ตอนที่ 323 ดูละคร ตื่นฝัน (3)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 323 ดูละคร ตื่นฝัน (3)

มั่วเหนียงเหยียดกายลุกขึ้นมองพวกสาวใช้ที่ตกตะลึง นางพูดตำหนิ “พวกเจ้าเข้าใจแล้วหรือยัง”

ชูอี สืออู่คุกเข่าแสดงถึงการตัดสินใจที่หนักแน่น “คุณหนูใหญ่ พวกข้าน้อยเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” พวกนางสองคนไม่เคยมีความคิดเช่นนั้นมาก่อน คุณหนูใหญ่สั่งให้พวกนางตาย พวกนางก็พร้อมที่จะตาย นับประสาอะไรกับการแสดงถึงการตัดสินใจหนักแน่นนี้เล่า

จื่อจู้ จื่อเหอ จื่อหลิงและจื่อเฉี่ยวเห็นว่าพูดถึงขั้นนี้แล้ว แน่นอนว่าทำได้เพียงคุกเข่าแสดงความจงรักภักดีเท่านั้น

คำพูดของมั่วเชียนเสวี่ย มีความหมายชัดเจน ไม่ว่าสถานการณ์ในวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร คุณหนูไม่มีวันอนุญาตให้พวกนางคลานขึ้นเตียงกูเหยียในอนาคตเด็ดขาด ยิ่งไม่มีวันยกพวกนางขึ้นเป็นอนุภรรยา ให้พวกนางได้รับความรักจากกูเหยีย

พวกนางไม่เคยเห็นหนิงเซ่าชิงมาก่อน แต่ตอนแรกที่ถูกเลือกเป็นสาวใช้คนสนิท ผู้ที่อยู่รอบตัวต่างอิจฉา

สาวใช้คนสนิทที่ติดตามออกเรือนไปด้วย ในตระกูลชั้นสูงนั้น เป็นที่รู้กันดีว่าคือผู้ถูกคัดเลือกเป็นสาวใช้ห้องข้าง ทำหน้าที่ปรนนิบัติรับใช้กูเหยียยามนายหญิงไม่สะดวก คลานขึ้นเตียงกูเหยียยามนายหญิงรู้สึกว่าตนมีอำนาจน้อยลง ช่วยเพิ่มอำนาจให้กับนายหญิง

ตอนที่พวกสาวใช้ได้ยินว่าฮ่องเต้พระราชทานสมรส สามีในอนาคตของคุณหนูคือหัวหน้าตระกูลหนิง พวกนางดีใจยิ่งนัก หัวหน้าตระกูลขุนนางทุกคนล้วนเป็นผู้มากความสามารถ มีผู้ใดในเทียนฉีบ้างที่จะไม่รู้

ไม่เพียงพวกนางที่ดีใจ คนในครอบครัวของพวกนางก็ล้วนดีใจกันทุกคน พวกทาสรับใช้ในจวนต่างพากันให้เกียรติพวกนางมากขึ้นเพราะเรื่องนี้

แม้จื่อจู้และจื่อเหอจะผิดหวังเล็กน้อย แต่ใช้เวลาเพียงไม่นานก็คิดได้ สีหน้าของพวกนางฉายความดีใจ แต่ทางด้านจื่อหลิงกับจื่อเฉี่ยวกลับมีสีหน้าสลดใจราวกับสูญเสียบิดามารดา แม้จะกล่าวคำสัตย์ ทว่าไม่ได้พูดด้วยความเต็มใจ

การที่มั่วเชียนเสวี่ยพูดเช่นนี้ต่อหน้าสาวใช้ทั้งสี่คน ประการแรกเพื่อเตือนพวกนาง ประการที่สองเป็นเพราะอยากจะลองใจพวกนาง

หากจงรักภักดีเช่นนั้นย่อมเป็นเรื่องที่ดี หากเป็นหูเป็นตาของผู้อื่น เช่นนั้นประจวบเหมาะอาศัยปากของทั้งสองแพร่งพรายเรื่องนี้

มิเช่นนั้น ประเดี๋ยววันนี้มีคนส่งหญิงงามมา พรุ่งนี้มีคนส่งสาวใช้มา วันมะรืนมีคนยัดเยียดน้องสาวมาให้นาง พวกสาวใช้ลอบไปยั่วยวนหนิงเซ่าชิงอีก เมื่อเป็นเช่นนี้ซ้ำๆ ชีวิตของนางก็ไม่มีวันสงบสุข มั่วเชียนเสวี่ยไม่อาจมั่นใจได้ว่าตนจะไม่สติวิปลาสเพราะพวกนาง

สตรีจอมอิจฉา หญิงริษยา ชื่อเสียงนี้นางไม่เคยเกรงกลัวมาก่อน!

พวกสาวใช้ต่างแสดงความจงรักภักดี มั่วเหนียงพยักหน้า สีหน้าของนางเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พูดกำชับ “คำพูดของคุณหนูในวันนี้ ห้ามผู้ใดแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด หากข้าจับได้ว่ามีคนนำไปพูด ข้าจะโบยให้ตาย แล้วขายทิ้งทั้งครอบครัว”

มั่วเชียนเสวี่ยไม่กลัวชื่อเสียงเสื่อมเสีย แต่มั่วเหนียงกลัว

เรื่องบางเรื่อง ทำได้ แต่ว่า ไม่อาจพูดออกไป อย่างน้อยไม่อาจนำออกมาพูดต่อหน้าธารกำนัล

สาวใช้ทั้งหกคนพยักหน้าและขานตอบด้วยความหวาดกลัว

เมื่อจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จสิ้น มั่วเชียนเสวี่ยก็เหนื่อยมากแล้ว นางล้มตัวลงนอนบนตั่งไม้ โบกมือบอกให้พวกนางออกไป มั่วเหนียงหยิบผ้าห่มมาคลุมให้นาง แล้วเดินออกไปจากห้องเป็นคนแรก จากนั้นสาวใช้ทั้งหกคนก็เดินตามหลังมั่วเหนียงออกไป

แม้มั่วเหนียงจะพูดกำชับแล้วกำชับอีก แต่คำพูดเหล่านี้ก็คล้ายมีปีกโบยบินออกไปจากจวนกั๋วกง โบยบินไปถึงหูของฮ่องเต้ ทั้งยังลอยล่องไปถึงหูของหนิงเซ่าชิง ลอยล่องไปถึงหูคนมีเจตนา

หนิงเซ่าชิงเพียงยกมุมปากขึ้น แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มซุกซน… ‘ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ขอเพียงคิดอยากจะใช้สามีร่วมกับข้า คนนั้นก็คือศัตรูของข้า’

คิดไม่ถึงว่านางจะให้ความสำคัญกับตนเช่นนี้ แม้ถ้อยคำนี้จะพูดอย่างตรงไปตรงมา ทั้งยังไม่ถูกหลักจริยธรรมและคุณธรรม ทว่าเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญ มีเพียงนางเท่านั้นที่จะพูดถ้อยคำเช่นนี้ได้ มีเพียงนางเท่านั้นที่จะกล้าพูดกระมัง

เมื่อฝ่าบาทได้ยินก็หัวเราะเช่นเดียวกัน อยากจะเป็นสตรีขี้หวง ต้องดูว่าตนมีชะตาชีวิตเช่นนั้นหรือไม่!

คิมหันต์มาเยือน ดวงอาทิตย์ส่งแสงเจิดจ้า ตั้งแต่เช้าตรู่

ท่านหญิงซูซูนั่งรถม้ามารับมั่วเชียนเสวี่ยไปเดินตลาด

ท่านหญิงซูซูสวมกระโปรงสีส้มปักดิ้นทอง ตรงกลางศีรษะปักปิ่นทองระย้าดอกบัวแฝดสีกุหลาบ คอระหงสวมสร้อยคอจี้หยก สวมต่างหูหยกเลี่ยมทองคำ ส่วนข้อมือสวมกำไลหยกเลี่ยมทองคำ ทั่วเรือนร่างแผ่ซ่านไปด้วยความสง่างาม โนเวล-พีดีเอฟ

การแต่งกายของมั่วเชียนเสวี่ยยังคงเรียบง่ายและสง่างามเช่นเคย นางสวมกระโปรงกลีบบัวสีเขียวทะเลสาบและปักด้วยดอกไม้ ทำผมมวยเมฆทรงนิยม มวยผมทั้งสองข้างปักด้วยปิ่นหลายอัน ดูไม่โอ่อ่า ทว่าไม่คลายความสง่างาม ไม่อาจต้านทานราศีบุตรีท่านกั๋วกงได้

หญิงงามทั้งสอง แน่นอนว่าเดินไปที่ใดล้วนเป็นจุดสนใจ

โชคดี พวกนางเดินทางโดยใช้รถม้า อีกทั้งท่านหญิงซูซูก็คุ้นเคยกับเมืองหลวงเป็นอย่างดี ร้านที่นางพามั่วเชียนเสวี่ยไป จึงมีเพียงตระกูลชั้นสูงเท่านั้นที่เข้าไปได้ มิเช่นนั้นหญิงงามทั้งสอง เดินเตร็ดเตร่บนท้องถนน ด้านหลังยังมีสาวใช้นับไม่ถ้วนคอยเดินตาม ต้องทำให้ถนนติดขัดอย่างแน่นอน

พวกนางสองคนเดินเข้าไปในร้านผ้าหลายร้าน เดินเข้าไปในร้านเครื่องประดับที่เลื่องชื่อที่สุดในเมืองหลวง ทั้งยังไปร้านภาพวาดสองสามร้าน ร้านขายสินค้าพิเศษในเมืองหลวง…

เที่ยงวัน พวกนางสองคนหิวยิ่งนัก ภายใต้การเชื้อเชิญของมั่วเชียนเสวี่ย ทั้งสองที่จับจ่ายสินค้าไปมากมายมารับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคารอวี่จี้ภัตตาคารภายใต้ชื่อของมั่วเชียนเสวี่ย

ก่อนที่ทั้งสองจะมาถึง มีคนมารายงานแต่แรกแล้ว เมื่อรถม้าจอดที่หน้าภัตตาคารอวี่จี้ เถ้าแก่ของภัตตาคารรีบมาต้อนรับ แล้วพาพวกนางสองคนไปนั่งในห้องอาหารชั้นบน

มั่วเชียนเสวี่ยเพิ่งบอกให้ท่านหญิงซูซูนั่งลง อวิ๋นอิ๋นก็เดินมาทำความเคารพ

เมื่อหลายวันก่อนสืออู่ไปรับอวิ๋นอิ๋นที่เมืองอวิ๋นฉี่

คนที่มาพร้อมกับนางยังมีสองสามีภรรยาหวังเทียนเหลย ลูกศิษย์ที่เรียนแกะสลักและชาวบ้านบางส่วนในหมู่บ้านหวังจยา

แค่ว่า หลังจากรับมา มั่วเชียนเสวี่ยก็สั่งให้อวิ๋นอิ๋นมาดูแลบัญชีของภัตตาคารแห่งนี้ทันที ส่วนพวกหวังเทียนเหลย มั่วเชียนเสวี่ยให้พวกเขาไปอยู่ที่บ้านสวน

อวิ๋นอิ๋นโน้มตัวลงทำความเคารพ พูดเสียงเบา “วันนี้ท่านอาจารย์หนิงพาสหายมารับประทานอาหารที่ภัตตาคารเช่นเดียวกันเจ้าค่ะ อยู่ห้องข้างๆ ให้ข้าน้อยไปบอกท่านอาจารย์หนิงหรือไม่เจ้าคะ…”

……

ณ วังหลวง

ตลอดหลายวันมานี้บรรยากาศในห้องทรงอักษรอึมครึม บรรดาขันทีและนางกำนัลต่างเงียบกริบเหมือนกับจั๊กจั่นในฤดูเหมันตร์ ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย

หัวหน้าขันทีกลับมาจากการทำงานด้านนอก โบกมือบอกให้ขันทีและนางกำนันที่คอยปรนนิบัติรับใช้ในห้องทรงอักษรออกไป

ฝ่าบาทมองตำราหมากในมือแล้วเล่นคนเดียว พระองค์ไม่วางหมากที่หนีบไว้ และไม่เงยหน้าขึ้น คล้ายติดอยู่ในหมากเกมนี้ “สืบเบื้องหลังของหลูเจิ้งหยางไปถึงที่ใดแล้ว”

“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมกำลังจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ” หันหน้าขันทีโค้งตัวลง ยกนิ้วก้อยขึ้นปัดฝุ่นบนร่างกาย พูดเสียงแหลม

“หลูเจิ้งหยางเกิดในตระกูลพ่อค้าธรรมดาในอำเภอเทียนเผย รู้จักกับหนิงเซ่าชิงที่ถิ่นกันดารซึ่งเป็นที่ดินศักดินาของตระกูลหนิง ตอนนั้น…ทั้งสองสนิทสนมกันราวกับพี่น้อง หนิงเซ่าชิงสนิทสนมกับเขายิ่งกว่าน้องชายแท้ๆ ของตนเองพ่ะย่ะค่ะ…”

หัวหน้าขันทีพูดร่ายยาว รายงานตั้งแต่ชาติกำเนิดของหลูเจิ้งหยาง ไปจนถึงเรื่องที่ทั้งสองคนรู้จักกันได้อย่างไรและเคยผ่านอะไรกันมาบ้าง เล่าได้ละเอียดยิ่งนัก

หลังจากพูดจบก็ก้มหน้าลง ไม่กล้าแสดงความดีความชอบ

ฝ่าบาทครุ่นคิดครู่หนึ่ง คล้ายนึกถึงเรื่องบางอย่าง ท่ามกลางดวงตาทอประกาย มีความคบเฉียบเสมือนกระบี่ พุ่งตรงไปที่หัวหน้าขันที “แซ่หลูคนนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลหลูในเมืองหลวงที่ถูกฆ่าทำลายเมื่อร้อยปีก่อนหรือไม่”

หัวหน้าขันทีใจสั่น ก้มต่ำยิ่งกว่าเดิม “กระหม่อมให้คนสืบบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตรของหลูเจิ้งหยางอย่างละเอียดแล้วพ่ะย่ะค่ะ หลังจากผ่านการตรวจสอบ ตระกูลของพวกเขาอยู่ที่อำเภอเทียนเผยทุกชั่วรุ่น ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับตระกูลหลูในเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ”

“…” ฝ่าบาทคล้ายจะไม่เชื่อ พ่อค้าที่เป็นเพียงชาวบ้านทั่วไป ใช้ระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปี สร้างอำนาจยิ่งใหญ่เช่นนี้ ทั้งยังเป็นสหายคนสนิทของคุณชายใหญ่ตระกูลชั้นสูง บังเอิญเกินไปแล้วกระมัง