บทที่ 262 ไร้ยางอาย (2)

บทที่ 262 ไร้ยางอาย (2)

ได้ยินว่าตระกูลซูร่ำรวยมาก พวกเขาเลยคิดจะให้บ้านหลักตระกูลซูจ่ายค่างานศพด้วย ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยประหยัดเงินได้สักเล็กน้อย

แต่คนตายไปแล้วนะ จะไม่สูญเสียอะไรเลยหรือ?

“พวกคุณจะไปไม่ได้นะ ฉันรู้ว่าช่วงแรก ๆ ทั้งสองตระกูลมีความบาดหมางกัน แต่พวกเราก็ยังถือว่าเป็นญาติกันอยู่นี่นา เรายังเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่นะ”

สิ่งที่คังจ้าวพูดนั้นสวยงามเหลือเกิน แต่ถึงจะสวยงามเช่นไร คนบ้านซูก็ไม่พอใจมากอยู่ดี

“ตาเฒ่าซู ฉันไม่ปิดบังคุณหรอกนะ ชีวิตเหล่าต้าเหล่าเอ้อร์บ้านคังเราลำบากมาก คนตั้งเยอะขนาดนั้นสองบ้านก็เกือบจะทะเลาะกันบ่อย ๆ ด้วย”

คังจ้าวพูดไปด้วยแล้วก็ลอบมองสีหน้าคนบ้านซูอย่างระมัดระวังไปด้วย

แต่เห็นเพียงสีหน้าเรียบเฉยของพวกเขา

เขาลืมไปว่าสายสัมพันธ์ทั้งหมดระหว่างตระกูลซูและตระกูลคังอยู่ที่ซูหม่านเซียง

แต่ตอนนี้อีกฝ่ายตายไปแล้ว รวมถึงลูก ๆ ของเธอด้วย ไม่หลงเหลือแม้แต่ความรู้สึก

ทั้งสองตระกูลนับว่าเป็นคนแปลกหน้า คนบ้านคังจะสบายดีหรือเปล่าไม่ มันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลซู

“บ้านสะใภ้ พวกเราต้องเผชิญหน้านะ เราจะทำให้เรื่องเล็กน้อยพวกนี้มาทำให้เหล่าต้าเหล่าเอ้อร์ลำบากไม่ได้นะ!”

หลังจากที่เสี่ยวเถียนกลอกตาครุ่นคิด เธอก็หันไปพูดกับซูโส่วเวินด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

โส่วเวินเข้าใจในทันที ก่อนจะก้าวออกไปข้างหน้า “คุณปู่ครับ เรื่องนี้จะให้ตระกูลซูเราออกหน้าก็ใช่ว่าจะไม่ได้นะครับ”

ประโยคนี้ทำให้ทุกคนหันไปมองโส่วเวิน

คนรอบข้างถึงกับคิดว่าเด็กคนนี้โง่หรือเปล่า?

เขาดูเป็นคนตรงไปตรงมามาก ทำไมถึงดูสับสนแบบนี้?

แน่นอนว่ายังมีบางส่วนที่คิดว่าเนื้อแท้บ้านซูเป็นคนซื่อสัตย์

แววตาคังจ้าวเต็มไปด้วยความสุขอย่างช่วยไม่ได้ เขามองไปที่ไหนสักแห่งราวกับว่าจะตั้งใจไม่ตั้งใจ

เสี่ยวเถียนกำลังเฝ้ามองคังจ้าวอยู่ เธอมองตาสายตาคู่นั้น ก่อนจะเห็นคนคุ้นเคยอยู่สองสามคนซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งไม่ไกล

เหอะ ๆ คิดว่าบ้านเราเป็นคนโง่หรือ?

พี่น้องบ้านซูดเริ่มรู้สึกร้อนรนขึ้นมา และคิดว่าโส่วเวินอาจจะเกิดความสับสนบางอย่าง

เรื่องนี้จะตกลงกันอย่างไร?

คังเหรินเต๋อไม่ได้แต่งเข้าบ้านสะใภ้เสียด้วย

อีกอย่าง ถึงคังเหรินเต๋อจะเป็นลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านสะใภ้ แต่บ้านเรายังต้องช่วยพ่อแม่พวกเขาฝังศพอีกหรือ?

เรื่องแบบนี้มันไม่มีเหตุผลเลย!

โส่วเวินขยิบตาให้ผู้เป็นพ่อ ก่อนจะเอ่ยออกมา “อาเขยเล็กมีตำแหน่งหน้าที่ เดี๋ยวผมจะไปหาพวกหัวหน้าที่สหกรณ์ตอนนี้เลยครับ”

เพียงแค่ประโยคเดียวแทบทำให้หัวใจคังจ้าวหยุดเต้น

หมายความว่าอย่างไร?

“เด็กคนนี้ แกจะไปสหกรณ์ทำไมเล่า?” คังจ้าวรีบว่า “เรื่องนี้แก้ไขกันเองได้นะ ทำไมต้องไปรบกวนหัวหน้าเขา!”

“ไม่ได้รบกวนนะครับ แค่ไปถามเฉย ๆ เพราะอาเขยเล็กไม่มีญาติที่ไหนแล้ว สู้คืนงานเขาให้กับประเทศแทน ผมเชื่อว่าทางสหกรณ์ยินดีจ่ายค่างานศพนะครับ”

โส่วเวินพูดไปด้วยแล้วก็ลอบสังเกตอย่างระมัดระวังไปด้วย ก่อนจะเห็นสีหน้าคังจ้าวเปลี่ยนไปมาก เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายคงไม่คิดว่าเขาจะพูดอะไรแบบนี้

เขาไม่รอให้คังจ้าวพูดต่อ “โอ๊ะ เหมือนผมจะจำได้ว่าถ้าเจ้าของตำแหน่งเสียชีวิต ทางหน่วยงานจะจ่ายค่างานศพให้นะ!”

เขาเอ่ยหยั่งเชิง แต่สำหรับคังจ้าวมันเหมือนประกาศิตจากสวรรค์

เรื่องนี้คนบ้านซูก็รู้หรือ?

หลังจากที่โส่วเวินพูดจบ เขาก็ไม่สนใจคังจ้าวแล้วมุ่งไปที่สหกรณ์จำหน่ายเครื่องอุปโภคบริโภค

ตอนที่เด็กหนุ่มเดินผ่านก็โดนคังจ้าวคว้าเอาไว้

“เด็กคนนี้ ทำไมต้องไปหาพวกหัวหน้าด้วยเล่า? เขายุ่งตลอดทั้งวัน เธอนี่ไม่รู้เรื่องเลยจริง ๆ!”

“ผมไม่รู้เรื่องหรือครับ? งั้นตัวผมแบบนี้กับพวกชาวบ้านล่ะ แม้แต่บ้านคังเองก็ยังไม่มีคนช่วยค่าทำศพเลย เห็นไหมครับว่าไม่มีใครจริง ๆ อีกอย่างด้วยตำแหน่งงานของอาเขยเล็ก ถ้าบ้านใครชอบงานนี้ก็ช่วยค่างานศพพวกเขาก็ได้นะ ไม่ก็ให้สหกรณ์จ่ายแทนก็ได้ครับ”

ตอนโส่วเวินกล่าว เขากล่าวจริงจังอย่างกับว่าคิดแบบนั้นจริง ๆ และสามารถจัดการเรื่องนี้ได้

คนรอบข้างโดนล่อลวง

จะไม่โดนได้อย่างไร?

สหกรณ์จำหน่ายเครื่องอุปโภคบริโภคเป็นหน่วยงานที่ดี อาจจะยากที่เพิ่มคนเข้าไป และถึงแม้ว่าจะต้องจ่ายเงินค่างานศพเพิ่มอีกหน่อย แต่ถ้าได้เปลี่ยนงานแล้วมันก็คุ้ม

“ไอ้หนุ่มบ้านซู เธอจัดการได้หรือ?” มีคนถามหยั่งเชิง

แต่เสียงหนึ่งก็ขัดขึ้นมาก่อน

“แน่นอนว่าไม่ได้อยู่แล้ว งานของน้องชายฉัน เขาเป็นคนนอก จะมาจัดการได้ยังไง?”

ทุกคนมองไปทางต้นเสียง เขาไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นพี่ใหญ่ของคังเหรินเต๋อ คังเหรินเสียน

สมาชิกบ้านคังมีชื่อถูกเลือกมาอย่างดี คังเหรินเสียน ตัวเสียน (贤) ที่แปลว่าคนมีคุณธรรม หรือ คังเหรินเต๋อ ตัวเต๋อ (德) ที่แปลว่าคนมีคุณธรรมเช่นกัน แต่ไม่มีใครที่มีคุณธรรมเลย

“น้องชายคุณหรือครับ? งานของน้องชายคุณผมเป็นคนนอกจัดการไม่ได้อยู่แล้ว แล้วทำไมต้องให้ผมที่เป็นคนนอกจัดการเรื่องงานศพด้วยล่ะ?” คำพูดของโส่วเวินเต็มไปด้วยการเสียดสี

ยามที่คังเหรินเสียซึ่งเป็นชายชาตรีถูกเด็กที่ขนยังไม่ขึ้นสั่งสอน ใบหน้าก็ขึ้นสีแดงก่ำ

เขาพูดอย่างโมโห “ฉันไม่ได้หวังให้แกจัดการศพให้น้องฉัน งั้นร่างของอาแกกับพวกลูกของเขาพวกแกพาไปเลย ที่เหลือฉันจะจัดการเอง!”

คนคนนี้พูดราวกับว่ามันเป็นความกรุณาที่ให้กับบ้านซูเหลือเกิน

คนที่อยู่ตรงนั้นแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ นานา นับว่าเป็นครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องแบบนี้เลย น่าตลกมาก!

เพราะมันตลกมาก แม้แต่หวังเซียงฮวายังอดหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้ “เหอะ!”

“เธอหัวเราะอะไรน่ะ?”

หวังเซียงฮวาหัวเราะเบา ๆ “ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องตลกแบบนี้มาก่อนน่ะ”

คังเหรินเสียนได้ยินที่คนรอบข้างพูดคุยกันแล้ว และบอกว่าบ้านเขามันไม่มีมาตรฐาน

“ฉันจะไปถามที่ชุมชนใหญ่เอง ไปถามว่าโลกนี้มันมีเรื่องที่มีเหตุผลแบบนี้หรือเปล่า น้องสาวฉันแต่งงานเข้าตระกูลคังมาตั้งหลายปี มีลูกชายลูกสาว เป็นเมล็ดพันธุ์ของบ้านคุณ แล้วมันจะเป็นของเราได้ยังไง?”

สองปีมานี้ที่อยู่ฟาร์มไก่ เธอได้เรียนรู้มาไม่น้อย และรู้วิธีที่เธอจะได้เรียนรู้มากมายในฟาร์มไก่ในช่วงสองปีที่ผ่านมา และเธอรู้วิธีที่จะชูธง*[1] ด้วย

เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาไม่คิดว่าบ้านซูจะไปคุยกับชุมชนใหญ่แบบนี้

ชุมชนใหญ่หรือ? มันไปง่ายขนาดนั้นเลยหรือไง? ถ้าไปจริง ๆ เกรงว่าเรื่องนี้คงไม่สามารถทำตามความคิดเราได้อีก

ถ้าปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้ไปที่ชุมชนใหญ่จริง ๆ คาดว่าเรื่องนี้คงจะลำบาก!

ไม่ได้การแล้ว!

“จะไปที่ชุมชนใหญ่ทำไม นี่มันเรื่องของบ้านเรา พวกผู้หญิงนี่มันร้องเป็นนกเลย ยื่นปากมาทำอะไร?” หัวหน้าคังด่าด้วยความโมโห

“ผู้หญิงมันทำไม? คุณเป็นชายชาตรีแท้ ๆ แต่ดันไม่มีเหตุผลเท่าผู้หญิง ฉันจะพูดไม่ได้เชียวหรือ? อีกอย่าง ผู้นำที่ยิ่งใหญ่เคยพูดไว้นานแล้วว่าชายหญิงเท่าเทียมกัน ในเมื่อคุณพูดจาไร้สาระได้ ทำไมฉันจะพูดไม่ได้”

เดิมทีหวังเซียงฮวาเป็นพวกไม่ยอมคน เธอพูดฉอด ๆ เพื่อให้หัวหน้าคังหุบปาก

หัวหน้าคังหน้าแดง อ้าปากพะงาบ ๆ อยู่หลายครั้ง แต่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ

*[1] ขู่ขวัญและหลอกลวงผู้คนภายใต้ธงการปฏิวัติ