บทที่ 253 บุรุษผู้ทรงเสน่ห์

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 253 บุรุษผู้ทรงเสน่ห์
บทที่ 253 บุรุษผู้ทรงเสน่ห์

เมื่อไป๋ชิวหรานกลับมาที่วิหารฝูซาง เขาก็พบกับซูเซียงเสวี่ยทันทีที่เดินเข้าประตูมา

เหนือม่านเมฆ ซูเซียงเสวี่ยกำลังถอยกลับ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยก้อนเมฆหลากสีสัน และยังเต็มไปด้วยพลังวิญญาณ ในยามราตรีเช่นนี้ยังมีกลิ่นหอมจาง ๆ ลอยอบอวล

ไป๋ชิวหรานสัมผัสได้ถึงพลังเซียนจากพลังเหล่านั้น เห็นได้ชัดว่าซูเซียงเสวี่ยก้าวเข้าสู่ขั้นเซียนสำเร็จแล้ว

ประตูถ้ำที่ถูกซูเซียงเสวี่ยปิดเอาไว้อย่างแน่นหนาถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน ร่างงดงามในชุดสีขาวผุดผ่องก้าวเดินออกจากประตูด้วยใบหน้าสดใส และยังไม่มีความเย่อหยิ่ง

นางงดงามขึ้นมาก

ทันทีที่ได้พบ ไป๋ชิวหรานตระหนักถึงเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน

ซูเซียงเสวี่ยฝึกฝนทักษะเย้ายวน ยามนี้สามารถทะลวงผ่านขอบเขตได้แล้ว นั่นทำให้เสน่ห์เพิ่มพูนขึ้นโดยธรรมชาติ เมื่อออกจากประตูไป แม้แต่เหล่าสตรีในวิหารฝูซางยังไม่สามารถละสายตาจากร่างกายของนางได้

เมื่อไป๋ชิวหรานคิดว่าจะทักทายซูเซียงเสวี่ยอย่างไรดีหลังจากไม่ได้พบเจอกันเสียนาน ทว่ายามนี้ร่างของซูเซียงเสวี่ยพลันสลายหายไปในสายลม และแทนที่ด้วยกลิ่นหอมล้อมรอบร่างกาย เป็นนางที่กำลังโอบรอบคอของเขาอยู่อย่างแนบแน่น

เนินเขาอันอบอุ่นและน่าหลงใหลติดอยู่กับร่างกายของเขา จิตใจของไป๋ชิวหรานเริ่มสั่นไหว เขากำลังจะเหยียดแขนออกเพื่อโอบกอดนาง แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้คาดหวังว่าซูเซียงเสวี่ยจะฝังศีรษะของตนลงบนหน้าอกเขาอย่างแนบแน่น ชายหนุ่มรีบสูดลมหายใจลึกพร้อมกับล่าถอยในทันที

“ช่างไร้รสนิยมจริง ๆ”

นางเบ้ปากด้วยความไม่พอใจราวกับเด็กน้อย

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าการก้าวขึ้นสู่ขั้นเซียนสามารถสืบทอดความเสื่อมทรามของความคิดได้ด้วย?”

ไป๋ชิวหรานพึมพำด้วยความสับสน

“เรียกว่าการกลับสู่สามัญหรือไม่?”

ซูเซียงเสวี่ยมองเขาด้วยความโกรธปนขบขัน ในที่สุดชายผู้นี้ก็คือไป๋ชิวหรานที่นางคุ้นเคย

นางเอนตัวไปพร้อมกับเหลือบมองเขาอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะขยิบตาไปยังทิศทางวังของเจียงหลาน นางจิ้มเอวของเขาและถามว่า

“ในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา เจ้ามีชีวิตที่ดีหรือไม่?”

“ในเรื่องการบำรุงร่างกายนั้นไม่นับ แท้จริงแล้วข้ายุ่งมาก และใช้เวลากว่าสองสามทศวรรษเพื่อต่อสู้”

ไป๋ชิวหรานตอบอย่างตรงไปตรงมา

“อย่างไรแล้วข้าซื้อห้องชุดในยมโลกไว้ด้วย หากว่าง ๆ ข้าจะพาเจ้าไปเยี่ยมชม”

“โอ้ เจ้าสามารถซื้อสิ่งก่อสร้างในยมโลกได้งั้นหรือ?”

สีหน้าของซูเซียงเสวี่ยดูไม่เชื่อถือเสียเต็มประดา นางทราบดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างไป๋ชิวหรานกับยมโลกนั้นย่ำแย่เพียงใด เขาไปที่ยมโลกก็เพื่อเดินเล่น คงจะดีที่สุดแล้วหากไม่ถูกจับ แต่พวกเขาจะยอมขายห้องชุดให้กับไป๋ชิวหรานงั้นหรือ?

“ข้าเกรงว่าเจ้าคงจะซื้อมันได้เพราะใช้ใบหน้าของเจียงหลาน”

“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าเป็นคนที่ขบเคี้ยวได้ง่ายดายงั้นหรือ?”

ไป๋ชิวหรานกล่าวอย่างเคร่งขรึม

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความพยายามส่วนตัวของข้าทั้งสิ้น

“โอ้ เช่นนั้นเจ้าก็ยอดเยี่ยมนัก”

ซูเซียงเสวี่ยเหล่ตาพร้อมกับยิ้มและตบหน้าเขาอย่างเบามือ

ขณะนี้ เจียงหลานเข้ามาพร้อมกับหลีจิ่นเหยาและเฟิงเจียนเหยา หลีจิ่นเหยานำหน้าซูเซียงเสวี่ยไปหนึ่งก้าว เมื่อไม่กี่วันก่อน ประสบความสำเร็จในการเอาชีวิตรอดจากภัยพิบัติ และตอนนี้สำเร็จมหาวิชาแห่งจ้าวสำนักอสูรสวรรค์และบรรพบุรุษแห่งการทำลายล้าง

หากจี้หลิงอวิ๋นต้องการควบคุมนางอีกครั้ง หลีจิ่นเหยาจะสามารถทำให้นางล้มลงไปกองอยู่บนพื้น และทุบตีต่อหน้าสาธารณชนได้!

ท้ายที่สุดแล้วหญิงสาวผู้นี้คืออสูรอย่างแท้จริง ไม่มีความกดดันทางจิตใจใด ๆ หากนางต้องการทำเช่นนั้น น่าเสียดายแทนผู้นำสำนักของนาง ในอนาคตคาดเดากันไว้ว่าเจวี๋ยอวิ๋นจื่อ และผู้นำสำนักอื่นในรุ่นเดียวกันอาจจะไม่สามารถเงยหน้าขึ้นได้อีก

พวกนางเดินมาหยุดเคียงข้างกับซูเซียงเสวี่ยพร้อมแสดงความยินดี

“ขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จของเจ้า ซูเซียงเสวี่ย”

“ขอแสดงความยินดีกับขั้นเซียนของท่าน ท่านพี่เซียงเสวี่ย”

เจียงหลานและหลี่จิ่นเหยาแสดงความยินดีกับซูเซียงเสวี่ยตามลำดับ จากนั้นเจียงหลานจึงเหลือบมองเฟิงเจียนเหยาที่กำลังกระแอมไอด้วยความลังเล

เฟิงเจียนเหยาทำสิ่งใดไม่ถูก นางทำได้เพียงยกมือประสานแล้วกล่าวคำ

“ขอแสดงความยินดีกับความสำเร็จของท่าน ซือ ซือ… ซือหมู่รอง*[1]”

อะไรคือซือหมู่รอง?

ซูเซียงเสวี่ยเลิกคิ้วขึ้น นางรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกประหลาดที่ไม่สามารถอธิบายได้

ในเวลานี้ เจียงหลานเริ่มกล่าวทักทายทุกคน

“เอาล่ะ เซียงเสวี่ย จิ่นเหยา สำหรับความสำเร็จของเจ้าทั้งสอง ข้าจึงเตรียมงานเลี้ยงไว้เป็นพิเศษ”

“รั่วเวยอยู่ที่ใด?”

ไป๋ชิวหรานยังคงจดจำศิษย์ที่กำลังจะถูกสังหารบนหน้าผาบนชั้นสี่สิบห้าได้จึงกล่าวถามขึ้น

“คงต้องใช้เวลาสักครู่กว่ารั่วเวยจะออกมา”

เจียงหลานถอนหายใจ

“ปกติแล้วเด็กคนนี้ไม่ได้ฝึกฝนหนัก แต่เหตุใดช่วงนี้นางถึงดื้อรั้นนัก?”

“เอาล่ะ นางก็ดื้อเช่นนี้เสมอ”

ไป๋ชิวหรานพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า

“อย่างไรก็ตาม มันคือการต่อสู้อย่างมีศักดิ์ศรี… ถ้าเช่นนั้นไม่ต้องรอแล้ว หลังจากสตรีผู้นั้นออกมา เราค่อยเลี้ยงฉลองอีกครั้ง”

“อืม”

เจียงหลานพยักหน้าและเดินนำฝูงชนไป

หลังจากนั้นสองก้าว นางจงใจชะลอฝีเท้าพร้อมกับดึงไป๋ชิวหรานและซูเซียงเสวี่ยด้วยมือข้างหนึ่ง ก่อนจะก้มศีรษะไปหาไป๋ชิวหราน

“เจ้าอยู่กับข้ามาหลายปีแล้ว เซียงเสวี่ยเพิ่งจะออกจากการฝึกฝนมา คืนนี้เจ้าอยู่กับนางเถิด”

“โอ้”

ไป๋ชิวหรานตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าใบหน้าของซูเซียงเสวี่ยกลับแดงเรื่อขึ้นมา หลังจากนั้นนางเหลือบมองเจียงหลานอย่างขอบคุณ

นางไม่รู้ว่าสิ่งนี้เป็นที่โปรดปรานของไป๋ชิวหรานหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม นางได้รับความโปรดปรานจากซูเซียงเสวี่ยก็พอแล้ว

หลีจิ่นเหยาเดินตามหลังมามองดูทั้งหมดด้วยความอิจฉา ราวกับคนธรรมดากำลังมองดูอาวุโสสูงศักดิ์

หลังจากเห็นการแสดงออกของอีกฝ่าย เจียงหลานปล่อยไป๋ชิวหรานพร้อมกับผลักเขาไปข้างหน้า จากนั้นจับมือของซูเซียงเสวีย และทั้งสามก็ก้มหัวเข้าหากัน

“จิ่นเหยา”

เจียงหลานเรียกหาด้วยเสียงต่ำ

“เจ้าอยากสร้างโอกาสให้ตัวเองหรือไม่?”

ซูเซียงเสวี่ยและหลีจิ่นเหยาตื่นตระหนกพร้อมกัน จากนั้นซูเซียงเสวี่ยกล่าวกระซิบ

“เจียงหลาน เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

“ข้าต้องการ”

หลีจิ่นเหยารู้สึกยินดี พร้อมกับพยักหน้าอย่างเร่งรีบ

“ขอบคุณมากที่ท่านพี่เจียงหลานช่วยเหลือข้า”

“เอาล่ะ หลังจากมื้อค่ำแล้ว ข้าจะช่วยสนับสนุนเจ้า”

เจียงหลานยิ้มและพยักหน้า

เมื่อเห็นการกระทำของเจียงหลาน ซูเซียงเสวี่ยตกใจพร้อมกับดึงเจียงหลานออกไปพร้อมถามว่า

“ข้าไม่เคยเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้มาก่อน เจ้าว่างมากถึงสามารถหาสตรีให้กับสามีได้งั้นหรือ… มีงานอดิเรกอะไรทำบ้างหรือไม่?”

“อะไรกัน เหตุใดเจ้าถึงปฏิบัติราวกับข้าเป็นคนล้าสมัยเช่นนั้น”

เจียงหลานยิ้มพร้อมกับส่ายศีรษะเมื่อเห็นว่าซูเซียงเสวี่ยปฏิเสธที่จะยอมรับเรื่องนี้

“ข้าไม่ใช่สตรีที่ต้องการครอบครองชิวหราน และไม่ได้โง่ด้วย แต่แม่นางหลีจิ่นเหยาผู้นั้นตกหลุมรักชิวหรานแล้ว นางย่อมไม่มองชายอื่นอีก แล้วหากเป็นเช่นนั้นไม่น่าสงสารงั้นหรือ?”

“ดูเจ้าพูดเข้าสิ ราวกับว่าเขามีเสน่ห์ล้นเหลือ”

ซูเซียงเสวี่ยพึมพำ

เจียงหลานเหลือบมองสตรีคนหนึ่งที่ไล่ตามมาแล้วกล่าวว่า

“ข้าคิดว่าเจ้าไม่มีสิทธิ์จะพูดนะ เซียงเสวี่ย…”

ซูเซียงเสวี่ยเขินอายจนใบหน้าแดงก่ำ นางไม่ตอบสิ่งใดกลับ

“จริง ๆ แล้วหากชิวหรานยอมรับ ข้าก็อยากจะผลักรั่วเวยให้ สตรีผู้นั้นติดตามอาจารย์มาตั้งแต่แรกเริ่ม อีกทั้งยังมีความคิดสูงส่ง ข้าเกรงว่านางจะไม่สามารถแต่งงานได้ในอนาคต”

เจียงหลานกล่าวเสริมอีกประโยคหนึ่ง

“แต่เรื่องนี้ควรพูดคุยกันในภายหลัง ข้าขอถาม เซียงเสวี่ย… เจ้ายินดีที่จะร่วมมือกับแม่นางหลีหรือไม่?”

[1] ซือหมู่ คือ ภรรยาของอาจารย์