บทที่ 341 ลากถ่วง
บทที่ 341 ลากถ่วง
องค์หญิงเจ็ดมองเหล่าคนหนุ่มมากพรสวรรค์ที่ยืนเรียงรายในโถงใหญ่ สุดท้ายก็เอ่ยกับจักรพรรดิชราว่า “เสด็จพ่อ ลูกไม่ถูกใจเลยแม้แต่คนเดียวเพคะ”
คำพูดขององค์หญิงเจ็ด ทำให้คนหนุ่มเหล่านี้อับอายในใจ พวกเขาไม่ใช่คนทั่วไป ชาติกำเนิดไม่ต่ำเตี้ย สถานะทางตระกูลเกี่ยวข้องกับราชสำนัก เป็นขุนนางยศสูง ในเมืองหลวงถือเป็นคนหนุ่มที่พร้อมสืบทอดตระกูล พวกเขาถือเป็นแถวหน้าในหมู่คนรุ่นเดียวกัน ทว่ายามอยู่ตรงหน้าองค์หญิงเจ็ด กลับกลายเป็นว่าพวกเขาไม่ควรค่า นางไม่มองพวกเขาแม้แต่น้อย
ทว่ายามนึกถึงสถานะขององค์หญิงเจ็ด นางก็มีคุณสมบัติพอจะมองพวกเขาเช่นนั้นจริง อีกทั้งพวกเขายังไม่อาจโต้แย้งใดได้
“ไม่มีเลยหรือ?” จักรพรรดิขมวดคิ้ว “พวกเขาต่างก็ถือเป็นคนหนุ่มที่มีพรสวรรค์ในเมืองหลวง ไม่ชอบเลยสักคนหรือ?”
“ไม่เพคะ ไม่มีเลยสักคน” องค์หญิงเจ็ดส่ายหน้าตอบรับ
จักรพรรดิชรามององค์หญิงเจ็ดครู่หนึ่ง ก่อนตอบกลับ “ไม่ใช่ว่าลูกไม่ชอบ แต่ลูกไม่มองเลยต่างหาก ลูกไม่อยากแต่งงานใช่หรือไม่?”
“เสด็จพ่อ…” เมื่อเห็นว่าความแตก องค์หญิงเจ็ดจึงแสดงท่าทีแง่งอนออกมา “ไม่ใช่ลูกไม่อยากแต่งงาน แต่ลูกไม่อยากอยู่ห่างจากเสด็จพ่อเพคะ”
“ต่อให้แต่งงานแล้ว ลูกก็กลับมาพบพ่อที่พระราชวังเมื่อไหร่ก็ได้” จักรพรรดิชราตอบคำกลับ “เมื่อใดที่ลูกแต่งงาน ก็จะมีอีกคนหนึ่งที่รักและคอยดูแลลูก ไม่ใช่เรื่องดีหรอกหรือ?”
“ไม่ดีเพคะ! ลูกไม่อยากให้คนอื่นมารัก ห่วงใย หรือดูแลอะไรลูก ลูกมีแค่เสด็จพ่อก็พอแล้วเพคะ” องค์หญิงเจ็ดบุ้ยปากตอบรับ
“เรื่องนี้มันต่างกัน ไม่ใช่พ่ออยากปล่อยลูกออกไปข้างนอก แต่ลูกต้องโตขึ้น ไม่ช้าก็เร็ว ลูกต้องแต่งงาน มีครอบครัว มีทายาท” จักรพรรดิชรากล่าวตอบ “หลังจากวันนี้ ลูกก็อายุสิบแปดถ้วน มันถึงเวลาแล้ว”
จากนั้นจักรพรรดิชราก็ไม่รอให้องค์หญิงเจ็ดเอ่ยคำใดอีก แต่เลือกที่จะหันกลับไปมองเหล่าคนหนุ่มที่ยืนเรียงรายใจกลางโถงใหญ่พร้อมเอ่ยคำ “พวกเจ้าทุกคนจงแนะนำตัวออกมา มีความสามารถอะไร เวลาว่างชอบทำอะไร หรืออะไรก็ได้ที่จะทำให้ฉีเอ๋อร์ของข้ารู้จักพวกเจ้ามากขึ้น”
“พ่ะย่ะค่ะ!” กลุ่มคนต่างตอบรับ
จากนั้น พวกเขาก็เริ่มออกมาแนะนำตัวเองกันทีละคน ช่วงเวลาที่พวกเขาแนะนำตัว บางคนก็พูดเรื่องของตนเอง บ้างก็กล่าวว่าเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ แต่แท้จริงแล้ว หลายคนในโถงแห่งนี้ทราบดีว่าความสามารถของพวกเขาเป็นเช่นไร
องค์หญิงเจ็ดบุ้ยปากขณะมองคนหนุ่มเหล่านี้แนะนำตัวเองด้วยท่าทีโกรธเคือง ในใจของนางกำลังต่อว่าพวกเขาที่ไม่รู้ความ ไม่เห็นหรือไรว่าองค์หญิงผู้นี้ไม่ได้อยากฟัง?
ขณะพวกเขาพูดไปเรื่อย ๆ องค์หญิงเจ็ดก็มีแต่จะไม่เชื่อในคำพูดเหล่านั้น แม้นางจะไม่ค่อยได้ออกไปนอกวังหลวงสักเท่าใด แต่ตลอดมาก็สงสัยเรื่องนอกวัง อีกทั้งที่เมืองหลวงแห่งนี้ นางยังมีพี่หญิงน้องหญิงที่รู้จัก ดังนั้นจึงพอเข้าใจตัวตนของเหล่าคุณชายในเมืองหลวงอยู่พอสมควร แม้ไม่อาจกล่าวว่ารู้จักพวกเขาดี แต่ก็รู้ว่าความสามารถและนิสัยที่แท้จริงของพวกเขา มันไม่ใช่ดังเช่นที่แนะนำตัวอย่างแน่นอน
‘ต่อให้บอกว่าถล่มสวรรค์ได้ ข้าผู้นี้ก็ไม่มีวันตกหลุมรักเจ้า!’ องค์หญิงเจ็ดพึมพำกับตัวเองอยู่ในใจ
องค์หญิงเจ็ดทราบดีว่าจักรพรรดิชรารักตนเองมากเพียงใด ดังนั้นจึงคิดไปว่าขอเพียงนางยืนกราน เสด็จพ่อย่อมไม่มีทางบีบบังคับ
ทุกคนในโถงย่อมรับรู้ได้ถึงสายตาขององค์หญิงเจ็ด พวกเขาก็นึกอับอายในใจเช่นเดียวกัน แต่ไม่อาจแสดงออกมาทางสีหน้า ทำได้ก็เพียงสงบใจลงและแนะนำตัวกันต่อไป พวกเขาไม่ใช่คนหน้าด้านที่อยากจะแนะนำตัว แต่คนที่อยู่เบื้องหลังและตระกูลของพวกเขาไม่ใช่ ดังนั้นไม่ว่าจะอับอายเพียงใด พวกเขาก็ยังต้องทำมันต่อไป
ไม่นานทุกคนก็แนะนำตัวกันครบถ้วน จักรพรรดิชรามององค์หญิงเจ็ดอีกครั้งพร้อมเอ่ยถาม “เป็นยังไงบ้าง? ชอบบ้างหรือไม่?”
“ไม่เลยเพคะ” องค์หญิงเจ็ดส่ายหน้าอีกครั้ง
เมื่อได้ยินคำถามจากผู้เป็นบิดาอีกครั้ง องค์หญิงเจ็ดจึงเร่งเอ่ยคำ “เสด็จพ่อ เรื่องเฟ้นหาราชบุตรเขยนี้ท่านไม่เคยบอกข้ามาก่อน ข้าจึงไม่ได้เตรียมใจแม้แต่น้อย เหตุใดพวกเราไม่ไปพูดคุยกันภายหลังล่ะเพคะ?”
เห็นได้ชัดว่าองค์หญิงเจ็ดต้องการใช้อุบายถ่วงเวลา เพื่อหาทางกำจัดความคิดเฟ้นหาราชบุตรเขยของผู้เป็นบิดา
จักรพรรดิมองว่าที่องค์หญิงเจ็ดกล่าวออกมานั้นก็มีเหตุผล เนื่องจากไม่ได้เตรียมใจเรื่องราชบุตรเขยมาก่อน การที่พูดอย่างกระทันหันแล้วหาตัวคนเลยเช่นนี้ นางย่อมต่อต้านเป็นเรื่องปกติ ผ่านไปสักพัก หลังสงบใจลงได้กว่านี้ นางก็คงจะยอมรับได้ง่ายกว่าตอนนี้ไปเอง
ยิ่งไปกว่านั้น คนหนุ่มผู้มีพรสวรรค์เหล่านี้ยังแนะนำตัวกันครบถ้วนแล้ว ต่อให้องค์หญิงเจ็ดชอบพอผู้ใดขึ้นมาจริง เรื่องนี้ก็จำเป็นต้องไตร่ตรองก่อน ไม่ใช่ด่วนตัดสินใจ การถามหาคำตอบต่อหน้าผู้คนในตอนนี้จึงเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม
“ที่ลูกพูดมาก็มีเหตุผล” จักรพรรดิชราตอบรับ “เช่นนั้นพอเอาไว้เท่านี้ก่อน รอเวลาแล้วค่อยว่ากันอีกครั้ง แต่อย่าได้ถ่วงเรื่องนี้เนิ่นนานเกินไป ลูกจำเป็นต้องตัดสินใจเลือกราชบุตรเขยภายในเวลาสามเดือน ไม่เช่นนั้นแล้ว พ่อจำเป็นต้องเลือกให้ลูกด้วยตัวเอง”
จักรพรรดิยังคงรักและเอ็นดูองค์หญิงเจ็ดอยู่ แต่ก็ทราบดีว่าสุขภาพของตนเองนับวันยิ่งเลวร้ายลง ทั้งยังกลัวว่าหลังตนเองสิ้นชื่อไปแล้ว ผู้อื่นจะหาทางกลั่นแกล้งรังแกองค์หญิงเจ็ด ดังนั้นในตอนที่ยังมีกำลังอยู่ เขาจึงต้องการช่วยคลี่คลายปัญหาระยะยาวให้แก่นางไว้ล่วงหน้า อีกทั้งก่อนความตายจะมาเยือน เขาต้องจัดการให้แน่ชัดว่าหลังตนเองล่วงลับไปแล้ว องค์หญิงเจ็ดจะไม่ถูกตระกูลฝั่งสามีข่มเหง
ทว่าองค์หญิงเจ็ดหาได้รู้ความคิดของจักรพรรดิชราไม่ เมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนกรานจะคัดเลือกราชบุตรเขยถึงเพียงนี้ ใจนางก็ไม่ยินดี ราวกับถูกบีบเค้น แม้ดื้อรั้นยืนกรานแล้วก็ยังไม่ได้ผล หากเป็นในอดีต จักรพรรดิชราคงยิ้มและกล่าวปลอบ แต่วันนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ จักรพรรดิยืนกรานจะให้นางตัดสินใจเรื่องการแต่งงานให้ได้
‘ข้าไม่แต่ง!’ องค์หญิงเจ็ดร่ำร้องคำนี้อยู่ในใจ
เมื่องานเลี้ยงจบลง ผู้คนก็เริ่มทยอยเดินทางกลับ คืนนี้เป็นคืนที่เกิดเรื่องมากมายขึ้น มากพอทำให้พวกเขาที่เดินทางกลับต้องทบทวนเรื่องราวอยู่นาน โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพร่างกายของจักรพรรดิชรา
บางคนเกิดลางสังหรณ์ว่าเมืองหลวงต่อจากนี้ หรืออาจกระทั่งทั้งอาณาจักรเหยียนเฟิงจะไม่เงียบสงบอีกต่อไป ภายนอกอาจไม่มีสิ่งใดแปรเปลี่ยน แต่ในทางลับจะมีคลื่นใต้น้ำอันดำมืด อย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับการแก่งแย่งราชบัลลังก์ มันไม่เคยมีสักครั้งในประวัติศาสตร์ที่ปราศจากการหลั่งเลือดและเรื่องราวที่โหดร้าย การไม่เข้าไปเสี่ยงเดิมพันกับเรื่องครั้งใหญ่นี้ย่อมสามารถทำได้ แต่หากเมื่อใดต้องวางเดิมพันกันบนโต๊ะพนัน เมื่อนั้นฝนเลือดจะต้องโปรยปราย
จากเรื่องการแต่งงานขององค์หญิงเจ็ด เพราะจักรพรรดิชราเปิดเผยปัญหาสุขภาพออกมา ทุกคนจึงมองว่าครั้งนี้นางคงไม่อาจซ่อนตัวจากโลกภายนอกได้อีกต่อไป เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิเตรียมการเอาไว้พร้อมแล้ว ด้วยความรักความเอ็นดูที่มีให้กับองค์หญิงเจ็ด ครั้งนี้องค์เหนือหัวจะยิ่งต้องทำเป้าหมายให้สำเร็จอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องที่สุดท้ายแล้วใครจะได้เป็นราชบุตรเขยที่แต่งงานกับองค์หญิงเจ็ดนั้น ทุกคนทำได้เพียงคาดเดากันไป ทว่าหากเมื่อใดองค์หญิงเจ็ดแต่งงานเรียบร้อยแล้ว เมื่อนั้นจักรพรรดิย่อมต้องตกรางวัลหนัก ๆ ให้ตระกูลราชบุตรเขยเป็นแน่ เพื่อเป็นหลักประกันว่าชีวิตหลังแต่งงานขององค์หญิงเจ็ดจะต้องอยู่อย่างสุขสบาย
ดังนั้นแล้ว หลายตระกูลจึงต้องการคว้าสถานะดังกล่าวมาครอบครอง
ส่วนเรื่องของอู๋ฝานนั้น ในบรรดาเรื่องใหญ่ทั้งหลาย มันกลายเป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรให้ต้องสนใจเรียบร้อยแล้ว หลายคนกระทั่งลืมนามของชายหนุ่มแล้วด้วยซ้ำ แม้พวกเขาจะสงสัยในใจว่าเหตุใดจักรพรรดิชราต้องการเจอกับเขา แต่อีกฝ่ายก็เป็นเพียงขุนนางตัวจ้อยที่อยู่ในชนบทไกลห่าง มันย่อมไม่มีทางส่งผลกระทบใดแก่พวกเขาอย่างแน่นอน
บางทีจักรพรรดิอาจเพียงแค่สงสัยว่าอู๋ฝานหาและจับตัวกระต่ายกำมะหยี่มาได้อย่างไร
——————————