ตอนที่ 294 ซ้อนกล

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 294 ซ้อนกล

ฟางจั๋วเยวี่ยแกล้งพูดกับหวังหรงอย่างไม่พอใจ “เธอรินไวน์ให้พี่ชาย แต่ไม่ยอมรินไวน์ให้ฉันเนี่ยนะ?”

หวังหรงตอบกลับอย่างเย็นชา “นายไม่มีมือหรือไง?”

พอเห็นว่าฟางจั๋วหรานกระดกดื่มไวน์แดงจนหมดแก้วแล้ว หล่อนก็รินไวน์ให้เขาอีกแก้วอย่างต่อเนื่อง ฉวยโอกาสแกล้งรินพลาดจนหกใส่เขาเหมือนไม่ตั้งใจ

หวังหรงรีบยื่นมือไปเช็ดให้เขา แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าคงดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่

หล่อนถอนมือออกแล้วพูดอย่างกระวนกระวาย “ทำยังไงดี วันนี้พี่จั๋วหรานใส่กางเกงสีอ่อนซะด้วย คราบไวน์แดงที่หกเปื้อนกางเกงของเขาดูน่าเกลียดมากเลย…”

แม่เฒ่าหวังแกล้งสะบัดเสียงใส่ “ทำตัวเป็นสาวน้อยไม่รู้ประสาไปได้ เรื่องแค่นี้ถึงกับตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเชียวหรือ? ไปเตรียมน้ำร้อนให้พี่จั๋วหรานของเธอซะ ให้เขาใช้ผ้าชุบน้ำร้อนเช็ดตรงที่เปื้อนคราบไวน์หลาย ๆ ครั้ง แค่นี้คราบไวน์ก็เลือนจนสะอาดแล้ว”

หวังหรงตอบรับทันที วางขวดไวน์ลงบนโต๊ะแล้วเดินออกไปเตรียมน้ำร้อน

หลังจากต้มน้ำเสร็จแล้ว หล่อนก็ยกอ่างน้ำร้อนไปวางในห้องว่างที่ไม่มีใครอยู่ ยืนอยู่นอกประตูแล้วเรียกให้ฟางจั๋วหรานไปทำความสะอาดกางเกง

ฟางจั๋วหรานเหลือบมองฟางจั๋วเยวี่ยเล็กน้อย จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินตามไป

ฟางจั๋วเยวี่ยยกมือขึ้นเกาศีรษะ “ให้ตายเถอะ จู่ ๆ ผมก็ปวดฉี่ ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ” พูดจบแล้ว เขาก็ลุกออกมาจากโต๊ะอาหาร

ฟางจั๋วหรานเดินเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่านั้น พอได้กลิ่นหอมฉุนบางอย่างที่น่าประหลาดก็รู้สึกแปลกใจ

เขาพยายามมองหาที่มาของกลิ่น พบว่าเป็นกลิ่นจากก้านธูปที่แม่เฒ่าหวังจุดเพื่อไหว้ป้ายชื่อสามีบนหิ้งบรรพบุรุษ

เขาสังเกตก้านธูปที่ปักอยู่ในกระถางด้วยความระมัดระวัง

โดยปกติแล้ว เวลาจุดธูปสักการะบรรพบุรุษ มักใช้ธูปแค่สามถึงห้าดอกเท่านั้น แต่แม่เฒ่าหวังกลับจุดมันพร้อมกันหนึ่งกำมือ ทำให้ควันลอยอบอวลไปทั่วห้อง

ธูปที่มีกลิ่นหอมแรงเป็นพิเศษนี้คงเป็นธูปหญ้าหอมที่หวังหรงกับหลูจ้าวซิ่งพูดถึง

แต่เขาไม่ได้ดื่มไวน์ที่มียานั้นเจือปนอยู่ จึงไม่ต้องกลัวว่ากลิ่นของธูปชนิดนี้จะออกฤทธิ์

ฟางจั๋วหรานเดินไปยังอ่างบรรจุน้ำร้อน หยิบผ้าขนหนูมาชุบน้ำ บิดหมาด ๆ แล้วก้มลงเช็ดคราบไวน์ที่หกเปื้อนกางเกงของตัวเอง

หวังหรงที่ยืนอยู่ด้านข้างเริ่มทำการแสดงของตัวเองทันที พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “อากาศร้อนเกินไป ฉันทนไม่ไหว”

จากนั้นก็ถอดเสื้อนอกแขนสั้นที่สวมอยู่ออก เผยให้เห็นเสื้อแขนกุดไหล่แคบจนเกือบจะเป็นสายเดี่ยวที่ใส่ซ้อนอยู่ด้านใน

เนินอกขาวสล้างรวมถึงต้นแขนที่ขาวราวกับหิมะถูกเปิดเผยอย่างสมบูรณ์ ถึงแม้จะชวนให้หลงใหล แต่มันกลับดึงดูดสายตาของฟางจั๋วหรานไม่ได้เลย

หนำซ้ำหางตาที่ปรายมองหล่อนยังเต็มไปด้วยความรังเกียจ

หวังหรงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ถึงอย่างนั้นก็พยายามทำใจแข็งนั่งลงบนเตียงอย่างกล้าหาญ รอจนกว่ายาจะออกฤทธิ์

หล่อนจะประสบความสำเร็จกับฟางจั๋วหรานสมใจหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งหมดทั้งมวลในวันนี้

ตลอดหลายวันที่ผ่านมา คุณย่าของหล่อนอุตส่าห์เตรียมแผนการทั้งหมดอย่างรัดกุม หล่อนเองก็รอคอยมานานมาก

ในสมองนึกจินตนาการถึงภาพของฟางจั๋วหรานที่ทำเรื่องผิดพลาดกับตัวเองภายใต้อิทธิพลของยาปลุกอารมณ์ จากนั้นก็ต้องยอมแต่งงานกับหล่อนทั้ง ๆ ที่ไม่เต็มใจ คิดแล้วมุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม

ทว่าห้านาทีผ่านไปก็แล้ว ฟางจั๋วหรานกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรทั้งสิ้น ยังคงก้มหน้าก้มตาเช็ดคราบไวน์บนกางเกงอย่างจริงจัง

หวังหรงอดมองแผ่นหลังของเขาไม่ได้

ยาไม่ออกฤทธิ์งั้นเหรอ? เป็นไปไม่ได้ เขาดื่มไวน์ไปเกินครึ่งขวดด้วยซ้ำ ยาทั้งหมดที่อยู่ในแก้วควรไหลลงกระเพาะของเขาจนหมดแล้ว

หรือว่าหล่อนใส่ยาลงในแก้วน้อยเกินไป ทำให้เขาไม่ได้รับผลกระทบ?

แต่เหตุผลที่ว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งจนดื้อยาก็เป็นไปได้เหมือนกัน

ไม่ว่าฟางจั๋วหรานจะเป็นแบบนั้นจริงหรือไม่ หวังหรงก็ไม่สนใจ

ใช่ว่าก่อนหน้านี้หล่อนไม่เคยพยายามทอดสะพานให้เขา

ตอนอายุสิบแปด หล่อนเคยแกล้งทำเป็นเมาไม่ได้สติ ล้มตัวลงนอนบนเตียงของเขาทั้ง ๆ ที่ใส่แค่ชุดชั้นใน ถือเป็นการเปลืองตัวครั้งใหญ่

ไม่น่าเชื่อว่าเขากลับโยนหล่อนออกไปอย่างไม่ไยดี

หล่อนยังจดจำความเจ็บปวดจากการที่ศีรษะกระแทกพื้นห้องได้อยู่เลย

ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ยังมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ก็ต้องเป็นฝ่ายรุก หล่อนไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะใจแข็งกับการยั่วยวนของหล่อนได้ ยกเว้นแต่เขาจะไม่ใช่ผู้ชาย!

พอคิดมาถึงตรงนี้ หวังหรงก็กัดฟัน ปลดสายเสื้อบนไหล่ข้างหนึ่งออก ยิ่งเปิดเปลือยผิวพรรณเหนือหน้าอกของหล่อนมากขึ้นกว่าเก่า

หล่อนเดินเข้าไปใกล้ฟางจั๋วหราน ไม่พูดพร่ำทำเพลง เอื้อมมือไปช่วยเช็ดคราบบนกางเกงของเขา

น้ำเสียงที่ออกจากปากเต็มไปด้วยความยั่วยวน “พี่จั๋วหราน เดี๋ยวฉันช่วยเช็ดให้นะ”

คราบไวน์เหล่านั้นเปื้อนตรงจุดอ่อนไหวของฟางจั๋วหรานพอดิบพอดี หล่อนไม่เชื่อว่าการที่ตัวเองสัมผัสลูบไล้ถึงขนาดนี้จะไม่ทำให้เขาเกิดอารมณ์

แต่ยังไม่ทันที่มือจะเลื่อนไปสัมผัส หล่อนก็ถูกฟางจั๋วหรานผลักจนล้มไปกองอยู่ที่พื้น “เธอมันทำตัวไร้ยางอายเหมือนอาของเธอไม่มีผิด!”

หวังหรงอับอายมาก ใบหน้าเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ

แต่เมื่อมองเห็นแววชิงชังรังเกียจและดูถูกเหยียดหยามในสายตาของฟางจั๋วหราน หล่อนกลับเกิดแรงฮึดขึ้นมา

พี่เกลียดฉันนักใช่ไหม งั้นฉันจะบังคับให้พี่ยอมแต่งงานกับฉันให้ได้!

หวังหรงลุกขึ้นจากพื้น ปลดสายเสื้อบนไหล่อีกข้างหนึ่งออกอย่างรวดเร็ว

จากนั้นก็โผเข้าหาฟางจั๋วหรานด้วยความปรารถนาอย่างเต็มเปี่ยม พูดพึมพำเสียงแผ่ว “พี่จั๋วหราน ฉันรู้ว่าพี่เองก็ต้องการฉัน แต่แค่พยายามหักห้ามใจอยู่ อย่าอดทนเลย มาเถอะ มามีความสุขกัน!”

ฟางจั๋วหรานไม่รอให้หล่อนเข้ามาใกล้ ใช้ขาเตะหล่อนจนกระเด็นออกไป ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำเพราะความโกรธ “ต้องการเธองั้นเหรอ? ฝันไปเถอะ!”

แรงเตะในครั้งนี้ไม่เบาเลย หวังหรงพยายามจะลุกขึ้นยืนอีกครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ

ขณะนั้นเอง ฟางจั๋วเยวี่ยก็โผล่เข้ามาอย่างมุ่งร้ายพร้อมกับกล้องบันทึกวิดีโอขนาดเล็กที่นำเข้าจากต่างประเทศในมือ

“หวังหรง เธอคิดจะรวบหัวรวบหางพี่ชายฉันเหรอ ฉันถ่ายทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว ถ้าใครขอหลักฐานฉันพร้อมจะประจานทุกเมื่อ ฉันไม่ยอมให้เธอสาดโคลนใส่พี่ชายฉันฝ่ายเดียวแน่!”

พอหวังหรงได้ยินแบบนั้น ใบหน้าของหล่อนเปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันที ร้องตะโกนอย่างกระวนกระวาย “จั๋วเยวี่ย! เราเป็นญาติกันนะ นายทำแบบนี้กับฉันไม่ได้!”

“ทำไมฉันจะทำไม่ได้ มันไม่ผิดกฎหมายซะหน่อย!”

ว่าแล้วฟางจั๋วเยวี่ยก็ขยิบตาให้พี่ชายของเขา “พี่ชาย ออกไปกินข้าวกันต่อดีกว่า วันนี้กับข้าวอร่อยมากเลยล่ะ”

ถึงฟางจั๋วหรานจะไม่เข้าใจความหมายของน้องชาย แต่เขาเดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายกำลังจะเล่นตลกอะไรบางอย่าง ดังนั้นจึงเดินตามอีกฝ่ายออกไปด้วยรอยยิ้ม

ทันทีที่เดินออกจากห้อง พวกเขาก็บังเอิญชนเข้ากับหลูจ้าวซิ่ง

ดวงตาหลูจ้าวซิ่งหวานเยิ้ม ฝีเท้าซวนเซไม่มั่นคง อีกทั้งใบหน้ายังแดงก่ำจนผิดสังเกต

ฟางจั๋วหรานเหลือบมองฟางจั๋วเยวี่ยด้วยความสงสัย

ฟางจั๋วเยวี่ยถามหลูจ้าวซิ่งด้วยรอยยิ้ม “ทำไมจู่ ๆ ก็ลุกออกมาซะอย่างนั้นล่ะ?”

หลูจ้าวซิ่งกระพือคอเสื้อของตัวเอง “ไวน์แดงของคุณยายนายแรงเกินไป ยิ่งดื่มยิ่งร้อนจนทนไม่ไหว ก็เลยเดินออกมาสูดอากาศซะหน่อย”

“อย่างนี้นี่เอง” ฟางจั๋วเยวี่ยชี้ไปทางห้องที่หวังหรงยังอยู่ข้างในอย่างมีเลศนัย “ถ้างั้นนายเข้าไปนอนพักที่ห้องนั้นสักหน่อยก็ได้ ในห้องนั้นเย็นกว่าข้างนอก แถมยังมีน้ำแข็งด้วยนะ”

ทันทีที่หลูจ้าวซิ่งได้ยินว่าในห้องมีน้ำแข็ง เขาก็เร่งฝีเท้าเดินจากไปทันที

รอจนเขาเดินห่างออกไปไกลแล้ว ฟางจั๋วหรานก็กระซิบถามฟางจั๋วเยวี่ย “อย่าบอกนะว่านายแอบสลับแก้วไวน์ของฉันกับแก้วไวน์ของเขา?”

ฟางจั๋วเยวี่ยแค่นเสียงเย้ยหยัน “แล้วไงล่ะ ใครบอกให้เขารวมหัวลอบกัดพี่ โดนฉันซ้อนกลนิดหน่อยก็สมควรแล้ว”

เขาไม่ได้ทำอะไรผิด

สองพี่น้องก้าวห่างออกมาได้แค่สองก้าว พวกเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องอันเสียดแทงหัวใจของหวังหรงดังออกมาจากห้องนั้น “ไอ้คนชั่ว ปล่อยฉัน ปล่อยฉันนะ ช่วยด้วย!”

สองพี่น้องแค่หยุดชะงักและหันหลังมองกลับไป แต่ไม่มีใครอยากเดินย้อนกลับไปช่วยหวังหรง

ในห้องอาหาร ผู้คนที่นั่งรายล้อมอยู่รอบโต๊ะอาหารนั่งนิ่งเหมือนกำลังรอสัญญาณอะไรบางอย่าง

ทันทีที่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของหวังหรง ทุกคนต่างก็แสดงสีหน้าตื่นเต้น รีบวิ่งออกจากห้องอาหารไปพร้อมกัน

โดยเฉพาะแม่เฒ่าหวังที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับตัวเองไม่ใช่หญิงชรา

แต่พอทุกคนหันไปเห็นสองพี่น้องตระกูลฟางเดินเคียงข้างกันออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย พวกเขาทั้งหมดก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กัน

แม่หรงเบิกตากว้างจ้องมองฟางจั๋วหราน “ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”

ฟางจั๋วหรานถามกลับอย่างยียวน “แล้วคุณคิดว่าผมควรอยู่ที่ไหนล่ะ?”

แม่หรงพูดไม่ออก

แม่เฒ่าหวังเดินเข้ามาขวางเขาไว้ “เธอเพิ่งเข้าไปเช็ดคราบไวน์ที่หกเปื้อนกางเกงในห้องนั้นไม่ใช่เหรอ?”

ฟางจั๋วเยวี่ยพูดแทรกขึ้นมา “เขาจะอยู่ในห้องนั้นต่อได้ยังไง หวังหรงพยายามจะอ่อยพี่ชายผม ผมก็เลยวิ่งเข้าไปเพื่อปกป้องเขา”

หวังเหวินฟางตำหนิ “ไร้สาระ หรงหรงจะทำแบบนั้นได้ยังไง?”

ฟางจั๋วเยวี่ยเขย่ากล้องในมือไปมา “แม่อยากให้ผมแสดงหลักฐานให้ดูหรือเปล่าล่ะ?”

แม่เฒ่าหวังและคนอื่น ๆ เปลี่ยนสีหน้าไปจากเดิมทันที

เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลืออันน่าสังเวชของหวังหรงยังดังไม่หยุด

แม่เฒ่าหวังไม่สนใจสองพี่น้องตระกูลฟางอีกต่อไป รีบพูดอย่างร้อนรน “รีบไปช่วยหรงหรงเร็วเข้า!”

ทุกคนวิ่งกรูกันเข้าไปที่ห้องนั้นอย่างไม่รอช้า

ฟางจั๋วเยวี่ยยิ้มเยาะ “พี่ชาย ไปดูเรื่องสนุกกันดีกว่า”

ฟางจั๋วหรานปฏิเสธทันควัน “ไม่ล่ะ ฉันว่ามันอุจาดตาเกินไป”

ฟางจั๋วเยวี่ยได้แต่เกาจมูกด้วยความเบื่อหน่าย เดินกลับไปอีกทาง จะว่าไปฉากนั้นก็ไม่น่าอภิรมย์เท่าไรจริง ๆ

โชคดีที่ทุกคนไปถึงที่นั่นทันเวลา จึงไม่มีเหตุการณ์น่าหดหู่เกิดขึ้น

ถึงอย่างนั้นฟางจั๋วเยวี่ยที่เห็นเหตุการณ์ก็ยังรู้สึกคลื่นไส้

หวังหรงที่ได้รับการช่วยเหลือจากญาติ ๆ อย่างทันท่วงทีอยู่ในสภาพไม่น่ามอง นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนเก้าอี้

ส่วนหลูจ้าวซิ่งนั้นเอาแต่เหวี่ยงหมัดทุบทุกคนที่ขวางหน้าเหมือนกำลังเมายาอย่างไรอย่างนั้น และพยายามกระโจนเข้าหาหวังหรงราวกับสุนัขที่กำลังติดสัด

หลูจ้าวซิ่งพยายามดิ้นรนอย่างหนัก พอรู้ตัวว่าออกแรงแค่ไหนก็ไม่สามารถเข้าใกล้เป้าหมายได้ เขาก็เปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนไหวไปโจมตีแม่หรงที่ฉุดรั้งเขาไว้ทันที

เสียงแควกดังลั่น เขาฉีกเสื้อเชิ้ตแขนสั้นที่แม่หรงสวมอยู่จนขาดออกเป็นสองส่วน ทำให้มันหลุดร่วงออกจากร่างกาย ทิ้งให้ร่างกายท่อนบนของหล่อนอยู่ในสภาพกึ่งเปลือย

ขณะที่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นกำลังตะลึงพรึงเพริด หลูจ้าวซิ่งก็กระโจนไปด้านหน้า

พ่อหรงคว้าเก้าอี้ที่อยู่ใกล้มือขึ้นมา ฟาดมันใส่หัวของอีกฝ่ายโดยไม่แม้แต่จะยั้งคิด

เลือดสด ๆ ไหลอาบใบหน้าของหลูจ้าวซิ่งทันที ดวงตากลอกขึ้นด้านบน ยังไม่ทันจะตะโกนด่าใคร เขาก็หมดสติล้มทับร่างของแม่หรงไปเสียแล้ว

พ่อหลูและแม่หลูตื่นตระหนกทันทีเมื่อเห็นแบบนั้น พวกเขาวิ่งเข้าไปหาลูกชาย พยายามเขย่าตัวและตะโกนเรียก

แต่ไม่ว่าเสียงเรียกจะดังขนาดไหน ก็ไม่ทำให้หลูจ้าวซิ่งได้สติคืนกลับมา

แม่เฒ่าหวังตื่นตระหนกทันที พูดคำเดิมซ้ำ ๆ “ไปเรียกจั๋วหรานมาเร็วเข้า!”

หวังเหวินฟางไม่กล้าเรียกหาฟางจั๋วหรานด้วยตัวเอง จึงหันไปสั่งลูกชายตัวเองอีกทอดหนึ่ง “เรียกพี่ชายของแกมานี่ซิ!”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ซ้อนกลได้แสบสันต์มากสองหนุ่ม นังหรงจำยันวันตายแน่

ไหหม่า(海馬)