัญแขวน “หะ หัวหน้าค่าย พวกเรายังจะปล้นอยู่หรือไม่”

หัวหน้าค่ายกล่าวด้วยท่าทางกักขฬะว่า “แน่นอนต้องปล้นสิ! แค่เด็กตัวเล็กๆ สองคนเท่านั้น ทำไม พวกเจ้ากลัวแล้วหรือ กลัวก็ไสหัวไป! พวกขี้ขลาด!”

ทันทีที่สิ้นเสียง เจ้าแห่งอสรพิษเจียงเสี่ยวซื่อกับเสี่ยวเว่ยก็เผ่นแน่บหายไปพร้อมกัน

หัวหน้าค่ายมองไปรอบๆ เมื่อแน่ใจว่าทุกคนไปหมดแล้ว สีหน้าขึงขังก็มลายหายไปสิ้นแล้วยกมือลูบขาทั้งสองข้าง

ฮือๆ! ช่างเป็นเด็กน่ากลัวเหลือเกิน น่ากลัวจนเขาแข้งขาอ่อนหมดแล้ว…

เรือนลั่วเหมย กลิ่นหอมของดอกเหมยขจรขจายไปทั่ว

จีเหล่าฮูหยินเอนตัวนั่งพิงบนเตียงนุ่มๆ มีสาวใช้คอยโบกพัดเป็นระยะๆ “อยู่บ้านสบายที่สุดแล้ว”

หรงมามายกผลแตงสดๆ หลากหลายชนิดที่หั่นเรียบร้อยแล้วออกมาวาง จากนั้นคลี่ยิ้มตอบว่า “ใช่เจ้าค่ะ แม้คฤหาสน์จะดี แต่ถึงอย่างไรก็ไม่สบายเหมือนอยู่ที่จวน”

จีเหล่าฮูหยินพูดอย่างเฉยเมย “เหอะ เจ้าเด็กไร้มโนธรรมคงไม่อยากเห็นหน้าข้ามากสินะ เขาเงียบหายไปเลย!”

หรงมามายิ้มแล้วพูดว่า “ดูท่านพูดสิเจ้าคะ ในใจของนายน้อยยอมให้ท่านที่สุดแล้ว ช่วงนี้เขายุ่งอยู่มิใช่หรือ ช่วงก่อนหน้าลงไปเจียงหนานจัดการเรื่องน้ำ จัดการงานได้ครึ่งทางก็ป่วยกลางคัน ไม่กี่วันก่อนเพิ่งจะอาการดีขึ้นบ้างก็ต้องวิ่งไปทั่วอีกแล้ว…”

จีเหล่าฮูหยินพูดขัดนาง “เอาล่ะๆ เจ้าไม่ต้องแก้ตัวแทนเขาแล้ว ข้าเป็นคนเลี้ยงเขามาเอง เขาคิดอะไรอยู่ ข้าจะไม่รู้เชียวหรือ ละครบังหน้าพวกนั้นแสดงให้คนอื่นดูก็พอ คิดปิดบังแม่เฒ่าเช่นข้าคนนี้ ไม่มีทางเสียหรอก!”

หรงมามายิ้มพลางพูดว่า “แล้วท่านคิดว่านายน้อยยุ่งอยู่กับสิ่งใดหรือเจ้าคะ”

จีเหล่าฮูหยินฮึดฮัด “ก็ถูกผู้หญิงสกปรกคนนั้นใช้มารยาล่อลวงไปขลุกอยู่ด้วยกันข้างนอกนั่นน่ะสิ! น่าเสียดายเมื่อก่อนข้าคิดว่าเขาเป็นคนรู้จักยับยั้งชั่งใจ กับคนอื่นข้ามีแต่ต้องเตือนว่าอย่ายุ่งเกี่ยวกับสตรีมากนัก ถนอมร่างกายไว้เสียบ้าง แต่กับเขา ข้ากลับต้องทำตรงกันข้าม ถึงกระนั้นแม้ข้าจะส่งผู้หญิงเข้าไปไว้ในห้องเขาก็ยังไร้ประโยชน์! หญิงสาวในห้องหอดีๆ มีไม่เอา กลับไปยุ่งกับสตรีที่มีลูกแล้ว! ข้ามิใช่คนที่ยอมรับข้อด่างพร้อยของผู้อื่นไม่ได้ เขาจะชอบผู้ใด ต้องการรับผู้ใดเป็นภรรยา ข้าล้วนไม่คัดค้าน แต่จะเป็นคุณหนูใหญ่เฉียวไม่ได้! ผู้หญิงคนนั้นทำเรื่องไร้ยางอายพรรค์นั้น ทำให้จวนตระกูลจีของเราอับอายขายหน้ากันทั้งตระกูล! เขาอย่าหวังว่าข้าจะยอมให้แต่งนางเข้าจวน!”

“เหล่าฮูหยิน ลุงเฉวียนขอพบท่านเจ้าค่ะ” สาวใช้รายงานจากนอกห้อง

จีเหล่าฮูหยินพยักหน้า “ให้เขาเข้ามา”

“เจ้าค่ะ” สาวใช้เปิดผ้าม่าน “ลุงเฉวียน เชิญเจ้าค่ะ”

บุรุษวัยห้าสิบเศษผู้แต่งกายด้วยชุดพ่อบ้านโค้งคำนับก่อนจะเข้ามาในห้อง ชายผู้นี้มีนามว่าจีเฉวียน เขาเป็นขอทานที่เหล่าไท่เหยียเก็บมาจากข้างถนนเมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่น จากนั้นก็เป็นบ่าวรับใช้ของตระกูลจีมาตลอด เขารับใช้เจ้านายตระกูลจีมามากกว่าสี่สิบปี จากขอทานที่ทุกคนด่าทอทุบตีกลายเป็นพ่อบ้านจวนตระกูลจีที่ทุกคนเคารพ ความสามารถและความภักดีของเขานั้นหามีผู้ใดเปรียบได้

แม้ว่าเขาจะภักดีต่อบิดาของจีหมิงซิวผู้เป็นเจ้าตระกูลคนปัจจุบัน แต่คนที่เขาเคารพมากที่สุดยังคงเป็นเหล่าไท่เหยียผู้ล่วงลับไปแล้ว

เหล่าไท่เหยียเป็นห่วงภรรยา ก่อนเขาจากไปได้ฝากฝังให้จีเฉวียนดูแลเหล่าฮูหยินให้ดี ด้วยเหตุนี้สำหรับจีเฉวียนในตอนนี้ เจ้านายลำดับแรกในใจของเขาจึงเป็นเหล่าฮูหยิน

“เหล่าฮูหยิน” จีเฉวียนโค้งคำนับ

จีเหล่าฮูหยินพูดกับหรงมามา “หาเก้าอี้ให้เขาซิ”

หรงมามายกตั่งมาตั้ง

จีเฉวียนเอ่ยอย่างละอายใจ “ข้าน้อยมิกล้าขอรับ”

จีเหล่าฮูหยินกล่าวว่า “ไยจึงมิกล้า เจ้านั่งลงเถิด”

จีเฉวียนลังเลครู่หนึ่งก็โค้งแล้วพูดว่า “ให้ข้าน้อย…ยืนรายงานเถิดขอรับ”

จีเหล่าฮูหยินไม่ฝืนใจอีก นางให้หรงมามาพาสาวใช้ออกไปจากห้องจนหมด เมื่อภายในห้องเหลือกันอยู่เพียงสองคน นางจึงถามอย่างเคร่งขรึม “เป็นอย่างไรบ้าง”

จีเฉวียนส่ายศีรษะด้วยความอับอาย

ดวงตาของจีเหล่าฮูหยินเป็นประกายวาววับ “ทำไม นางไม่ตกลงหรือ”

“มิใช่ขอรับ” จีเฉวียนพูดอย่างยากลำบาก

จีเหล่าฮูหยินขมวดคิ้ว “ถ้าเช่นนั้นเกิดอันใดขึ้น เจ้าอย่าอึกอัก ตกลงว่านางจะเอาอย่างไร เจ้าพูดมาตามความจริง!”

จีเฉวียนอ้าปากเอ่ยเสียงแผ่วเบา “มิใช่ว่านางเรียกร้องสิ่งอื่น แต่…ภารกิจล้มเหลวขอรับ”

“อะไรนะ” จีเหล่าฮูหยินไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าบอกว่าส่งองครักษ์ที่วรยุทธ์สูงส่งและฉลาดที่สุดในจวนไปจัดการนางมิใช่หรือ เช่นนี้แล้วจะล้มเหลวอีกหรือ ล้มเหลวได้อย่างไร”

จีเฉวียนไม่รู้จะอธิบายอย่างไร

จีเหล่าฮูหยินถามว่า “ผู้หญิงคนนั้นเป็นวรยุทธ์หรือ”

“องครักษ์บอกว่ายังไม่ได้พบกับนาง จึงไม่แน่ใจว่านางมีวรยุทธ์หรือไม่”

จีเหล่าฮูหยินยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากขึ้น “เจ้าหมายความว่าเจ้าส่งองครักษ์ฝีมือดีที่สุดไปจัดการนาง แต่ยังไม่ทันเจอนาง ภารกิจก็ล้มเหลว จีเฉวียน คงไม่ใช่ว่าหมิงซิวสัญญาว่าจะให้ผลประโยชน์อะไรกับเจ้ากระมัง เจ้าจึงแกล้งข้าเช่นนี้”

เป็นเช่นนั้นก็ดีสิ องครักษ์ที่เขาส่งไปคือคนที่เขาไว้ใจที่สุด ตอนขาไปสภาพแข็งแรงสมบูรณ์ทุกประการ แต่ขากลับกระดูกซี่โครงหักหลายซี่

แต่เดิมหักสองซี่เท่านั้น แต่เขาตกใจมาก ระหว่างวิ่งลงจากภูเขาจึงสะดุดล้มอย่างแรง ไม่เพียงแต่ใบหน้าฟกช้ำเท่านั้น แต่ซี่โครงยังหักเพิ่มอีกสองซี่ด้วย

สมองก็เหมือนจะเลอะเลือน กลับมาก็เอาแต่พูดถึงสุนัขที่โดนวางยาพิษแล้วไม่ตาย เด็กที่พละกำลังมากมายดั่งโคถึก…

จีเฉวียนปวดใจนัก หากเขารู้แต่แรกว่างานนี้จะตึงมือเช่นนี้ เขาคงยอมจ่ายเงินจ้างนักฆ่าจากยุทธภพแล้ว จะได้ไม่ต้องเสียทหารที่เขาอุตส่าห์ฝึกฝนมานานไปเปล่าๆ

บนภูเขา เฉียวเวยไม่รู้ว่าบ้านของนางถูก ‘องครักษ์’ ของจวนตระกูลจีมา ‘เยี่ยม’ นางกำลังตรวจอาการป่วยของชีเหนียงอยู่ในห้องของอากุ้ยกับชีเหนียง หลังจากตรวจชีพจรของชีเหนียงเสร็จแล้ว นางก็บอกชีเหนียงกับอากุ้ยว่า “เป็นอาการปวดระดูเนื่องจากภาวะเลือดลมพร่อง ไม่จำเป็นต้องกินยา แต่ระวังเรื่องอาหารที่ทานทุกวันก็พอ ต้องดื่มชาขิงน้ำตาลทรายแดงวันละหนึ่งถ้วยทุกวัน ทานอาหารรสอ่อน งดอาหารรสจัด”

กู้ชีเหนียงยิ้มอย่างอ่อนแรง “ขอบคุณฮูหยิน ตัวข้าเองก็รู้ว่ามันไม่ใช่โรคร้ายแรง ข้าเคยชินกับมันมาหลายปีแล้ว แต่อากุ้ยทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ จะเชิญหมอมาให้ได้”

เฉียวเวยพูดเสียงเรียบ “ข้าตรวจให้โดยไม่คิดเงินก็เมตตามากพอแล้ว ไม่ต้องมาโปรยอาหารสุนัขต่อหน้าข้า[1]!”

กู้ชีเหนียงอึ้ง โปรยอาหารสุนัขคืออะไร

อากุ้ยไปส่งเฉียวเวยกลับบ้าน

ในคฤหาสน์ เด็กน้อยสองคนเล่นจนพอใจแล้วก็ขึ้นไปนอนบนเตียงอย่างสบายอุรา เมื่อเฉียวเวยเปิดประตูเข้ามาก็เห็นเด็กน้อยสองคนนอนกอดกันกลม ลมหายใจสม่ำเสมอ ขับเน้นให้ค่ำคืนนี้แลดูสงบสุขยิ่งนัก

ด้านจีเฉวียน หลังจากที่ภารกิจล้มเหลว เหล่าไท่ไท่ไม่ได้ล้มเลิกแผนการขับไล่เฉียวเวยทันที ในความเห็นของนาง หลานชายสุดรักสุดหวงของนางเป็นหลานชายคนโตของตระกูลจี เป็นอัครมหาเสนาบดีของราชวงศ์นี้ เป็นผู้ที่มีอนาคตสดใส นางจะไม่ปล่อยผู้หญิงสกปรกมาฉุดเขาลงต่ำแน่นอน ในเมื่อจีเฉวียนจัดการนางไม่ได้ นางก็จะออกโรงด้วยตนเอง!

นางไม่เชื่อว่านางจะรับมือเด็กสาวที่ถูกทอดทิ้งจากจวนเอินปั๋วไม่ได้!

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เฉียวเวยได้รับจดหมายจากหญิงสาวผู้ปิดบังใบหน้าคนหนึ่ง นางแต่งตัวเหมือนสาวใช้ของตระกูลร่ำรวย

เฉียวเวยมองจดหมายที่หญิงสาวส่งมาให้ “ผู้ใดส่งมา”

“เจ้านายของข้า” เสียงของหญิงสาวไพเราะน่าฟัง

เฉียวเวยเลิกคิ้วถาม “ผู้ใดคือเจ้านายของเจ้า”

หญิงสาวตอบว่า “ฮูหยินอ่านจดหมายก็จะทราบเอง”

ให้อ่านดูเองหรือ ท่าทางดูมีลับลมคมใน แค่มองก็รู้แล้วว่ามีเจตนาไม่ดี ผู้ใดจะรู้ว่าในจดหมายมียาพิษหรือไม่

เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ข้าอ่านไม่ออก”

หญิงสาวโกรธ “คุณหนูตระกูลเฉียวจะไม่รู้อักษรได้อย่างไร”

เฉียวเวยแค่นเสียงหยัน “ก็ข้าอ่านไม่ออก ทำไม เจ้าจะตีข้าหรือ!”

“เจ้า…” หญิงสาวพูดไม่ออก นางกัดริมฝีปากอยู่นาน แม้ทราบดีว่าอีกฝ่ายจงใจกลั่นแกล้ง แต่พอนึกถึงจุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ นางก็เปิดจดหมาย “ข้าจะอ่านให้เจ้าฟัง…”

โชคดีที่ให้หญิงสาวนางนี้อ่าน เพราะในเนื้อความของจดหมายมีคำโบราณกองพะเนิน พร่ำพรรณนายืดยาวรวมๆ แล้วสามแผ่น สงสัยจริงๆ ว่านี่มันเรียงความแปดส่วนจากการสอบเคอจวี่หรือเปล่า

“หมายความว่าอย่างไร” เฉียวเวยไม่เข้าใจ

ใบหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นสีแดง “หมายความว่า…หมายความว่าเจ้านายของข้านัดเจ้าไปพบที่วัดหันซานตอนบ่าย เพื่อพูดคุยเรื่องระหว่างเจ้ากับนายน้อยของข้า!”

“เจ้านายของเจ้า นายน้อยของเจ้า…” ดวงตาของเฉียวเวยกลอกไปมา “ผู้ใหญ่ของหมิงซิวหรือ”

กล้าดีอย่างไรมาเรียกชื่อของนายน้อยตรงๆ!

หญิงสาวตอบอย่างโกรธเคือง “ใช่”

ดังนั้นเรื่องระหว่างนางกับหมิงซิวล่วงรู้ไปถึงหูครอบครัวของหมิงซิวแล้วอย่างนั้นหรือ ดูจากท่าทางไม่เห็นนางอยู่ในสายตาของหญิงสาวคนนี้ก็พอจะเดาได้ว่าครอบครัวของเขาไม่เห็นด้วยนักที่ลูกชายสุดที่รักของตนมาติดพันหญิงม่ายมีลูกติดเช่นนาง

เฉียวเวยรับจดหมายมาแล้วถามอย่างเกียจคร้าน “วัดหันซานไหนเล่า”

หญิงสาวตะโกน “จะวัดไหนอีก ในราชวงศ์ต้าเหลียงมีวันหันซานอยู่แห่งเดียว! คือวัดที่อยู่ในเมืองหลวง!”

“อ๋อ เมืองหลวง” จดหมายที่เหล่าฮูหยินตรากตรำเขียนด้วยตัวเองทั้งคืนกว่าจะกลายเป็นจดหมายที่ซาบซึ้งสะเทือนใจฉบับนี้ถูกเฉียวเวยจัดการพับเป็นเครื่องบินกระดาษอย่างไม่แยแส “มีเงินค่าเดินทางไปกลับหรือไม่ หากมีก็จะไป”

หญิงสาว “…”

ณ วัดหันซาน จีเหล่าฮูหยินรออยู่ในเรือนข้างมาเป็นเวลานานแล้ว นางเขียนจดหมายทั้งคืนด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่าน บอกให้แม่สาวน้อยคนนั้นทราบว่าตนเองเลี้ยงดูหลานชายมายากลำบากเช่นไร แล้วจะปล่อยให้อนาคตของหลานชายนางเสียหายไม่ได้ด้วยเหตุใด รากฐานหลายร้อยปีของตระกูลจีจะตกไปอยู่ในมือของหลานชายนอกสมรสไม่ได้เพราะอันใด…

หลังจากที่เขียนเสร็จก็นอนไม่หลับ จึงพาคนไปวัดหันซานตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง

ไม่รู้ว่าแม่สาวน้อยคนนั้นได้รับจดหมายแล้วหรือยัง แล้วนางจะกล้ามาตามนัดหรือไม่

หรงมามาทำความสะอาดห้องรอบหนึ่ง แล้วประคองหญิงชรานั่งลง “ท่านพักผ่อนสักครู่ก่อนเถิดเจ้าค่ะ เมื่อคนมาถึงแล้วข้าจะเรียกท่านเอง”

จีเหล่าฮูหยินนวดคลึงศีรษะที่ปวดร้าว “ไม่ล่ะ หากไม่กำจัดเนื้อร้ายนี้ออกไป ข้าคงนอนไม่หลับ”

เมื่อเห็นใบหน้าที่เหนื่อยล้าของหญิงชรา หรงมามาก็ถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย “ไยท่านต้องลำบากเช่นนี้เจ้าคะ แค่สตรีนางหนึ่งเองมิใช่หรือ ตอนนี้นายน้อยชอบนาง ผ่านไม่ไปกี่วัน มีหญิงสาวคนใหม่เข้ามาก็อาจเลิกชอบก็เป็นได้ ถึงเวลานั้นท่านไม่ต้องลงมือ นายน้อยก็คงไล่นางออกไปเอง”

จีเหล่าฮูหยินดุว่า “สมัยบิดาของเขา ข้าก็คิดเช่นนี้! แล้วผลเป็นอย่างไร บิดาของเขาก็ยังได้แต่งกับองค์หญิงเจาหมิงมิใช่หรือ ตอนนั้นข้าละเลยไม่ได้ป้องกัน ครั้งนี้ข้าจะไม่ทำผิดซ้ำอีก! “

หรงมามาไม่พูดอะไรอีก

จีเหล่าฮูหยินมองหญิงรับใช้ท่าทางแข็งแรงที่ยืนเรียงรายอยู่เต็มห้อง “ประเดี๋ยวคอยดูสัญญาณจากข้าแล้วค่อยลงมือ หากแม่สาวน้อยนั่นไม่รู้จักรับเจตนาดีของผู้อื่น ก็จับนางมัดแล้วไปส่งที่จวนยิ่นอ๋อง! ยายแก่อย่างข้ายินดีมอบน้ำใจครั้งนี้แก่ยิ่นอ๋อง”

หรงมามาท้วงว่า “เหล่าฮูหยินเจ้าคะ ทำเช่นนี้จะมากเกินไปหรือไม่ หากนายน้อยทราบว่าท่านจัดการกับคนรักเขาเช่นไร…”

จีเหล่าฮูหยินพูดอย่างหมดหนทาง “ข้าก็ไม่อยากทำเกินไปเช่นนี้ แต่ข้าจะทำอย่างไรได้ ตอนมีสัญญาแต่งงานกับหมิงซิว นางไม่เห็นค่ากลับวิ่งไปติดพันยิ่นอ๋อง ตอนนี้หมิงซิวทำลายสัญญาแต่งงานกับตระกูลเฉียวแล้ว แต่นางกลับหน้าด้านจะแต่งเข้าตระกูลจีของเรา ข้าไม่มีทางยอมให้ใครมาหลอกหลานข้าเล่นเหมือนเป็นลิงกังเช่นนี้! เจ้าอย่ากังวลมากไป หากนางรู้จักดูสถานการณ์ ยอมเชื่อที่ข้าบอก ข้าไม่เพียงแต่จะไม่สร้างความลำบากให้นาง แต่ยังจะมอบเงินมากมายให้นางตั้งตัว ให้ชีวิตที่เหลืออยู่ของนางไม่ต้องกังวลเรื่องกินเรื่องอยู่ แต่หากยังดื้อดึงก็อย่าหาว่ายายแก่อย่างข้าไม่เกรงใจ!”

เฉียวเวยให้สาวใช้ตระกูลจีจ่ายค่ารถม้าห้าตำลึงเงิน จ้างรถม้าที่หรูหราที่สุดพาไปวัดหันซาน

แต่วัดหันชานตั้งอยู่บนเขา ทางขึ้นเป็นขั้นบันได รถม้าไม่สามารถขึ้นไปได้ ดังนั้นเฉียวเวยจึงต้องลงรถเดินไปเอง

ในที่สุดเฉียวเวยก็ขึ้นไปถึงบนภูเขาและได้เห็นวัดในตำนาน วัดโบราณก็ไม่เห็นต่างจากวัดสมัยปัจจุบันสักเท่าใด อาคารวิจิตรงดงาม ขื่อคานเรียงซ้อนปลายหลังคาโค้ง ควันธูปลอยวนอ้อยอิ่ง เสียงสวดมนต์ดังไม่ขาดสาย เมื่อเทียบกับบ้านส่วนใหญ่ที่คุณภาพการก่อสร้างค่อนข้างล้าหลัง ระดับสถาปัตยกรรมของวัดดูเหมือนจะสูงยิ่งนัก

เฉียวเวยไม่เคยเชื่อในพุทธศาสนา แต่เมื่อวิญญาณทะลุมิติมาเข้าร่างนี้ นางก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าผู้ใดจะมีความสามารถทำเช่นนี้ได้อีกนอกจากเทพเจ้าและพระพุทธองค์

นางยืนอยู่หน้าประตู พนมมือทั้งสองข้างและทำความเคารพด้วยความเลื่อมใสศรัทธา

ในห้องพัก จีเหล่าฮูหยินลุกขึ้นยืนและพูดว่า “ข้าจะไปห้องน้ำ”

หรงมามาจึงว่า “ข้าจะพาท่านไปเจ้าค่ะ”

จีเหล่าฮูหยินโบกมือ “ไม่ต้อง เจ้ารออยู่ที่นี่แทนข้า ถ้าผู้หญิงคนนั้นมาก็ข่มขู่นางสักยก! ข้าอยากให้นางรู้ว่าคนตระกูลจีไม่ใช่จะมาหาเรื่องกันได้ง่ายๆ! จูเอ๋อร์ เจ้าตามข้ามา”

“เจ้าค่ะ” สาวใช้หน้าตาหมดจดประคองจีเหล่าฮูหยินออกจากห้อง

จีเหล่าฮูหยินเดินออกจากห้องพักก็บังเอิญพบกับเฉียวเวยที่กำลังหาคนถามทางพอดี “เหล่าฮูหยิน ข้าขอถามทางท่านได้หรือไม่…หือ ท่านเองหรือ”

เฉียวเวยจำหญิงชราที่เคยมีวาสนาพบกันครั้งหนึ่งผู้นี้ได้

จีเหล่าฮูหยินไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนมากนัก นางเพียงไม่ได้นอนมาทั้งคืนจึงดูเหนื่อยล้าอยู่บ้างและดวงตาแดงก่ำเล็กน้อย

แต่เฉียวเวยเปลี่ยนไปมาก ตอนที่พบนางครั้งแรก นางเป็นหญิงสาวชาวบ้านสวมเสื้อผ้าปะชุนทั้งตัว แต่ตอนนี้นางกลายเป็นคุณหนูผู้งดงาม ใบหน้าโฉมสะคราญเรือนร่างอรชร จีเหล่าฮูหยินใช้เวลานานกว่าจะจำนางได้ “ผู้…ผู้…”

เฉียวเวยยิ้มเล็กน้อย “เหล่าไท่ไท่ ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่ข้าได้พบท่านที่นี่”

จีเหล่าฮูหยินไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เจอกับผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตตัวเองในวันนั้น นางจับมือของเฉียวเวยด้วยความตื่นเต้น “ผู้…ผู้…ผู้…ผู้…”

‘ผู้’ อยู่นาน แต่พูดไม่จบคำเสียที

เฉียวเวยเริ่มตระหนักว่ามีบางสิ่งผิดปกติ “เหล่าไท่ไท่ เหล่าไท่ไท่ ท่านเป็นอันใดเจ้าคะ”

หญิงชรารู้สึกตื่นเต้นมากเกินไป จึงเป็นลมไปเสียแล้ว…

[1] โปรยอาหารสุนัข เป็นการเปรียบเปรยว่า แสดงความรักให้คนอิจฉา