บทที่ 256 เหยาซูได้รับข่าวการเลื่อนตำแหน่ง

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 256 เหยาซูได้รับข่าวการเลื่อนตำแหน่ง
บทที่ 256 เหยาซูได้รับข่าวการเลื่อนตำแหน่ง

หลังจากนั้นไม่กี่วันเหยาซูก็ได้รับข่าวคราว

กล่าวไว้ว่าหลินเหราและเหยาเฉาต่างก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นองครักษ์ของฝ่าบาท ตอนนี้กำลังตรวจสอบคดีความในวังหลวง

เมื่อส่งคนส่งข่าวจากไปแล้ว เหยาซูก็คลี่ยิ้มเบิกบานใจและพูดกับอาซือที่อยู่ข้างกายว่า “เอ้อเป่า สองสามวันนี้เราไปเมืองหลวงกันดีหรือไม่?”

อาซือสบตาของผู้เป็นแม่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ไปเมืองหลวงก็จะได้อยู่กับท่านพี่ใช่หรือไม่เจ้าคะ?”

เหยาซูยิ้มบางพลางพยักหน้า “ตอนนี้ท่านพ่อและท่านลุงได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว ต่อไปจะต้องทำงานอยู่ในเมืองหลวง เราก็ต้องย้ายไปอยู่ด้วยกัน ถึงตอนนั้นจะได้ดูแลเรื่องการเรียนของพี่ชายเจ้าด้วย”

เด็กหญิงกระโดดโลดเต้นในความดีใจ ดวงตาทั้งสองข้างเปล่งประกายระยิบระยับ พร้อมพูดกับเหยาซูว่า “ท่านแม่! เราไปเมืองหลวงได้ ท่านพี่เขียนจดหมายมาบอกแล้ว เมืองหลวงนั้นค่อนข้างใหญ่และดีมากเจ้าค่ะ! ต่อไปเราจะได้อยู่ในเมืองหลวงใช่หรือไม่เจ้าคะ?”

เหยาซูติดอาการกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจมาจากอาซือ ใบหน้าแต้มไปด้วยรอยยิ้มอย่างอดไม่ได้ ก่อนตอบว่า “ใช่นะสิ แต่แม่ยังต้องจัดการเรื่องในเมืองให้เรียบร้อยก่อน ต้องไปบ้านยายของเจ้าอีกสักรอบ เราค่อยวางแผนกันอีกที”

อาซืออายุยังน้อย ไม่มีทางคิดถึงปัญหามากมายขนาดนั้น นางเอาแต่จมอยู่ในความดีใจที่จะได้ไปเมืองหลวงเท่านั้น จึงลุกขึ้นมานั่งอยู่หน้าประตูตั้งแต่เช้าตรู่

ยามที่เหยาซูเอ่ยถาม ดวงตาของนางคู่นั้นเปล่งประกาย และตอบกลับว่า “เอ้อเป่าต้องบอกข่าวดีนี้กับพี่เถิงเป็นคนแรก! ถ้าพี่เถิงอยากไปด้วย เราพาเขาไปด้วย ดีหรือไม่เจ้าคะ?”

เมื่อเหยาซูเห็นนางกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ จึงอดยิ้มไม่ได้ “ดีสิ เจ้าไปบอกข่าวดีนี้กับพี่เถิงเถอะ แม่ไม่ว่า แต่เถิงเอ๋อจะไปด้วยหรือไม่นั้น ก็ต้องแล้วแต่ท่านป้าเจี่ยง”

อาซือไม่สนใจเรื่องราวมากมายเพียงนั้น

สำหรับเด็กหญิงตัวน้อย การได้ไปเมืองหลวงถือเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมาก

นางควรจะแบ่งปันความสุขกับสหายตัวน้อย ไปที่นั่นกับสหายที่ดีที่สุดของนาง

อากาศค่อย ๆ อุ่นขึ้น อาซือสวมกระโปรงที่ผู้เป็นแม่เย็บปักให้นาง ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนขั้นบันไดหินหน้าประตู ฮัมบทเพลงด้วยเสียงเบา ๆ

แสงอาทิตย์ฉายเจิดจ้า ฉาบใบหน้ากลมเล็กของนางดูจนดูผุดผ่องเปล่งประกายอย่างชัดเจน ดูแล้วช่างน่ารักยิ่งนัก

เหยาซูยิ้มพร้อมกับลูบมวยผมทั้งสองข้างบนศีรษะของอาซือ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “แม่ขอไปที่ร้านประเดี๋ยว ซานเป่ายังหลับอยู่ ปล่อยไว้ในบ้านไปก่อน แล้วแม่จะกลับมาตอนเที่ยง มาพาเถิงเอ๋อและเอ้อเป่าไปหาของอร่อยกินกัน”

อาซือพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ข้าและพี่เถิงจะดูแลน้องอย่างดี ท่านแม่โปรดวางใจเจ้าค่ะ”

เหยาซูกำชับอีกสองสามประโยค หลังจากพูดจบก็ลุกขึ้นและตรงไปยังร้านทันที

ตอนนี้นางจะต้องมอบหมายร้านขายชาดให้แก่เด็กหนุ่มเป็นผู้ดูแลร้านอย่างเป็นทางการ

เหยาซูเฝ้าดูอยู่สองสามวันแล้ว พบว่าเขาสามารถจัดการเพียงลำพังได้ จึงรู้สึกวางใจ

เช้าวันนี้เหยาซูมาถึงร้านขายชาดอีกครั้ง เมื่อลูกจ้างเห็นนาง ดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย กระทั่งเดินเข้ามาต้อนรับอย่างรวดเร็ว

เขาพูดด้วยรอยยิ้มฉาบแต้มบนใบหน้า “เหตุใดวันนี้คุณหนูถึงได้มาตั้งแต่เช้า? ร้านยังไม่เปิดเลยขอรับ”

เหยาซูมองไปยังสภาพที่ดูระเบียบเรียบร้อยภายในร้าน จึงอดพูดชมไม่ได้ว่า “เถ้าแก่หนิวทำหน้าที่ได้ดีอย่างที่คิดไว้ เช้าตรู่ขนาดนี้แต่สิ่งของทุกอย่างในร้านกลับถูกจัดไว้เป็นระเบียบแล้ว”

ลูกจ้างไม่เคยชินที่ตัวเองถูกเรียกว่า ‘เถ้าแก่’ จึงทั้งดีใจทั้งเอียงอาย “คุณหนูก็ให้เกียรติเกินไป … เมื่อเทียบกับอาจารย์แล้ว ข้ายังห่างไกลมากโขขอรับ!”

ทั้งสองคนกล่าวทักทายไม่กี่คำ เหยาซูถามว่า “เด็กสาวที่ตระกูลเจี่ยงส่งมาในตอนแรก ตอนนี้พักอยู่ที่ใด?”

เมื่อสองวันก่อนเจี่ยงฉีรับปากว่าจะส่งสาวใช้ของตระกูลเจี่ยงมาที่นี่ มาเรียนรู้สูตรการทำชาดกับเหยาซู ต่อมาก็มอบหมายงานฝีมือเหล่านี้ให้นาง

เพียงแต่สองสามวันนี้เหยาซูยุ่งตัวเป็นเกลียว จึงไม่เคยเจอนางเลย

เถ้าแก่หนิวที่เพิ่งเลื่อนขั้นได้ดูแลงานอย่างเหมาะสม ย่อมไม่มีทางให้เหยาซูต้องเป็นกังวลเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้แน่นอน ครั้นได้ยินดังนั้นจึงยิ้มและพูดว่า “มีที่พักเรียบร้อย อาศัยอยู่ในบ้านของอาจารย์ นายหญิงยังบอกว่าเด็กสาวผู้นั้นช่างรู้ความ สองสามวันนี้ช่วยทำอาหารให้นาง แถมฝีมือการเย็บปักถักร้อยลายดอกไม้ยังยอดเยี่ยมทีเดียว”

ครั้นเหยาซูได้ยินดังนั้น ก็กระตุกยิ้มด้วยความสนใจ ก่อนจะพูดด้วยความอยากรู้ “เจ้าเคยเจอเด็กสาวผู้นั้นหรือไม่? แล้วมีนามว่าอะไร?”

ครั้นเอ่ยถึงเด็กสาวผู้นั้น เถ้าแก่หนิวก็รีบพยักหน้าทันที “เคยเจอขอรับ นางดูสะอาดสะอ้าน รู้ความและรู้จักมารยาท มีนามว่าเสี่ยวเถา แม้จะบอกว่าเป็นคนรับใช้ของตระกูลเจี่ยง แต่นิสัยนั้นอ่อนโยน และฉลาดเฉลียว ทั้งยังแสนดีกว่าเด็กสาวทั่วไปมากโข!”

เหยาซูรู้สึกตื่นเต้นอยู่ในใจ ก่อนจะเอ่ยถามว่า “นางอายุเท่าไร?”

ถ้าดีไปเสียทุกด้าน อาจจะเป็นคู่เขาได้

เถ้าแก่หนิวก็ยังอ่อนเยาว์ รูปร่างหน้าตาก็ดี ตอนนี้ยังไม่เจอะเจอกับแม่นางที่เหมาะสม

เพียงแต่เรื่องนี้ อาจจะต้องชักจูงเถ้าแก่หนิวสักหน่อย

เถ้าแก่หนิวยังคงพูดเป็นน้ำไหลไฟดับ ไม่ได้สังเกตถึงความหมายในคำพูดของเหยาซู

“อายุเท่าไรแล้วนะ…ประมาณสิบสามถึงสิบสี่ปีกระมัง? ข้าจะกล้าถามอายุของหญิงสาวได้อย่างไรกันเล่าขอรับ! เสี่ยวเถาดูอ่อนเยาว์ การพูดการจาก็ยังดูเด็กนัก”

เหยาซูพูดด้วยรอยยิ้ม “วันนี้นางอยู่กับนายหญิงของเจ้าฝั่งโน้นหรือ?”

เถ้าแก่หนิวพยักหน้า “หลายวันนี้คุณหนูยุ่งมาก ไม่มีเวลามาเจอนาง เสี่ยวเถาอยู่ที่บ้านของอาจารย์ขอรับ คอยช่วยเหลืออยู่ในบ้านตลอด”

เหยาซูลุกขึ้นยืน และพูดว่า “เอาละ เรื่องในร้านต่างก็วางแผนไว้เกือบหมดแล้ว มอบหมายให้เจ้าจัดการข้าก็วางใจ วันนี้ข้าไม่รอแล้ว”

เถ้าแก่หนิวรู้สึกงุนงงเล็กน้อย “เอ๊ะ? คุณหนูจะไปแล้วหรือขอรับ?”

เขาอายุน้อยกว่าเหยาซู ปกติมักจะแต่งกายเลียนแบบเถ้าแก่หลิวเสมอ จึงดูคุ้นเคยไม่น้อย

เพียงแต่บางครั้งที่อยู่ต่อหน้าคนที่สนิทสนม เขายังสามารถแสดงกิริยาเหมือนเด็กน้อยได้

เหยาซูยิ้ม “ไปเยี่ยมบ้านอาจารย์ของเจ้าสักหน่อย มีเวลาว่างพอดี วันนี้ดอกไม้กำลังเบ่งบาน วัตถุดิบคงจะเพียงพอ ไปสอนเสี่ยวเถาทำชาดเสียหน่อยถือว่าให้นางมีงานทำบ้าง”

เถ้าแก่หนิวตอบรับ จากนั้นก็เดินมาส่งเหยาซูหน้าประตู

เหยาซูและเถ้าแก่หลิวสนิทสนมกันเหมือนคนในครอบครัว เหยาเฟิงเคยกล่าวไว้ว่านับตั้งแต่ตระกูลเหยาเปิดร้านขายผ้าแห่งนี้ในเมืองชิงถง เถ้าแก่หลิวก็เริ่มเข้ามาจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ให้ตระกูลเหยา

หลายปีมานี้ ตระกูลเหยาเชื่อใจเขามาก เถ้าแก่หลิวเองก็ไม่เคยเปิดเผยความลับอะไรออกไป

บ้านของเถ้าแก่หลิวอยู่ไม่ไกล เหยาซูเดินไปได้ไม่นาน ก็เห็นประตูใหญ่แล้ว

บ้านของเขาเป็นเรือนขนาดเล็กที่ไม่ใหญ่นัก เพราะไม่มีเด็ก จึงสามารถอยู่ได้อย่างกว้างขวาง

ตอนนี้ประตูบ้านถูกเปิดทิ้งไว้ ในลานบ้านเงียบสงัด ไม่มีเสียงคนเลยแม้แต่น้อย

เหยาซูเดินมาตรงหน้าประตู จากนั้นก็ส่งเสียงตะโกนออกไป “พี่สะใภ้หลิว อยู่บ้านหรือไม่เจ้าคะ?”

ไม่นานก็มีเสียงของพี่สะใภ้หลิวดังออกมาจากในห้อง “อยู่จ้ะ เข้ามาได้เลย”

เหยาซูย่างเท้าเข้าไปในลานบ้าน เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเด็กสาวที่แต่งกายด้วยชุดคลุมสีชมพูผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าประตูห้อง กำลังมองมาทางนางด้วยความประหลาดใจ

นางอายุไม่มากนัก แต่รูปร่างกลับอรชรอ้อนแอ้น ใบหน้าผุดผ่องมีสีแดงระเรื่อแบบคนสุขภาพดี

เหยาซูจำได้ทันใด จึงยิ้มและพูดว่า “เจ้าคือเสี่ยวเถาใช่หรือไม่?”

เสี่ยวเถาเฉลียวฉลาด จำได้ว่าเป็นเหยาซูจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าน้อยเองเจ้าค่ะ วันนี้แม่นางเหยามีเวลาว่างมาเยี่ยมแล้วหรือเจ้าคะ?”

ทั้งสองคนกำลังพุดคุยกัน พี่สะใภ้หลิวก็เดินออกมาจากในห้อง ครั้นเห็นเหยาซู ก็รีบกล่าวทักทายด้วยความยินดี “คุณหนูมาแล้ว! รีบเข้ามานั่งในห้องก่อนสิ”

เหยาซูกล่าวทักทาย “พี่สะใภ้”

นางเดินรุดขึ้นหน้าหลายก้าว พลางเอ่ยถามว่า “ไม่ได้เจอกับพี่สะใภ้หลายวัน ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”

พี่สะใภ้หลิวชอบความเด็ดเดี่ยวและปราดเปรียวในการจัดการเรื่องราวของเหยาซูมาโดยตลอด วาจาก็ยังอ่อนโยน จึงดึงมือของนางก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “หลายวันที่คุณหนูไม่มา ทุกอย่างในบ้านเรียบร้อยดี! นับตั้งแต่เสี่ยวเถาเข้ามา ก็ดีมากขึ้น!”

เสี่ยวเถายิ้มอยู่ด้านข้าง โดยไม่พูดสิ่งใด

เหยาซูเดินเข้าไปในห้องกับพี่สะใภ้หลิว พลางพูดกับนางและเสี่ยวเถาว่า “ข้าเพิ่งมาจากร้านขายชาด เถ้าแก่หนิวชื่นชมเสี่ยวเถาให้ข้าฟังเป็นนานสองนาน หลายวันนี้เป็นข้าเองที่ประมาท ไม่ได้มาดู จะต้องตอบรางวัลอย่างงามให้แก่เสี่ยวเถาเสียแล้วสิ”

เสี่ยวเถารีบโบกมือไปมา “แม่นางเหยาพูดเกินไป คุณหนูของเราส่งข้ามาที่นี่ก็เพื่อมาช่วยเหลือแม่นางเหยา ท่านไม่ต้องเกรงใจหรอกเจ้าค่ะ”

พี่สะใภ้หลิวเองก็ยิ้มพลางชื่นชม “เสี่ยวเถาเป็นเด็กอารมณ์ดี แถมนิสัยก็ยังอ่อนโยน หลายวันนี้เจ้าช่วยจัดการทุกอย่างในบ้านให้ข้าไม่น้อย วันนี้คุณหนูต้องพาเจ้ากลับไปแล้ว ข้าชักจะอาลัยอาวรณ์เจ้าเสียแล้วสิ!”

เมื่อเหยาซูเห็นพวกนางสองคนมีความสัมพันธ์ที่ดี พี่สะใภ้หลิวก็เป็นนายหญิงของเถ้าแก่หนิวน้อย จึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงชื่นชอบเสี่ยวเถาไปแล้วอยู่ในใจ

เพียงแต่เสี่ยวเถาเป็นคนของตระกูลเจี่ยง บัดนี้ถูกส่งตัวมาที่นี่เพราะเจี่ยงฉีเห็นแก่มิตรภาพกับเหยาซู จึงส่งนางมาช่วย เรื่องการออกเรือนของเสี่ยวเถาเกรงว่ายังต้องขึ้นอยู่กับตระกูลเจี่ยงเป็นฝ่ายจัดการ

แต่ครั้นเห็นท่าทางที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวของเสี่ยวเถา เหยาซูก็ได้แต่ทอดถอนใจในใจ ดูท่าพี่สะใภ้หลิวเองก็เข้าใจเช่นกัน

นางยิ้มและพูดว่า “พี่สะใภ้เข้าใจผิดแล้ว วันนี้ที่ข้ามาไม่ได้มาพาตัวเสี่ยวเถาไปหรอก แค่พักผ่อนไปหลายวัน วันนี้มีเวลาว่างก็เลยตั้งใจจะสอนการทำชาด ครั้นได้อยู่กับพี่สะใภ้หลิวได้อย่างอิสระ เกรงว่าเสี่ยวเถาจะไม่ยอมไปกับข้านะสิ!”

พี่สะใภ้หลิวพยักหน้าหงึกหงัก จากนั้นก็หยิบขนมและชงชาให้แก่พวกนางทั้งสองคน

ครั้นได้ยินเหยาซูเอ่ยถามอายุของเสี่ยวเถาว่าเท่าไรอย่างละเอียด ปกติชอบทำอะไร พูดคุยกับนางเหมือนพี่สาวที่แสนอบอุ่น เด็กสาวจึงสนิทกับนางมากขึ้นในเวลาไม่นาน

นางพูดกับเหยาซูอย่างเชื่อฟังว่า “ก่อนหน้านั้นเสี่ยวเถาก็เคยได้ยินว่าแม่นางเหยาและคุณหนูของเรามีความสนิทสนมกันมาก แม้แต่นายน้อยก็มักจะมาเล่นในบ้านของแม่นางเหยาเสมอ คุณหนูกำชับไว้ หากเสี่ยวเถาเรียนรู้จากแม่นางเหยาได้ดี จะให้ทำอยู่ในร้านไปตลอดเจ้าค่ะ”

เหยาเฉาถามนาง “เจ้าชอบอยู่จวนเจี่ยง หรือว่าชอบออกมาล่ะ?”

เสี่ยวเถาครุ่นคิดก่อนตอบ“ข้าก็ไม่รู้เจ้าค่ะ เถ้าแก่หลิว สะใภ้หลิวและเถ้าแก่หนิวล้วนดีกับข้า แม่นางเหยาก็อ่อนโยน…ข้าอยากเรียนรู้ ถ้าเรียนได้ดี วันข้างหน้าอาจจะสามารถเลี้ยงตัวเองได้”

เหยาซูชื่นชมวิธีคิดของเสี่ยวเถา ในสมัยนี้ เด็กที่เกิดมาในครอบครัวคนจนจะต้องกลายเป็นทาสรับใช้นั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติ

ตราบใดที่เจ้าบ้านไม่ได้รับใช้ยาก วันเวลาของพวกนางก็คงไม่ยุ่งยากเท่าไร

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เสี่ยวเถาจึงอยากออกมาจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยตัวเอง คิดว่ามันคือความคิดที่ดี

เพียงแต่ไม่รู้ว่านางจะสามารถเรียนรู้ได้ดีหรือไม่ ทำสินค้าจำพวกชาดในร้านแทนเหยาซูได้หรือไม่…

ทันใดนั้น ก็มีเสียงเคลื่อนไหวดังมาจากหน้าประตู เหยาซูจึงปรายตามองไป….

……………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

อาซูเตรียมพาลูกๆ ตามไปเมืองหลวงแล้ว ดีเลยค่ะ จะได้สกัดกั้นมือที่สามได้สะดวก

ดูๆ แล้วเสี่ยวเถาก็เหมาะกับเถ้าแก่หนิวเหมือนกันน้า

ไหหม่า(海馬)