ตอนที่ 255 โปรยเสน่ห์เพื่อล่อลวงข้า
หลินเว่ยเว่ยชี้มายังใบหน้าของตน “บัณฑิตน้อย ข้ามีหน้าตาเหมือนคนชอบหาเรื่องเช่นนั้นหรือ ? อีกอย่างเจ้าก็เป็นว่าที่สามีของข้า ข้าปฏิบัติต่อเจ้าดีหรือไม่ดี เกี่ยวอันใดกับนางมิทราบ ? แปลกคน ! ”
เจียงโม่หานรับกล่องจากมือของนาง เมื่อเปิดออกก็พบกำไลคู่หนึ่งวางโดดเด่นอยู่ด้านใน จากนั้นเขาก็ยื่นให้นางอีกครั้ง “รับไว้เถิด นางพูดแล้วไม่ใช่หรือว่าเจ้าเคยช่วยชีวิตเอาไว้ นางจึงให้ของขวัญเพื่อแสดงความยินดีสำหรับงานหมั้นของเจ้า”
หลินเว่ยเว่ยปิดฝากล่อง จากนั้นก็โยนเล่นไปบนอากาศ 2-3 ครั้ง สุดท้ายก็รับไว้ “หากตอนนั้นไม่ใช่เพราะนางรีบโผเข้าหาเจ้าจนข้ากังวลว่าหมูป่าจะทำร้ายเจ้าแทน ใครจะสนใจชีวิตของนาง ! ”
“เจ้าอย่างไรเล่า ! ” เจียงโม่หานรู้ว่านางเป็นคนที่ปากร้ายแต่จิตใจดี อ่อนโยนนุ่มนวลคล้ายเค้กฟองน้ำ แม้ว่าคุณหนูตระกูลหวังจะตั้งตนเป็นศัตรูกับนาง อย่างไรก็เป็นชีวิตคน นางไม่มีทางยืนมองหมู่ป่าทำร้ายอีกฝ่ายโดยไม่ช่วยเหลือแน่นอน !
หลินเว่ยเว่ยขมวดคิ้วครุ่นคิด ก็จริง ! นางแย่งพัดจากในมือของเจียงโม่หานแล้วใช้ปลายพัดเชยปลายคางของเขาขึ้น ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า “ช่างรู้ใจข้าเสียจริง บัณฑิตน้อยผู้แสนงดงาม ! ”
แววตาที่เปล่งประกายเหมือนดวงดาวท่ามกลางจักรวาลของเจียงโม่หานได้จับจ้องมาที่นางคล้ายต้องการดึงดูดให้จมหายไปในทะเลลึกไร้ที่สิ้นสุด หลินเว่ยเว่ยอยากจมลงในทะเลดวงดาวนี้…
“เช็ดน้ำลายของเจ้าด้วย ! ” ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่พัดในมือของนางกลับไปอยู่ในมือของบัณฑิตหนุ่มอีกครั้ง
หลินเว่ยเว่ยรีบดึงแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดมุมปากทันที “มีน้ำลายหกที่ไหนกัน ? บัณฑิตน้อยผู้แสนดีอย่างเจ้ากล้าโปรยเสน่ห์เพื่อล่อลวงข้า ! ”
“ไม่ได้ล่อลวงเสียหน่อย อย่างข้าจะโปรยเสน่ห์ใส่ใครเป็นหรือ ? ” เจียงโม่หานโบกพัดไปมาพร้อมก้าวเดินอย่างสง่างาม
จริงสิ ! หากบัณฑิตหนุ่มใช้เสน่ห์ล่อลวงผู้อื่น นางคงร้องไห้โดยไร้น้ำตา หลินเว่ยเว่ยไล่ตามไป ก่อนจะพูดอย่างเอาแต่ใจ “ต่อไปเสน่ห์ของเจ้ามีไว้ให้ข้าเชยชมผู้เดียว เข้าใจหรือไม่ ? ”
เจียงโม่หานเหล่ตามองไปทางนางด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน บนโลกใบนี้มีผู้ใดคู่ควรกับเสน่ห์ของข้าบ้าง ? ”
“ข้าเอง ข้าอย่างไรเล่า ! ” หลินเว่ยเว่ยชี้มาทางจมูกของตน ก่อนจะยื่นหน้าไปตรงเบื้องหน้าของบัณฑิตหนุ่ม
เจียงโม่หานมองพิจารณานางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยท่าทางไม่อยากจะเชื่อ “เอาเถิด ข้าจะฝืนใจนับเจ้าไว้คนหนึ่งก็ได้”
หลินเว่ยเว่ยเดินมาข้างกายของเขา จากนั้นก็เอียงศีรษะมองหน้า “บัณฑิตน้อย ช่วงนี้เจ้าทำตัวลึกลับซับซ้อนมาก มีเรื่องอันใดหรือไม่ ? ”
“พรุ่งนี้เจ้าต้องเข้าเมืองพร้อมข้า ประเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง” เจียงโม่หานยิ้มอย่างมีเลศนัยซึ่งรอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา หลินเว่ยเว่ยมองอย่างหลงใหลซ้ำแล้วซ้ำเล่า !
ระหว่างที่เดินเล่น เด็กกลุ่มหนึ่งก็ส่งเสียงร้องโวยวายขึ้นมา สองผู้นำที่เกรี้ยวกราดที่สุดก็คือเจ้าหนูน้อยกับเสี่ยวร่าง ตามมาด้วยวังตงเฉียงและพวกถู่โต้ว !
“พี่รอง พี่โม่หาน ! ” เจ้าหนูน้อยมองมาทางพวกเขาและวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว เร็วเหมือนเหยียบอยู่บนล้อลมและล้อไฟ “พวกท่านมาทำอันใดหรือ ? ”
“มาจับไก่ป่าสองสามตัวไปทำอาหารที่บ้าน ! ” หลินเว่ยเว่ยลูบศีรษะเจ้าหนูน้อยด้วยความเอ็นดู ทันใดนั้นสายคาดอกของเขาก็สั่นสะเทือนขึ้นเล็กน้อย ไม่นานก็มีศีรษะเล็ก ๆ สีดำโผล่ออกมาแล้วใช้ดวงตาสีอำพันจ้องเขม็งไปบนมือของหลินเว่ยเว่ยอย่างมีความหวัง
เจ้าตัวนี้เมื่อครั้งอยู่ในตระกูลหลินก็เป็นที่รักของทุกคน เจ้าหนูน้อยแทบจะนอนกอดมันทั้งคืน แต่คนที่มันใกล้ชิดที่สุดก็คือหลินเว่ยเว่ย จนพี่สาวคนโตล้อว่านางเป็นแม่ของเจ้าดำ !
“น้องสี่พาเจ้าดำออกมาอีกแล้วหรือ ? ข้าบอกแล้วใช่หรือไม่ว่าเจ้าดำยังเด็กเกินไป ควรให้มันนอนหลับอยู่ในกรง ! ” หลินเว่ยเว่ยจับท้ายทอยเจ้าดำ จากนั้นก็อุ้มมันออกมาจากอ้อมกอดของเจ้าหนูน้อย นางประคองมันไว้ในอุ้งมือและลูบขนมันเบา ๆ เจ้าดำรู้สึกสบายจนตาเริ่มปรือลงเล็กน้อย ไม่นานก็กอดหัวแม่มือของนางและหลับไปในที่สุด !
เจ้าหนูน้อยหัวเราะคิกคักพลางกล่าวว่า “วันนี้เจ้าดำเก่งขึ้นมาก จับตั๊กแตนตัวยาวได้หนึ่งตัว” เขาใช้มืออ้วน ๆ แสดงท่าทาง
หลินเว่ยเว่ยตอบ อืม เพียงสั้น ๆ แล้วก้มหน้ามองเจ้าดำที่กำลังนอนกรนเบา ๆ มันคงเหนื่อยมาก ยังไม่ถึงหนึ่งเดือนก็โดนเจ้าหนูน้อยพาวิ่งเล่นทั่วทั้งภูเขาโดยไร้ความปรานีแล้ว โชคดีที่นางใช้นมกวางซึ่งผสมน้ำจากมิติพุวิญญาณมาเลี้ยงดูมันจนแข็งแรง ไม่เช่นนั้นอาจสร้างความยุ่งยากตามมาก็ได้
“หึหึหึ…” เจ้าหนูน้อยเดินตามหลังนางต้อย ๆ
หลินเว่ยเว่ยได้ยินการเคลื่อนไหวจึงหันกลับไปมองเขาและถามว่า “ว่ามา จะทำสิ่งใด ? ”
“พี่รอง ข้าอยากตามท่านขึ้นเขา ข้าอยากดูท่านจับไก่ป่า ! ” เจ้าหนูน้อยเบิกตาที่กลมโตให้กว้างขึ้น พยายามทำตัวน่ารักต่อหน้าพี่สาว
“ข้าก็อยากไป พี่รองหลิน ข้าก็อยากไปด้วย ! ” ปกติแล้วเด็กจำนวน 7-8 คนที่เดินตามเจ้าหนูน้อยอยู่ด้านหลังล้วนมีอายุใกล้เคียงกับเขา บัดนี้เพิ่มเสี่ยวร่างเข้ามาอีกคน เจ้าหนูน้อยจึงกลายเป็นหัวหน้าของเด็กกลุ่มนี้ ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ จะทำสิ่งใดก็คอยทำตามตลอด
เจ้าหนูน้อยขุ่นเคืองไม่เบา “ข้าไม่อนุญาตให้พวกเจ้าตามไป ! คนมากมายเช่นนี้ทำให้ไก่ป่าหนีกระเจิงพอดี ! ”
เดิมทีลำพังเขาคนเดียว หากอยู่นิ่งสักพักพี่รองก็ยังมีโอกาสทำสำเร็จ แต่หากทุกคนตามไปเพื่อความสนุกสนาน พี่รองไม่มีทางเห็นด้วยแน่นอน เส้นผมที่ชี้โดดเด่นบนศีรษะของเจ้าหนูน้อยพับลงมาทันทีพร้อมแสดงท่าทางน่าสงสารเหมือนเจ้าดำที่ถูกเขาปฏิเสธไม่ให้กินเนื้อ
หลินเว่ยเว่ยลูบไปบนศีรษะของเจ้าหนูน้อย เดิมทีที่นางออกมาวันนี้ก็แค่มาเดินเล่น ในเมื่อเด็กๆ เอ่ยปากแล้วก็คงต้องพาพวกเขาออกไปเที่ยวเล่นบนภูเขาสักรอบ !
“เรามาตกลงกันก่อนว่าห้ามวิ่งวุ่นวายเด็ดขาด ทุกการเคลื่อนไหวต้องฟังคำสั่ง ใครแตกแถว ข้าจะทิ้งไว้ให้หมาป่าบนภูเขาจับกิน ! ” หลินเว่ยเว่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมจัดระเบียบพวกเด็กๆ จากนั้นก็พากลุ่มลูกเสือน้อยเดินขึ้นภูเขาอย่างกล้าหาญเปี่ยมไปด้วยพลัง !
ก่อนออกเดินทาง เด็กๆ ได้หยิบเอาหญ้ากระต่ายออกจากตะกร้าและยกให้ตระกูลหลินทั้งหมด เมื่อหลินจื่อเหยียนได้ยินการเคลื่อนไหวก็อดตามไปด้วยไม่ได้
หลินเว่ยเว่ยพาเด็กกลุ่มหนึ่งเดินเข้าไปในป่าที่ไม่ลึกสักเท่าไร ระหว่างเดินทางก็ได้ค้นหาร่องรอยบางอย่าง ในที่สุดท่ามกลางหุบเขาที่น้อยคนจะเดินทางมาถึงก็พบร่องรอยของไก่ป่าและกระต่ายป่าเข้าจนได้
“เด็กเด็ก ! ” หลินเว่ยเว่ยส่งเสียงเรียก
พวกเด็ก ๆ หยุดเดินอย่างพร้อมเพรียงและตะโกนออกไปว่า “ขอรับ ! ”
เสียงที่ดังกังวานนั้นทำให้นกที่อยู่บนต้นไม้พากันบินแตกตื่น หลินจื่อเหยียนอดปิดหน้าไม่ได้ การเคลื่อนไหวเสียงดังเช่นนี้ทำให้สัตว์ป่าที่อยู่ในละแวก 2-3 ลี้หนีกระเจิงไปหมด !
“เชือกของพวกเจ้าพร้อมแล้วใช่หรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยเอ่ยถามด้วยความกระตือรือร้น
เด็ก ๆ ตอบกลับด้วยเสียงที่สดใส “พร้อมแล้วขอรับ ! ”
“ดี ! ข้าจะช่วยพวกเจ้าวางเชือก จดจำเชือกและตำแหน่งกับดักของตนให้ดี เหยื่อติดกับดักของใครก็เป็นของคนนั้น ช่วงเวลาแห่งการพิสูจน์ตนเองมาถึงแล้ว ! ” หลินเว่ยเว่ยเป็นหัวหน้าเด็กในทันที การตัดสินใจของนางเปลี่ยนให้เด็กน้อยเปล่งเสียงที่ดังยิ่งขึ้น
ขั้นตอนต่อไปคือการหย่อนเชือก นางตรวจสอบแล้วว่าในหุบเขาเล็ก ๆ นี้ไม่มีเหยื่อตัวใหญ่นัก ไก่ป่าและกระต่ายป่ามีจำนวนไม่น้อย นางช่วยเด็กทุกคนหย่อนเชือกเพื่อไม่ให้เด็กน้อยผิดหวังนางจึงพรมน้ำจากในมิติน้ำพุวิญญาณบริเวณรอบ ๆ เชือก
“เอาล่ะ ! เราไปเกี่ยวหญ้ากระต่ายที่อื่นกันเถิด ก่อนจะลงจากภูเขาค่อยกลับมาตรวจสอบการพิสูจน์ตัวเองของพวกเจ้า” จากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็โบกฝ่ามือเพื่อให้เด็กน้อยเดินตามไป