ตอนที่ 250 สุนัขตัวหนึ่ง

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 250 สุนัขตัวหนึ่ง
จี้หลางหวากล่าวอย่างสะเทือนอารมณ์ ชี้นิ้วไปยังคนต่างถิ่นที่มากระจายข่าวเรื่องไป๋ชิงเหยียนกระหายสงคราม

“พวกเจ้าเคยออกรบเพื่อชาวบ้านต้าจิ้นบ้างหรือไม่! พวกเจ้าลองนำทัพห้าหมื่นนายไปต่อสู้กับกองทัพนับแสนดู ว่าพวกเจ้าจะกล้าไว้ชีวิตทหารยอมจำนนเหล่านั้นหรือไม่! หากพวกเจ้ากล้า! วันนี้ข้าจะพาพวกเจ้าไปหารัชทายาท ให้พวกเจ้ากล่าวต่อหน้าพระองค์ว่าพวกเจ้าสามารถเอาชนะกองทัพนับแสนได้ด้วยกำลังทหารเพียงห้าหมื่นนาย อีกทั้งยังสามรถชนะได้ด้วยการไว้ชีวิตทหารยอมจำนนที่เหลืออยู่นับแสนอีกด้วย หากพวกเจ้ากล้า! ข้าจี้หลางหวาจะยอมตายเพื่อชดใช้ความผิดนี้ พวกเจ้ากล้าหรือไม่!”

คนที่ถูกเริ่นซื่อเจี๋ยส่งมาปล่อยข่าวเรื่องไป๋ชิงเหยียนกระหายสงครามเริ่มหวั่นวิตก พวกเขาถอยหลังหนี ทว่า ถูกจี้หลางหวาชี้หน้าด่า ถูกชาวบ้านห้อมล้อม พวกเขาอยากหนีแต่ก็หนีไปไม่ได้

“เรื่องสังหารทหารยอมจำจนเพื่อแก้แค้นให้ตระกูลไป๋ล้วนเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ! เสี่ยวไป๋ไซว่สังหารทหารยอมจำนนของซีเหลียงเหล่านั้นเพื่อปกป้องชาวบ้านที่อยู่ติดชายแดนอย่างพวกเราต่างหาก! คนซีเหลียงกระหายสงคราม หลายปีมานี้มีครั้งใดบ้างที่ซีเหลียงไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มบุกแคว้นต้าจิ้นก่อน หากไว้ชีวิตทหารซีเหลียงเหล่านั้น เมื่อเสี่ยวไป๋ไซว่จากไป พวกมันย่อมรุกรานแผ่นดินของเราต่อ หากถึงเวลานั้นแคว้นต้าจิ้นไม่มีทหารที่สามารถต้านทานซีเหลียงได้ คนที่ต้องตายไม่ใช่ชาวบ้านอย่างพวกเราหรืออย่างไร คนที่ถูกข่มเหงย่ำยีไม่ใช่ลูกเมียของพวกเราหรืออย่างไร! เป็นเทพสังหารแล้วมันอย่างไร! เทพสังหารก็คือเทพที่ปกป้องคุ้มครองชาวบ้านแถบขายแดนของแคว้นต้าจิ้น เสี่ยวไป๋ไซว่คือเทพที่คอยปกป้องคุ้มครองชาวบ้านแคว้นต้าจิ้นอย่างพวกเรา!”

“วันนี้ข้า จี้หลางหวาขอกล่าวไว้ตรงนี้เลยว่าหากผู้ใดกล่าวว่าเสี่ยวไป๋ไซว่โหดร้ายอีก โรงหมอเฉ่าอันของข้าจะไม่รักษาอาการเจ็บป่วยและจ่ายยาให้แก่คนเนรคุณเช่นนี้อีก!”

ชาวบ้านบางคนสะเทือนใจกับคำกล่าวของจี้หลางหวา ความรู้สึกซาบซึ้งท่วมท้น ตะโกนออกมา “นั่นนะสิ ผู้อื่นจะกล่าวอย่างไรก็เป็นเรื่องของพวกเขา กองทัพไป๋และแม่ทัพไป๋สละชีพช่วยชีวิตชาวบ้านอำเภอเฟิงอย่างพวกเราเอาไว้ พวกเราเชื่อแค่ผู้มีพระคุณของเรา!”

“หากเสี่ยวไป๋ไซว่ไม่สังหารทหารยอมจำนนเหล่านั้น ตอนนี้พวกเราคงไม่ได้กลับมาที่บ้านเกิดเช่นนี้หรอก!” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งถลกแขนเสื้อขึ้น จับคนที่มากระจายข่าวลือเอาไว้ ตะคอกออกมา

“คนพวกนี้ต้องเป็นสายลับของแคว้นศัตรูแน่นอน พวกเราจับพวกมันไปส่งให้ทางการเถิด ให้ทางการสืบประวัติของพวกนี้อย่างละเอียด!”

“พวกเจ้าจะทำสิ่งใด ไอ้คนบ้านนอกพวกนี้! พวกเข้าเป็นเพียงพ่อค้าที่เดินผ่านทางมาแล้วกล่าวขึ้นลอยๆ เท่านั้น พวกเจ้าจะทำอันใด! ปล่อยนะ ปล่อยเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าไม่รู้จักกฎเกณฑ์ของบ้านเมืองเลยหรืออย่างไร”

ไป๋จิ่นจื้อยืนมองจี้หลางหวาและชาวบ้านที่เตรียมจับตัวคนที่มาก่อเรื่องเหล่านั้นไปส่งทางการอยู่ริมหน้าต่างบนชั้นสองของโรงเหล้า ดวงตาของนางร้อนผ่าว นางหันไปมองพี่หญิงใหญ่ที่มีสีหน้าเรียบเฉย กล่าวอย่างสะอื้น “พี่หญิงใหญ่…”

“อื้อ” ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้าน้อยๆ เข้าใจดีว่าไป๋จิ่นจื้อรู้สึกซาบซึ้ง

ชาวบ้านแถบชายแดนทุกข์ทรมานจากการรุกรานของซีเหลียง ย่อมไม่หลงกลคนที่มายุแยงอย่างแน่นอน

ทว่า ชาวบ้านที่อยู่สุขสบายในเมืองที่เจริญแล้วอาจไม่คิดเช่นนี้ ในเมื่อมีคนมาปล่อยข่าวลือที่อำเภอเฟิง แสดงว่าตลอดทางที่เดินทางกลับต้องมีคนรู้เรื่องที่นางสังหารทหารยอมจำนนมากขึ้นกว่าเดิมแน่นอน

การทำลายกองทัพที่ร่วมมือกับของซีเหลียงและหนานเยี่ยนในสงครามที่หนานเจียงครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นรัชทายาท จักรพรรดิต้าจิ้น หรือแม้แต่ซีเหลียงล้วนอยากใช้เรื่องการสังหารทหารยอมจำนนทำให้ชาวบ้านและทุกแคว้นได้รับรู้ว่านางเป็นคนกระหายสงคราม เช่นนี้คุณงามความดีของตระกูลไป๋จะได้แปดเปื้อนไปด้วย

เทพสังหาร…ช่างเป็นสมญานามที่ยิ่งใหญ่เสียจริง

โพนทะนาไปทั่วทุกแคว้นยังไม่เพียงพอ ยังป่าวประกาศให้คนในแคว้นต้าจิ้นได้รับรู้ด้วย

ดูเหมือนว่านางจะเดาจุดประสงค์ของรัชทายาทได้ ขณะสร้างมลทินให้แก่ตระกูลไป๋ รัชทายาทคงอยากออกโรงปกป้องนางในตอนที่นางถูกทุกคนรังเกียจ เช่นนี้นางจะได้จงรักภักดีต่อเขาอย่างไม่มีข้อแม้

ไป๋ชิงเหยียนหรี่ตาแคบลง การยื่นมือเข้าช่วยเหลือและทำดีกับนางตอนที่นางสิ้นหวังที่สุด จะทำให้นางซาบซึ้งในบุญคุณของเขายิ่งกว่าเวลาใดทั้งสิ้น

วิธีที่รัชทายาทใช้กับนางช่างเหมือนกับวิธีที่เหลียงอ๋องใช้กับนางไม่มีผิดเพี้ยน

ที่จริงหลังจากที่สองแคว้นทำสัญญาสงบศึกกันเสร็จสิ้น นางก็เอาแต่คิดว่าขนาดขุนนางที่จงรักภักดีอย่างท่านปู่ของนาง ฮ่องเต้ยังไม่อยากเก็บไว้ เช่นนั้นพวกเขาต้องการขุนนางเช่นใดกันแน่!

หญิงสาวคิดว่าพวกเขาคงอยากได้ขุนนางที่เก่งกาจและสามารถออกรบปกป้องบ้านเมืองได้ ที่สำคัญขุนนางผู้มีความสามารถผู้นี้ต้องเชื่อฟังพวกเขาเพียงอย่างเดียว…ซื่อสัตย์ราวกับสุนัข ห้ามขัดขืน ห้ามอยากได้อำนาจ ห้ามมีชื่อเสียง ห้ามมีปณิธานและความศรัทธา ในหัวสมองมีแต่ผลประโยชน์ของพวกเขาอย่างเดียวเท่านั้น สามารถสละชีพเพื่อเกียรติยศของพวกเขาได้ ในหัวสมองต้องมีแต่ความจงรักภักดีต่อพวกเขาเท่านั้น

จงรักภักดีถึงขนาดที่…หากพวกเขาให้ขุนนางผู้นี้สังหารบุตรชาย ขุนนางผู้นี้ต้องนำแม้แต่ศีรษะของบุตรสาวมาถวายให้พวกเขา พวกเขาให้ขุนนางสังหารบิดา ขุนนางก็ต้องนำศีรษะของบิดามารดามากองไว้ตรงหน้าของพวกเขา ต้องปฏิบัติตนราวกับสุนัขที่เอาแต่ส่ายหางดุกดิกเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเจ้าของ สื่อให้เจ้าของเห็นถึงความซื่อสัตย์ของมัน

หึ…

ดังนั้นในสายตาของจักรพรรดิแห่งแคว้นต้าจิ้น การตายของตระกูลไป๋ ล้วนเป็นเพราะพวกเขาทำตัวเองทั้งสิ้น ในสายตาของซิ่นอ๋อง เป็นเพราะตระกูลไป๋ไม่รู้จักเจียมตัว!

เป็นเพราะตระกูลไป๋หยิ่งทระนงศักดิ์ศรีของตัวเอง ไม่ได้โอนอ่อนตามทิศทางของอำนาจดังเช่นขุนนางคนอื่นในราชสำนัก

เพราะในใจของพวกเขามีบ้านเมืองและชาวบ้าน ไม่ใช่จักรพรรดิ

เพราะชื่อเสียงของพวกเขามากล้นเหนือจักรพรรดิ แถมยังไม่กลัวตาย

คนตระกูลไป๋ควรโทษตัวเอง ฮ่องเต้คงคิดเช่นนี้สินะ

เกิดในแคว้นต้าจิ้น มีจักรพรรดิเช่นนี้ บัดนี้นางยังไม่มีความสามารถที่จะขัดขืนได้ ทว่า นางไม่อาจปล่อยวางความคิด ปณิธานและศักดิ์ศรีของตัวเองลง แล้วทำตัวเป็นเพียงสุนัขตัวหนึ่งได้

ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงวางแผนเพื่อให้ได้ใจของรัชทายาท ให้เขาได้เห็นขุนนางที่จงรักภักดีคนหนึ่ง ขุนนางที่จักรักภักดีแต่มักถูกเข้าใจผิดเพราะศักดิ์ศรีของตัวเอง!

เช่นนี้ นางจึงจะสามารถหลอกใช้รัชทายาทได้

“ไปเถิด เราควรกลับไปรวมกับขบวนได้แล้ว!” ไป๋ชิงเหยียนหันหลังให้หน้าต่าง

ไป๋จิ่นจื้อหันกลับไปมองแวบหนึ่ง เห็นจี้หลางหวาเดินลงไปจากบันไดเตรียมเดินตามชาวบ้านที่จับกุมตัวคนเหล่านั้นไปส่งให้ทางการ จากนั้นสาวน้อยก็รีบเดินตามหลังพี่หญิงใหญ่ไปทันที

เมื่อเดินออกมาจากโรงเหล้า ชาวบ้านบนถนนยังทะเลาะกันเรื่องข่าวลือที่พ่อค้าต่างถิ่นมากระจายไม่หยุดหย่อน ต่างตะโกนว่าจะไปฟ้องร้องจวนว่าการ ให้ทางการสืบว่าคนที่มาใส่ร้ายเสี่ยวไป๋ไซว่เหล่านี้เป็นสายลับของศัตรูใช่หรือไม่

ไป๋จิ่นจื้อเห็นพี่หญิงใหญ่ก้าวขึ้นหลังม้า ทำราวกับไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้น สาวน้อยรีบกระโดดขึ้นหลังม้าและควบตามหลังพี่หญิงใหญ่ไปทันที

เด็กชายอายุสิบขวบกำลังช่วยงานชายฉกรรจ์ที่แบกไม้อยู่ใต้กำแพง ขณะที่เขาเดินถือถ้วยชาและชามเปล่าไปเติมน้ำที่โรงน้ำชา เขาเผชิญหน้ากับไป๋ชิงเหยียนที่ขี่ม้าผ่านไปพอดี เด็กชายที่ร่างเต็มไปด้วยเหงื่อชะงักฝีเท้าลงทันที เขาชะเง้อคอมอง ดวงตาสีดำที่ใสบริสุทธิ์ราวกับน้ำฝนจ้องไปยังไป๋ชิงเหยียนที่ขี่ม้าผ่านหน้าเขาไปเขม็ง จู่ๆ เด็กชายก็วิ่งกลับไปยังโรงน้ำชา กระแทกชามเปล่าลงบนโต๊ะอย่างแรง จากนั้นรีบไปกระตุกชายเสื้อของชายชราที่กำลังต้มชาอยู่ “ท่านปู่!”

ชายชราหันมามอง เห็นหลานชายของตัวเองชี้ไปยังประตูเมือง เขาจึงมองตามไป

“เสี่ยวไป๋ไซว่! ผู้มีพระคุณ เสี่ยวไป๋ไซว่!” เด็กชายตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น

ชายชรามองไปยังแผ่นหลังผอมเพรียวที่อยู่บนหลังม้า ดวงตาของเขาไหววูบ

ไป๋จิ่นจื้อตามไป๋ชิงเหยียนออกมาจากเมือง เมื่อนึกได้ว่าตนไม่มีโอกาสพบหน้าพี่ชายเก้าไป๋ชิงอวิ๋นก็อดเสียดายไม่ได้

“พี่ชายเก้าไปภูเขาผานหลัว ไม่รู้ว่าท่านอาจารย์กู้อีเจี้ยนจะยังรับลูกศิษย์อยู่หรือไม่ หากท่านอาจารย์ไม่รับ พี่ชายเก้าจะทำเช่นไรเจ้าคะ เพราะ…”