บทที่ 284 สมุดบันทึกที่คุ้นตา

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 284 : สมุดบันทึกที่คุ้นตา

เพราะชานมไข่มุกจากต่างโลกเพียงแก้วเดียว สงครามความเชื่อภายในตระกูลของพรีม่าจึงสงบลง…ถึงแม้ว่าผู้มีความเชื่อทั้งสองฝ่ายจะเคยทะเลาะกันจนแทบจะคืนดีกันไม่ได้ ต้องตายกันไปข้างหนึ่งเท่านั้นมาก่อนก็ตาม

ยกตัวอย่างเช่น ที่เจโรมส่งคนมาไล่ล่าพรีม่า พี่สาวของพรีม่า มาร์กาเร็ตก็ยังหายสาบสูญ แต่ในที่สุดคุณลุงคนดังกล่าวก็ตายอย่างน่าอนาถ

แต่เพราะความที่ชื่นชอบอาหารเหมือนกัน พวกเขาจึงพบความเหมือนกันในตัวของแต่ละฝ่าย

ในตอนนี้เอง ในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักได้ว่าทั้งตนและฝ่ายตรงข้ามต่างก็มีสายเลือดเดียวกันไหลเวียน และตระหนักว่าความสมานฉันท์ของครอบครัวนั้นสำคัญกว่าความเชื่อกลวง ๆ พวกเขาเกิดจากรากเหง้าเดียวกัน ทำไมต้องฆ่าฟันกันเองด้วย…

แล้วก็จับมือสงบศึกคืนดีกัน

จากความคิดของหลินเจี๋ยต่อคำอธิบายของแอนดรูว์แล้ว เรื่องโดยคร่าว ๆ ก็น่าจะเป็นแบบนี้แหละ

อืม… เข้าใจได้ไม่ยากเลย!

เพราะถึงอย่างไร อาหารก็มีอำนาจไม่รู้จบ

หรือก็คือ ที่จริงแล้วคุณหนูพรีม่าคนนี้สามารถออกจากร้านหนังสือได้ตั้งหลายวันแล้ว

แต่เมื่อหลินเจี๋ยถามพรีม่าในตอนนั้น เธอกลับพูดอย่างตระหนกในทันทีว่าเธอยังไม่อยากกลับไปตอนนี้ แต่ขออยู่ต่อในร้านหนังสืออีกสักสองสามวัน

เหตุผลที่เธอให้ก็ง่าย ๆ ด้วยเช่นกัน

“คุณหลินไม่เพียงช่วยชีวิตฉัน แต่ก็ยังให้ความรู้สำคัญขนาดนี้กับฉันด้วย ฉันรู้ค่ะว่าฉันตอบแทนคุณยังไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็หวังว่าฉันจะช่วยแบ่งเบาภาระคุณหลินได้บ้าง…”

การช่วยแบ่งเบาภาระที่ว่าก็ย่อมหมายถึงการเสิร์ฟเครื่องดื่มในคาเฟหนังสือ พร้อมกับช่วยมูเอนดูแลและทำงานที่คาเฟ

หรือก็คือ…เป็นผู้ช่วยของผู้ช่วยของหลินเจี๋ยอีกที

หลินเจี๋ยมองผู้ช่วยของเขาที่คุณหนูน้อยคนนี้ช่วยเหลือ เธอทำงานดีมากและเข้ากันได้ดีในทุกเรื่อง ในขณะเดียวกันนอกจากอาหารสามมื้อแล้ว โดยพื้นฐานแล้วเธอก็ทำงานให้เขาฟรี ๆ

ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากการหายตัวไปของพี่สาวและการที่ลุงแท้ ๆ ของเธอส่งคนมาลอบฆ่าเธอจึงเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเธอจะมีบาดแผลในใจจากคำว่าครอบครัว

การกลับไปอาจจะต้องการทำใจก่อน

ดังนั้นหลินเจี๋ยจึงยอมให้พรีม่าอยู่ต่อในช่วงนี้ แต่ว่า…นี่ไม่ใช่แผนในระยะยาว เพราะถึงอย่างไรเธอก็ต้องกลับไปเผชิญหน้ากับครอบครัวของเธออยู่ดี

แผนในตอนนี้ของหลินเจี๋ยคือให้มูเอนตามเธอไปด้วยเมื่อถึงเวลานั้น

ถึงแม้มูเอนจะดูเหมือนเด็กสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอ แต่พลังการต่อสู้ของเธอนั้นเทียบกันไม่ได้เลย เพราะมูเอนเป็นคนแบบที่สามารถล้มคนหนุ่มสาวได้ห้าคนทันทีโดยไม่ต้องใช้อาวุธ!

หมายถึงเพื่อน ๆ ที่น่าสงสารของฮู้ดน่ะนะ

ยิ่งกว่านั้น มูเอนยังมั่นคงในงานของเธอมากขึ้นด้วย ทันทีที่เธอรับรู้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เธอก็ยังสามารถติดต่อแอนดรูว์หรือเขาทันทีก็ได้

หลินเจี๋ยครุ่นคิดหนักมาสองวันว่าจะหาโอกาสพูดกับพรีม่าสักครั้งอย่างไรดี แล้วจู่ ๆ ประตูร้านก็ถูกผลักเปิด

“ยินดีต้อนรับครับ”

หลินเจี๋ยรีบเก็บไม้หยอกแมวแล้วเงยหน้าขึ้นมอง แล้วเขาก็เห็นชายวัยกลางคนร่างผอมสูงที่มีสีหน้ากระวนกระวายปะปนอยู่ เจ้าขาวลื่นไปข้างหน้าเล็กน้อยเนื่องมาจากแรงเฉื่อยการกระโจน แล้วก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรง ร้องเหมียวออกมาอย่างเย็นชาด้วยใบหน้าภาคภูมิ

ในสายตาหลินเจี๋ย ชายวัยกลางคนที่เข้ามาในร้านหนังสือแต่งกายสะอาดเรียบร้อย เสื้อกั๊กหนัง กางเกงขายาว รองเท้าหนังดูเปราะบางเล็กน้อย เขาสวมแว่นตากรอบสีทองและถือหนังสือ…หรือสมุดบันทึกไว้

สีหน้าของเขาเคร่งเครียดและขุ่นเคืองใจ หลังจากเข้ามาในร้านได้ ชายที่เพิ่งมาใหม่ก็ยิ้มอย่างเป็นมิตรให้เจ้าของร้านหนังสือโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็หันไปปิดประตูร้านหนังสืออย่างระมัดระวัง

…ทำตัวอย่างกับสายลับใต้ดินที่กำลังจะทำข้อตกลงลับ ๆ ล่อ ๆ เลยเฮ้ย…?

หลินเจี๋ยอดบ่นในใจไม่ได้ ท่าทางสหายคนนี้ดูจะไม่ได้มาซื้อหนังสือ แต่เหมือนมาซื้อของน่าอายบางอย่างแทน

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังกังวลจนหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่ออีก!

“สวัสดีครับ”

ชายวัยกลางคนเดินเข้ามา สูดหายใจลึก ๆ แล้วมองชายหนุ่มที่ยิ้มอย่างใจดีตรงหน้า แล้วถามขึ้นอย่างลังเลเล็กน้อย “ขอโทษนะครับ คุณเป็นเจ้าของร้านหนังสือนี้หรือเปล่า?”

“ครับ นี่เป็นร้านหนังสือของผมเอง”

หลินเจี๋ยพยักหน้า แม้จะรู้สึกได้ว่าเจ้าหมอนี่คงไม่ได้มาซื้อหนังสือแน่ ๆ แล้วก็ตาม แต่เขาก็ถามตามปกติ “สนใจซื้อหนังสือ ยืมหนังสือ หรือแค่อ่านครับ?”

ชายวัยกลางคนเดินไปนั่งที่หน้าเคาท์เตอร์แล้วตัดสินใจวางสมุดบันทึกในมือลง “เปล่าครับ เอ่อ…ผมชื่อธีโอดอร์ เป็นเจ้าของร้านหนังสือมือสองที่เพิ่งมาเช่าที่ในศูนย์การค้าตรงข้ามถนนที่บริษัทโรลล์เพิ่งสร้างเสร็จ ผมถือวิสาสะมาที่นี่เพราะหนังสือเล่มนี้ครับ…”

…เพื่อนร่วมอาชีพเหรอ?

จากสถานการณ์นี้ หรือเขาอยากจะขายสมุดบันทึกเล่มนี้ให้เรากันล่ะ?

หลินเจี๋ยทอดสายตาลงมองสมุดบันทึกที่ดูเยินสุด ๆ เล่มนั้น มันเป็นหนังสือปกสีดำธรรมดา ๆ ที่มีคราบติดแน่น มุมหนึ่งของมันหายไป และกระดาษที่มองจากด้านข้างก็ยับย่นและมีรอยเปื้อน ดูจากความเละเทะของมันแล้ว อายุของมันคงจะย้อนหลังไปอย่างน้อยก็สิบปีได้

หนังสือมือสองเล่มนี้…อาจจะผ่านมาแค่สองมือจริง ๆ ก็ได้

แน่นอน นี่ย่อมเป็นเพียงแค่มุกตลก สมุดบันทึกเล่มนี้ควรมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เช่นบุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นคนเขียนมัน หรือมันถูกบันทึกเรื่องราวหรือข้อมูลสำคัญมากบางอย่างไว้

แค่ว่า…ในเมื่อเขาเป็นเจ้าของร้านหนังสือมือสอง อีกฝ่ายก็น่าจะรู้ราคาของหนังสือพวกนี้ดีมากอยู่แล้วนี่

ถ้าเป็นอย่างที่หลินเจี๋ยคิดจริง ๆ มูลค่าของสมุดบันทึกเล่มนี้ควรจะสูงลิ่ว แล้วทำไมเขาถึงไม่ขายมันให้นักวิชาการเฉพาะทางที่ต้องสนใจมันแน่ ๆ หรือขายพิพิธภัณฑ์เสียล่ะ?

แต่กลับมาหาเขาซึ่งเป็นเพื่อนร่วมอาชีพ…ที่ออกจะอนาถากว่าด้วยซ้ำเสียแทน

คงไม่ใช่ว่าเขาวางแผนเอาหนังสือที่ไม่มีค่าจริง ๆ มาปลอมแปลงแล้วตุ๋นเจ้าของร้านหนังสือคนอื่นผู้ซื่อสัตย์นิสัยดีหรอกใช่ไหม?

เหมือนที่เขาทำ…

หลินเจี๋ยลังเล มือทั้งสองประสานใต้คาง เขาตัดสินใจไม่พูดแล้วแสร้งทำเป็นผู้เชี่ยวชาญในวงการแล้วรอให้ธีโอดอร์บอกจุดประสงค์การมาที่นี่ให้เขาฟังชัด ๆ

เพราะแค่หนังสือเล่มนั้นมันอธิบายเรื่องอะไรไม่ได้เลย

อีกฝ่ายยังคงพูดต่ออย่างตะขิดตะขวงใจ “หนังสือเล่มนี้ ผมเองก็เข้าใจมันแค่นิดหน่อย มันถูกซื้อต่อมาจากคนอื่น รู้แค่ว่ามันมาจากเขตล่าง โดยพื้นฐานแล้วผมจับใจความอะไรที่มันเขียนไว้ไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่เพราะมัน…ช่วงนี้ถึงเกิดเรื่องประหลาดกับผม”

หลินเจี๋ยเอนหลังเล็กน้อย อุ้มเจ้าขาวขึ้นมาแนบอกแล้วลูบ จากนั้นก็เลิกคิ้วถาม “เรื่องประหลาดเหรอครับ?”

ธีโอดอร์พยักหน้าอย่างหนักแน่น “ใช่ครับ…อยู่ดี ๆ ผมก็ถูกใครไม่รู้ตามรอยแล้วสืบเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้…พวกเขามากันมากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ผมไม่มีทางออกแล้ว ก็เลยอยากมาขอความช่วยเหลือจากคุณครับ!”

แล้วเขาก็อธิบายต่ออย่างระมัดระวัง “ผมเคยเห็นรถของบริษัทโรลล์หยุดที่หน้าร้านนี้เมื่อไม่กี่วันก่อน คุณหนูคนนั้นเหมือนเอาของขวัญมาให้คุณด้วย เพราะอย่างนั้น…”

เพราะอย่างนั้นคุณเลยคิดว่าผมเป็นบุคคลเจ้าปัญญาที่รู้ไปทุกเรื่องเหรอ?

คิดผิดแล้วล่ะคุณเอ๊ย…ผมน่ะก็แค่เจ้าของร้านหนังสือธรรมดาที่อย่างมากที่สุดก็พอใช้พลังเหนือธรรมชาติได้นิดหน่อยเท่านั้นแหละ ผมแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาแค่นิดเดียวเอง

แต่ในที่สุดเราก็เข้าใจเรื่องนี้แล้ว ที่แท้ต้นตอของปัญหาก็คือ…พฤติกรรมของคุณหนูจี้

หลินเจี๋ยขมวดคิ้ว ยกมือลูบหน้าผากของตัวเอง “ขอผมดูก่อนนะครับ แล้วค่อยว่ากัน ผมเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไป มีความสามารถจำกัด เพราะอย่างนั้นจึงไม่แน่ใจนะครับว่าจะช่วยคุณได้ไหม”

หลินเจี๋ยยื่นมือออกไปรับสมุดบันทึก พินิจรอยเปื้อนที่หน้าปกแล้ว จากประสบการณ์ของเขา เขาคิดว่ามันน่าจะเป็นรอยเลือด

ดูเหมือนว่าเรื่องที่เขียนอยู่ข้างในคงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ จริง ๆ

แต่เขาไม่รู้ว่าทำไม…เขาจึงคิดว่าสมุดบันทึกเล่มนี้ดูคุ้นตาสุด ๆ ไปเลยกันนะ? เขาเหมือนเคยเห็นหนังสือแบบเดียวกันนี้ที่ไหนสักที่มาก่อน